เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 24 ไม่เสียใจภายหลัง
ไต้โจวแห่งต้าหลี่ซื่อมาถึงแล้ว ชุดขุนนางสีแดงเข้มทำให้ดูโดดเด่นเตะตาภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงในช่วงสุดท้าย จั่วขุยนายอำเภอฉางอันนั้นตามมาข้างหลังเขา กลุ่มคนนี้มากันอย่างรีบร้อน หมวกของจั่วขุยยังเอียงกะเร่เท่อยู่เลย ห่างออกไปไม่ไกลนักยังมีเจ้าหน้าที่ของต้าหลี่ซื่อถือกุญแจมืออยู่ในมือ
อวิ๋นเยี่ยโบกมือให้กับไต้โจวเพื่อบอกให้เขาไม่ต้องเข้ามา เขากำลังดึงเอาเข็มยาวที่บริเวณเอว ไหล่ คอข้อศอก หัวเข่าและสะโพกของลวี่จู๋ออกมา เพราะเข็มยาวเหล่านี้ถูกใช้สำหรับยึดตรึงให้ร่างกายของนางอยู่ในท่านั่งคุกเข่ามาโดยตลอด ทุกครั้งที่ดึงเข็มออกมาหนึ่งเล่มก็โยนไปที่เท้าของไต้โจวเกิดเสียงดัง เคล้งขึ้น
เข็มยาวทั้งหมดที่ถูกดึงออกมามีสิบห้าเล่ม จึงมีเสียงดัง เคล้ง สิบห้าครั้ง
ศพของลวี่จู๋นั้นแข็งตัวมานานแล้ว ร่างกายที่เดิมนั้นผิวสีขาวเต็มไปด้วยรอยจ้ำเลือด ในมุมมองของอวิ๋นเยี่ย การพัฒนาของร่างกายนี้ดูเหมือนเพิ่งจะเริ่มขึ้น เขายื่นมือเข้าไปในปากของลวี่จู๋ที่อ้ากว้างผิดปกติแล้วดึงไส้ตะเกียงที่เหลือออกมา ใช้มือกดจับกรามของนางให้แน่น ออกแรงเล็กน้อยจึงปิดปากนางลงได้ ทันทีที่ปล่อยมือปากของนางก็อ้าเปิดออกอีกครั้ง อย่างไรเสียนางก็ตายไปแล้ว กล้ามเนื้อก็สูญเสียความยืดหยุ่นไป
“ใครมีเข็มกับด้ายติดตัวมาบ้าง” อวิ๋นเยี่ยถามไต้โจว
ไต้โจวเพียงแค่ขยับมือก็มีคนวิ่งเข้าไปในที่ว่าการทันที ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับชุดเข็มด้าย จัดการเย็บมุมปากที่ปริแตกเล็กน้อยของลวี่จู๋ไปหลายเข็ม เขาเย็บอย่างระมัดระวัง ราวกับเกรงว่าจะกระทบกับความงามของลวี่จู๋
ปากของลวี่จู๋หุบเข้าหากันแล้วแต่เบี้ยวเล็กน้อย ดูเหมือนกำลังยิ้มด้วยความขี้เล่น อวิ๋นเยี่ยต้องออกแรงเป็นอย่างมากเพื่อยืดร่างที่คดงอของนางให้ตรง จากนั้นนำเสื้อคลุมของตัวเองคลุมให้นาง อุ้มนางขึ้นมาแล้ววางไว้ในอ้อมแขนของมารดานาง เมื่อเป็นเช่นนี้ลูกก็ได้รับการปกป้องแล้ว อย่างน้อยมารดานางก็จะปกป้องนางจากอันตราย หากมีสวรรค์จริง อวิ๋นเยี่ยอธิษฐานจากใจจริงให้นางมีความสุขอยู่ในที่แห่งนั้น…
เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น ไต้โจวก็ก้าวเข้ามา ขณะที่กำลังจะพูด อวิ๋นเยี่ยพูดขึ้นก่อนว่า “วันนี้ข้าตกอยู่ในความโกรธชั่ววูบทำให้เกิดการจลาจลของชาวบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจ โทษหนักไม่ควรละเว้น ตอนนี้ขอมอบตัวต่อต้าหลี่ซื่อ ขอให้ควบคุมตัวไปคุมขังด้วย”
หลังจากพูดจบ เขาก็ยกสองมือขึ้นและรอให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นสวมกุญแจมือ เหล่าจวงถึงถอดเสื้อคลุมคลุมให้อวิ๋นเยี่ย จากนั้นก็ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ
ไต้โจวลังเลอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจและออกคำสั่งให้สวมแผ่นไม้ล็อกคอ ที่ว่าการอำเภอไม่มีคุณสมบัติพอที่จะควบคุมตัวอวิ๋นเยี่ย หากต้าหลี่ซื่อไม่มีพระราชโองการของฮ่องเต้ ก็ไม่มีคุณสมบัตินี้เช่นกัน ตอนนี้พวกไต้โจวสวมใส่กุญแจมือได้ก็เพราะได้รับมอบหมายจากฮ่องเต้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะผู้ที่ถูกภาพประชาชนที่โกรธแค้นทำให้หวาดหวั่นไม่ได้มีเพียงแต่ตระกูลโต้วเท่านั้น
หลังจากถูกสวมแผ่นไม้ล็อกคอแล้ว อวิ๋นเยี่ยถามเหล่าไต้ว่า “ผู้เฒ่าโต้วตายแล้วหรือยัง”
“ตายแล้ว ตกใจกลัวจนตาย โต้วหวยอี้ปลิดชีวิตตัวเอง โต้วหวยเอินถูกประชาทัณฑ์จนตาย โต้วหวยเต๋อถูกคุมขังแล้ว สายเลือดตรงตระกูลโต้วมีเพียงโต้วเยี่ยนซันคนเดียวที่ไม่พบตัว ทางการได้ออกประกาศจับแล้ว เขาหนีไม่พ้นแน่” ไต้โจวเป็นคนพูดจาชัดเจนไม่อ้อมค้อมมาโดยตลอด
ขณะที่รถขังนักโทษเคลื่อนผ่านถนนฉางอัน บนถนนนั้นว่างเปล่าไม่มีคนแม้แต่คนเดียว มีเพียงรองเท้าและผ้าคลุมศีรษะที่กระจัดกระจายไปทั่วสถานที่ที่ดูเหมือนจะบอกว่าสถานที่แห่งนี้ก่อนหน้านี้ไม่นานได้มีความวุ่นวายมากเพียงไร ประตูใหญ่ของตรอกถูกล็อคไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงรูตามกำแพงเหล่านั้นที่มีดวงตาจำนวนมากแอบดูอวิ๋นเยี่ยถูกคุมขัง
ในเมืองฉางอันไม่มีใครเลยสักคน
ขอเพียงเป็นคุก เงื่อนไขต่างๆ ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเสียเท่าไร โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้ยาวหนึ่งตัวและแคร่นอนและตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวงนั้นถือว่าเป็นการดูแลระดับสูงแล้ว หลังจากที่เจ้าหน้าที่คุมขังปลดเครื่องพันธการให้อวิ๋นเยี่ยแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือการปีนขึ้นไปบนเตียงแคร่ ห่มผ้าห่ม หลังจากนั้นไม่นานเสียงกรนก็ดังขึ้น ดูเหมือนเขาจะง่วงนอนมาก…
แสงไฟในพระราชวังยังคงส่องสว่างอยู่ หลี่ซื่อหมินเดินวนไปวนมาอยู่ในตำหนักด้วยความกระสับกระส่าย มือที่ไพล่หลังอยู่นั้นประเดี๋ยวกำหมัดประเดี๋ยวก็แบออกอย่างสุดเหยียด ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดเลยว่าทำไมแผนการที่ไร้ช่องโหว่ของเขาจะต้องจบลงด้วยการจลาจล ก่อนที่อำนาจของจักรวรรดิจะได้แสดงแสนยานุภาพ ตระกูลโต้วที่ยิ่งใหญ่อยู่เหนือผู้คนมาหลายชั่วคนก็ล้มครืนล่มสลายลง สิ่งที่ตนเองได้วางแผนไว้อย่างแยบยล การให้ความร่วมมือของกองกำลังต่างๆ รากฐานของตระกูลโต้วที่อยู่ในแดนกวนจง หล่งโย่ว ลั่วหยางและเหอเป่ยได้ถูกขุดรากถอนโคนอย่างรวดเร็ว มีเพียงที่ซานตงที่ยังไม่ได้ลงมือ ไม่ใช่เพราะเขาทำไม่ลง แต่เพราะไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย โต้วจงแห่งซานตงนั้นเป็นผู้สืบทอดตระกูลโต้วที่เขาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว
หากในช่วงสองปีมานี้ไม่มีโต้วจงที่ทรยศต่อตระกูลโต้วคอยให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ตนเองจะไม่สามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบเรื่องตระกูลโต้วอย่างเด็ดขาดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน สองปีแห่งการเตรียมการ กับการจลาจลในหนึ่งวัน ผลที่ออกมาก็เหมือนกัน แต่กระบวนการนั้นกลับไม่สามารถควบคุมได้ ทันใดนั้นหลี่ซื่อหมินก็ค้นพบว่า ขอเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยมีส่วนร่วมในเรื่องนั้นด้วย มากหรือน้อยก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนั้นเสมอ เขาไม่ชอบความรู้สึกของการสูญเสียการควบคุมไป ในฐานะฮ่องเต้แห่งยุคเขาชอบความรู้สึกของการถือครองทุกอย่างเอาไว้ในมือ
ฮองเฮาไม่อยู่ ขันทีและนางกำนัลต่างก็ปรนนิบัติรับใช้อย่างระมัดระวังด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เพราะกลัวว่าหากเกิดผิดพลาดอะไรจะก่อให้เกิดหายนะต่อตนเอง หลี่ซื่อหมินที่แต่เดิมนั้นเป็นเจ้านายที่ถ้าหากตนเองอารมณ์ไม่ดีแล้วก็จะไม่ให้คนอื่นเป็นสุขอย่างเด็ดขาด
กาเหล้าใส่เหล้าองุ่นลอยออกมา กาเหล้าที่ใส่เหล้าสือต้งชุนลอยออกมา สุดท้ายกาเหล้าที่ใส่เหล้าซันเล่อเจี้ยงก็ลอยออกมา ทุกคนในวังต่างก็คุกเข่าลงบนพื้นไม่กล้าหายใจแรง หัวหน้าขันทีนับกาเหล้าที่อยู่บนพื้น พบว่ากาเหล้าที่ใส่เหล้าชั้นดีของตระกูลอวิ๋นไม่ได้ถูกโยนออกมา เขาดีใจมาก ตั้งใจเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวในห้องโถง ได้ยินเพียงฮ่องเต้พูดกับตัวเองว่า “เรายกทัพขึ้นเหนือล่องใต้ไม่เคยหยุดนิ่ง ได้พบศัตรูที่เก่งกาจนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีสถานการณ์ใดที่ทำให้เราตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน วันนี้ เราหวาดกลัวแล้ว พวกเขาเป็นราษฎรของเรา ในมือไม่มีอาวุธ แต่กลับทำให้เรารู้สึกเสียวสันหลังได้ในพริบตา
ซุนอู่กล่าวไว้ว่า หากไม่วิเคราะห์จากภาพรวม แม้จะแก้ไขสถานการณ์ได้ในจุดหนึ่งก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้ ถ้าหากต้องการให้ตระกูลหลี่แห่งต้าถังสืบทอดไปชั่วลูกชั่วหลาน จะต้องห้ามมองข้ามพลังอำนาจเช่นนี้อย่างเด็ดขาด ดังที่กล่าวกันว่าน้ำนั้นลอยเรือได้ ก็สามารถจมเรือได้ ก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เราต้องการให้ลูกหลานทุกคนจดจำประโยคนี้เอาไว้ การเป็นปฏิปักษ์ต่อพลังเช่นนี้ มันคือการเอาไข่ไปกระทบหินจริงๆ แม้ว่าเปลือกไข่จะแข็งเพียงไร ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”
หลังจากที่เข้าใจหลักเหตุผลแล้ว ตนเองจึงเลิกกระสับกระส่าย เพียงแต่ว่าเหล้าของตระกูลอวิ๋นใช้เป็นเครื่องดื่มคลายทุกข์ได้ที่ไหนกัน ไม่นานนัก หัวหน้าขันทีก็ได้ยินเสียงกาเหล้าหล่นลงมาใส่พื้นเบาๆ จึงค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องโถง เห็นฮ่องเต้ล้มพับนอนตะแคงอยู่บนแคร่แล้วหลับไป
เมื่อเป็นคนก็ต้องรู้สึกเหนื่อยล้ากันบ้าง เหล่าจวงไม่หลับมาสองวันสองคืนแล้ว แต่เขาก็ยังดูตื่นตัวอยู่มาก การแอบออกนอกเมืองหากถูกจับได้คือโทษประหาร เขาเดินไปตามทางระบายน้ำทั้งสองด้านของถนนจูเชวี่ยอย่างระมัดระวังไปจนถึงหน้ากำแพงเมือง โหวเหยียถูกขังอยู่ในเรือนจำ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาต้องบอกข่าวนี้ให้แม่เฒ่ารู้ให้ได้ ถ้ารู้เร็วขึ้นอีกสักนิด บางทีโหวเหยียอาจจะได้รับโทษน้อยลงอีกสักหน่อย
กลิ่นเหม็นในทางระบายน้ำเกือบจะทำให้เขาหายใจไม่ออก กลิ่นฉุนจมูกดูเหมือนจะทำให้แสบตาได้ด้วย น้ำตาไหลอาบแก้ม เขาต้องใช้ทั้งมือและเท้าเพื่อหมอบคลาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่าถนนจูเชวี่ยนั้นยาวมาก
สุดปลายทางของทางระบายน้ำเป็นคูน้ำป้องกันเมือง รั้วที่มีขนาดเท่าแขนเด็กขวางทางอยู่ เขาใช้เท้าควานหาอยู่ในโคลน ในที่สุดเขาก็พบหลุมในตำนาน นี่เป็นข้อมูลที่เขาใช้เงินสิบก้วนจึงสืบมาได้จากนักดาบพเนจรคนหนึ่ง
เขาถอดเสื้อออกจนร่างเปลือยเปล่า สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วดำลงไปโคลน ดินโคลนลื่นๆ เหนียวๆ ปกคลุมร่างกายของเขา เขาเป็นเหมือนปลาหมูแหวกว่ายอยู่ในดินโคลนและมุดออกมาจากรู หลังจากดื่มน้ำสกปรกเข้าไปสองอึกแล้ว ในที่สุดเขาก็โผล่ศีรษะพ้นน้ำได้ ไม่มีเวลาให้คิดแล้ว เขามีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปว่ายน้ำข้ามคูน้ำป้องกันเมือง สูดลมหายใจเข้าและดำน้ำลงไปอีกครั้ง
เหล่าจวงที่เปลือยกายปีนขึ้นจากคูน้ำป้องกันเมืองรีบใส่เสื้อ แล้ววิ่งโซเซมุ่งหน้าไปยังเขาอวี้ซัน…
การได้นอนหลับสนิทตลอดคืนได้ปลดปล่อยอวิ๋นเยี่ยออกจากสภาพที่เข้มแข็งแข็งแรงในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ยังไม่ทันได้ลืมตาขึ้นและไม่อยากที่จะลืมตาเลย แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างที่แคบและเล็กลงมายังใบหน้าของเขา ความอบอุ่นทำให้รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก แสงอาทิตย์ส่องทะลุเปลือกตากลายเป็นโลกสีชมพูอยู่ภายในเปลือกตานั้น
“มีใครอยากจะรีบตื่นกัน ตัวฉันนั้นมีแผนอยู่ในใจ นอนหลับในห้องขังอย่างสะใจ แม้ไถงยังไม่พ้นขอบฟ้า” เขาบิดขี้เกียจอย่างเต็มที่ อ้าปากกว้างๆ แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อเป็นครั้งสุดท้าย รู้สึกได้ถึงจิตใจที่ผ่องแผ้วแจ่มใส
เมื่อลืมตาขึ้นก็สะดุ้งเฮือก เบื้องหน้ามีชายอ้วนคนหนึ่งกำลังเกาะกรงขังร้องไห้น้ำตาไหลพราก ทั้งยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด ดูเหมือนว่าจะเศร้าโศกมาก
“ปู่ของข้า ต่อไปพวกเราหาเงินกำไรกันอย่างซื่อสัตย์สุจริตและมีความสุขดีหรือไม่ หากเจ้าว่างจนรู้สึกอึดอัดใจก็ไปที่สำนักศึกษาเพื่อแกล้งคุณชายเสเพลเหล่านั้นสักหน่อยก็ได้ อย่าได้ก่อศัตรูที่น่ากลัวเช่นนี้ได้หรือไม่ ทันทีที่ข้ามาถึงเมืองหลวง เดิมอยากจะไปผ่อนคลายที่เอี้ยนไหลโหลวเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าเมื่อถามผู้ดูแลประตูว่าเจ้าอยู่ที่ไหน สุดท้ายข้าตกใจจนน้องชายข้าอ่อนแรงเลย ตอนนี้จะไร้สมรรถภาพเรื่องนั้นได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่เลย”
ไม่รู้ว่าเหล่าเหอมาที่นี่นานเท่าไรแล้ว ดูท่าน่าจะร้องไห้ไม่ยอมหยุด สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยทำนั้นแม้เขาฝันร้ายถึงเรื่องที่น่ากลัวที่สุดก็ไม่ได้เกิดขึ้น เขาไม่ได้เศร้าโศก แต่กำลังหวาดกลัว ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นกับเขาก็เหมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากเขาเกิดเรื่องอวิ๋นเยี่ยก็ยังสามารถช่วยเขาได้ การตอแยเล็กๆ น้อยๆ ของพวกพ่อค้าเหล่านั้นยังไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล แต่หากตระกูลอวิ๋นเกิดเรื่องขึ้นก็หมดทางเยียวยาแล้ว ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเหอจะต้องจบสิ้นไปด้วยกัน
“ร้องไห้ทำพระแสงอะไร ตระกูลโต้วถูกข้ากำจัดแล้วไม่ใช่หรือ” อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบเห็นผู้ชายร้องไห้กระซิก เมื่อเห็นเหล่าเหอร้องไห้อย่างน่าสงสาร จึงเอ่ยปากปลอบใจเขาสักหน่อย
“ตระกูลโต้วนั้นถูกกำจัดแล้ว ได้ยินว่าลงมือพร้อมกันที่หล่งโย่ว เหอเป่ย ลั่วหยางและกวนจง ผู้นำของตระกูลโต้วก็ได้ยินว่ามีการเปลี่ยนตัวเขาแล้ว เปลี่ยนเป็นผู้ชายคนหนึ่งชื่อโต้วจง นั่นเป็นการแสดงแสนยานุภาพของฝ่าบาท ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า เจ้าส่งเสริมให้เกิดการจลาจลของชาวบ้านโดยไม่มีเหตุผลนี่คือโทษหนัก ไม่สิ คนอื่นกำลังเฉลิมฉลอง แต่เจ้าต้องเข้าคุกในต้าหลี่ซื่อ สังหารศัตรูหนึ่งหมื่นคนสร้างความเสียหายสามพันคนให้ตนเอง นางรำที่ชื่อลวี่จู๋เป็นนางรำที่มีค่าตัวสูงสุดในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน นำไปเปรียบเทียบกับต๋าจีและจ้าวเฟยเยี่ยนซึ่งเป็นนางล่มเมืองได้อย่างแน่นอน ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมานานต้องล้มครืนล่มสลายลงเพราะนาง โหวเหยียคนหนึ่งที่มีอนาคตอันยาวไกลต้องจำคุกเพราะนาง นางเป็นดาวแห่งหายนะที่ยิ่งใหญ่ ต่อไปข้าจะไม่ไปตรอกผิงคังฟางอีกแล้ว สถานที่นั้นน่ากลัวมาก” ได้ยินเหล่าเหอบ่นกระปอดกระแปดแล้วอวิ๋นเยี่ยรู้สึกอบอุ่นมาก
เขายกชามชีสเหลวที่เหล่าเหอนำมากรอกปากไปหนึ่งชาม ตบไหล่เหล่าเหอเบาๆ “เหล่าเหอ ข้าไม่เคยรู้สึกเสียใจภายหลังกับการกระทำที่มุทะลุในเรื่องนี้มาก่อนเลย ไม่เคยเลยจริงๆ”