เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 25 การเปลี่ยนแปลงของมังกร
“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็คิดถึงคำถามนี้ขึ้นทันที ถ้าหากไม่ว่าใครก็สามารถเข้าออกเรือนจำของต้าหลี่ซื่อได้ คาดว่าชีวิตน้อยๆ ของตัวเองช้าเร็วจะต้องรักษาไว้ไม่อยู่แน่ เรื่องนี้ต้องถามให้ชัดเจน
“เจ้าวางใจได้ การป้องกันของเจ้ามิดชิดไม่มีรั่วไหล พี่ชายเสียเงินห้าร้อยก้วนเพื่อซื้อพระพุทธรูปหยกคุณภาพต่ำที่มีราคาเพียงสองก้วนมาจึงได้ขอให้ไต้โจวเปิดทางเข้ามาในต้าหลี่ซื่อ โดยให้หนังสือคำสั่งแก่ข้ามาหนึ่งฉบับจึงสามารถเข้ามาได้ ใครจะรู้ว่า องครักษ์หกคนของวังหลังเฝ้าคุมอยู่ด้านนอกห้องขังของเจ้า ทั้งยังมีอีกหกคนที่ฮองเฮาส่งมาด้วย พวกเขาตรวจดูสิ่งที่ข้าส่งเข้ามาอย่างละเอียด จึงได้อนุญาตให้เข้ามา”
หลังจากฟังคำอธิบายด้วยความปลาบปลื้มของเหอเซ่าแล้ว คอของอวิ๋นเยี่ยรู้สึกเกร็ง เขาชี้ไปที่ชามเปล่าที่ใส่ชีสเหลวแล้วถามเหลาเหอว่า “ของสิ่งนี้ก็ตรวจสอบด้วยหรือ”
เหอเซ่านั้นไม่พอใจกับความรักสะอาดของอวิ๋นเยี่ยมานานแล้ว จึงพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ยังมีชายสองคนทดลองกินก่อนด้วยแล้วพูดว่าอร่อย ไร้สาระ “ขนมเปี๊ยไส้เนื้อและชีสเหลวของท่านป้าเฉาคนธรรมดาทั่วไปสามารถซื้อได้อย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นเยี่ยยืนเท้ากำแพงและอาเจียนสองสามครั้ง เขาเข้าใจดีแล้วว่าเหตุใดเมื่อต้องกินอาหารเหลือแล้วหลี่เค่อจึงเคียดแค้นมากถึงเพียงนั้น
“เอ๋ เกือบลืมถามเจ้าไป เจ้าเสียเงินห้าร้อยก้วนเพื่อซื้อขยะเกี่ยวอะไรกับการที่ไต้โจวมอบหนังสือคำสั่งให้เจ้าด้วย” พยายามอยู่เป็นนานจึงหยุดอาการคลื่นไส้ได้ อวิ๋นเยี่ยจึงถามเหล่าเหอเกี่ยวกับเรื่องของไต้โจว เหล่าไต้กล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนของบุคคลที่มือสะอาดดั่งน้ำใส ทำอะไรชัดเจนดั่งกระจก หากนำมาโยงเข้ากับเงินห้าร้อยก้วนก็แลดูจะแปลกประหลาดไปเสียหน่อย
“อย่าได้ป้ายสีไต้โจวเด็ดขาด แต่ไหนแต่ไรมาเหล่าไต้ไม่เคยไว้หน้าใคร มีหรือจะทำเรื่องที่น่ารังเกียจเหล่านี้เพื่อเงินทองเล็กๆ น้อยๆ หากข้ามอบเงินห้าร้อยก้วนให้กับเหล่าไต้ บางทีเขาอาจจะจับข้าโยนเข้าคุกทันที ข้าก็เพียงแค่เต็มใจเสียเงินห้าร้อยก้วนเพื่อซื้อพระพุทธรูปหยกคุณภาพต่ำที่มีราคาเพียงสองก้วนก็เท่านั้นเอง เรื่องที่เจ้ายินดีข้าเต็มใจมีอะไรผิดกัน เพียงแต่เรื่องค่อนข้างจะบังเอิญไปเสียหน่อย ร้านนั้นบังเอิญเป็นร้านที่พี่ชายของอนุภรรยาของเหล่าไต้เป็นเจ้าของเท่านั้นเอง”
เหล่าเหอรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับการที่อวิ๋นเยี่ยไปกล่าวหาว่าเหล่าไต้รับสินบน จึงอธิบายอย่างเคร่งขรึมพร้อมด้วยเหตุผล เหล่าไต้รับเงินและจัดการให้อย่างเรียบร้อย เจ้ายังจะไม่พอใจอะไรอีกหรือ ขุนนางที่ซื่อสัตย์เช่นเหล่าไต้ในใต้หล้านี้มีไม่มาก ห้ามเพิ่มข้อกล่าวหาว่าเป็นขุนนางทุจริตให้เขาอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้หากเหล่าไต้ไม่ได้เปิดร้านค้า มีเพียงเงินเดือนของเขาจะสามารถเลี้ยงอนุภรรยาถึงสี่คนได้อย่างไร คนครอบครัวใหญ่ ข้าวสารที่ฉางอันก็แพงมาก หากไม่มีรายได้สีเทาเข้ามาบ้าง เจ้าจะให้เหล่าไต้อดข้าวตายกันหรืออย่างไร
“ถ้าหากข้าใช้ทองคำในหีบที่ได้รับจากเถียนเซียงจื่อไปซื้อตะปูเหล็กที่ร้านพี่ชายของเหล่าไต้ ข้าจะได้รับการปล่อยตัวในวันพรุ่งนี้หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยนั่งครุ่นคิดพลางถามเหล่าเหอ
“ฝันไปเสียเถอะ! หากไม่มีราชโองการของเรา แม้เจ้าขนย้ายทองคำทั้งหมดในใต้หล้ามาไว้ที่นี่ก็ไม่เกิดประโยชน์” ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินยืนสองมือไพล่หลังอยู่ด้านนอกห้องขังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ดูเหมือนว่าเขาจะยืนอยู่นานแล้ว ไต้โจวที่ยืนสูดหายใจลึกๆ อยู่ด้านข้างไม่หยุดดูเหมือนว่าจะปวดฟันมาก ที่หน้าผากก็มีเหงื่อออก
ยังไม่ทันรอให้อวิ๋นเยี่ยถวายบังคม หลี่ซื่อหมินก็พูดกับเหอเซ่าว่า “ไสหัวออกไป ประเดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับเจ้า หน้าตาของขุนนางที่สร้างความดีความชอบของต้าถังถูกเจ้าทำลายจนย่อยยับหมดแล้ว”
เหอเซ่าล้มลุกคลุกคลานออกจากห้องคุมขังไป หลี่ซื่อหมินมองไต้โจวอีกครั้งแล้วพูดกับเขาว่า “การค้าของบ้านเจ้าควรจะปิดทำการแล้วจริงไหม”
ไต้โจวมองอวิ๋นเยี่ยด้วยความขุ่นเคืองและพูดซ้ำๆ ว่า “จากนี้ไปจะไม่มีร้านค้าอีกแล้ว เจ้าของร้านก็ควรกลับไปทำนาที่บ้านเกิดแล้ว” หลังจากพูดจบก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าไปหาเหล่าเหอเพื่อคิดบัญชีหรือว่ากลับไปปิดร้านด้วยตัวเองแล้ว
หลี่ซื่อหมินก้าวเข้ามาในห้องขัง ขันทีก็เช็ดม้านั่งในห้องขังซ้ำแล้วซ้ำอีกทันทีแล้ววางไว้ให้หลี่ซื่อหมินนั่งอย่างระมัดระวัง รอให้ฮ่องเต้นั่งนิ่งแล้วจึงก้มศีรษะเดินจากไป
“รู้สึกว่าถูกใส่ร้ายหรือไม่” หลังจากหลี่ซื่อหมินนั่งอย่างองอาจผึ่งผายแล้ว ประโยคแรกที่ถามอวิ๋นเยี่ยก็คือรู้สึกว่าเขาคับข้องใจหรือไม่
“คราวนี้ไม่มี เมื่อรับเบี้ยหวัดของทางการก็ต้องแบ่งเบาปัญหาให้กับกษัตริย์ นี่คือหน้าที่ของข้าราชบริพาร กระหม่อมคือข้ารับใช้ของฝ่าบาท ในศีรษะนี้จะใช้อย่างไรเคลื่อนไหวอย่างไรแน่นอนว่าต้องฟังคำสั่งของฝ่าบาท หากเป็นเพราะกลัวสกปรกจึงไม่ยอมไปขุดห้องน้ำ ยังจะมีสถานที่สะอาดในใต้หล้านี่อีกหรือ”
เมื่อเป็นขุนนางก็ต้องมีสติตื่นตัว เตรียมพร้อมที่จะถูกผู้อื่นหลอกใช้อยู่ตลอดเวลา หากต้องการวางตัวให้สูงส่งขาวสะอาด การไปเป็นคนป่าในภูเขาที่รกร้างในแดนไกลถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวอย่างหนึ่ง
“เราฟังเข้าใจได้ว่าเจ้าไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรเรา รักษาบทบาทหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก แต่กลับดูถูกตระกูลใหญ่จากก้นบึ้งของหัวใจเพราะเหตุใด ต้องรู้ว่าตระกูลอวิ๋นของเจ้าก็เป็นตระกูลใหญ่เช่นกัน แม้ว่าบุตรชายของตระกูลจะไม่มากก็ตามที แต่ในเมืองฉางอันก็ยังสามารถนับจำนวนได้”
หลี่ซื่อหมินจงใจไม่ได้ยินคำว่า “คราวนี้” ถามอวิ๋นเยี่ยตรงๆ ว่าทำไมจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นศัตรูกับกับตระกูลใหญ่
“กราบทูลฝ่าบาท แต่ไหนแต่ไรมากระหม่อมไม่เคยคิดว่าผู้ที่กินเนื้อไม่ใช่สิ่งที่น่าดูถูกเหยียดหยาม แต่คิดว่าในเมื่อจะกินเนื้อก็ควรต้องมีคุณสมบัติที่จะกินเนื้อด้วย ไม่จำเป็นว่าบรรพบุรุษกินเนื้อแล้วเจ้าก็จะต้องเป็นเช่นนั้นด้วย ในเมื่อไม่ได้มีคุณงามความชอบอะไรเหมือนพวกเขาเลย การกินเนื้อมันเป็นบาปอย่างหนึ่งเพราะเขาได้รับโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ทำนาบนหลังคนกินจนอ้วนพี ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็อธิบายไม่ได้ อีกทั้งสัตว์กินเนื้อบางคนก็เบื่อเนื้อสัตว์และต้องการเปลี่ยนรสชาติบ้าง ในที่สุดพวกเขาจึงหันเหมาสนใจมนุษย์เข้าและอยากกินคนขึ้นมา กระหม่อมอยากจะนำสัตว์กินเนื้อดังกล่าวมาต้มในหม้อเพื่อให้พวกเขารู้ว่าความเจ็บปวดเป็นเช่นไร”
หลี่ซื่อหมินอดหัวเราะไม่ได้และพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ในสำนักศึกษาเจ้าไม่ใช่ว่ากำลังเพาะบ่มสัตว์กินเนื้อตัวแล้วตัวเล่าหรือ รับประกันได้หรือว่าพวกเขาจะไม่ไปกินคน”
“ฝ่าบาท เหตุใดจึงรับสั่งว่าสำนักศึกษาของกระหม่อม ที่นั่นคือสำนักศึกษาของพระองค์ กระหม่อมเพียงแค่ใช้มันมาทำให้ความฝันของกระหม่อมเป็นจริง ผู้ที่จะได้ใช้งานจริงคือพระองค์และผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือต้าถัง กระหม่อมเพียงแค่ต้องการติดตามอยู่ใต้ร่มเงาพระบารมีของฝ่าบาท เพื่อถวายการรับใช้ไปตลอดกาล เพื่อดูว่าต้าถังของพวกเราจะไปได้ไกลเพียงไหน”
ในใจของอวิ๋นเยี่ยรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย สำนักศึกษาเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการทำให้สำเร็จมากที่สุดตั้งแต่เขามาถึงราชวงศ์ถัง ถ้าเปรียบเทียบสำนักศึกษากับชีวิตของเขา อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าชีวิตน้อยๆ ของเขาไม่สำคัญอะไรอีกต่อไป ต้องพึ่งพาราชวงศ์ จำเป็นต้องพึ่งพาราชวงศ์ ในโลกแห่งความเป็นจริงนี้มีเพียงการพึ่งพาราชวงศ์เท่านั้นสำนักศึกษาจึงจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้เป็นเวลานาน ในตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป ต้องรอจนถึงวันที่มันแข็งแกร่งพอที่จะทนต่อลมมรสุมต่างๆ ได้ก่อน จึงจะเป็นเวลาที่มันได้แสดงแสนยานุภาพอย่างแท้จริง
“ฮึ เราส่งลูกชายทั้งสองไปยังสำนักศึกษา ขัดแย้งกับคำคัดค้านของเหล่าขุนนางไม่ยอมให้พวกเขาไปยังที่ดินพระราชทาน ก็เพื่อต้องการจะเห็นว่าสำนักศึกษานั้นมีอะไรดีกันแน่ ซึ่งในขณะนี้นับว่าไม่เลว เพียงแต่เจ้าหนุ่ม เจ้าเล็งเป้าหมายไปที่พวกเขา ภายหน้าอย่าได้เสียใจภายหลังเสียล่ะ ลูกมังกร ลูกมังกร เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องรู้ว่ามังกรก็กินคน นี่คือหลักการที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เจ้าอย่าเพิ่งคิดว่าตอนนี้สามารถเก็บเขี้ยวเล็บมังกรได้ชั่วคราว ช้าเร็วสักวันหนึ่งเจ้าจะพบว่ามังกรคือมังกร แม้เก็บซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ก็ยังเป็นมังกรอยู่ดี”
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินไปเอาความหลงตัวเองมาจากที่ใด ในประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเขาปั่นหัวเหล่าขุนนางเอาไว้ในกำมือ แต่เขากลับมองลูกทุกคนผิดไป ถูกต้อง ดูผิดไปทั้งหมด เฉิงเฉียนถูกเขาบีบคั้นจนกลายเป็นคนวิปริต ชิงเชวี่ยถูกเขาล่อลวงจนกลายเป็นคนโง่ไป หลี่เค่อถูกเขามอบความหวังจอมปลอมบดบังจนสับสนปนเป เกาหยางกลายเป็นหญิงปล่อยเนื้อปล่อยตัว ทั้งยังเป็นหญิงปล่อยเนื้อปล่อยตัวที่ก่อกบฏอีกด้วย หลานหลิงกลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่เขาใช้ในการควบคุมตระกูลโต้ว ไม่มีความสุขเลยชั่วชีวิต ลูกชายเขามีกี่คนกันที่มีจุดจบที่ดี มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์พวกเขาหรือ
ยังจะบอกว่ามังกรก็คือมังกร สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ หากเจ้ามีความสามารถจริงก็จับมาให้ดูสักตัวหนึ่งได้ไหม สมมติว่าพวกเฉิงเฉียนกลายเป็นพวกหัวรุนแรง มันก็เป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากคนบ้าเช่นเจ้า ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในอำนาจของเจ้า ไม่ว่าในหัวจะคิดอะไรก็ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น คิดว่าลูกของตัวเองก็ควรจะเป็นเหมือนตัวเอง เจ้าเคยคลั่งไคล้ในอำนาจมาก่อน หรือว่าต้องการให้ลูกของตัวเองก็มาคลั่งไคล้ในอำนาจเช่นเดียวกัน
เฉิงเฉียนเป็นคนหนุ่มที่ดีมาก ชิงเชวี่ยเป็นคนหนุ่มที่เฉลียวฉลาด หลี่เค่อเป็นคนหนุ่มที่ไม่หยุดยั้ง หากเด็กสามคนไม่เดินออกนอกเส้นทางก็ควรจะกลายเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก โลกนี้กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ หลี่ซื่อหมิน เจ้ามีความสามารถให้พื้นที่ส่วนหนึ่งแก่พวกเขาเพื่อแสดงความสามารถ แต่กลับกักขังพวกเขาไว้ในเมืองฉางอันทั้งเป็น ปล่อยให้พวกเขาน้ำลายไหลอยู่กับบัลลังก์ ซึ่งนี่ถือเป็นคนดีหรือ นานวันเข้าก็จะกลายเป็นวิปริต อย่าคิดว่าฉันไม่รู้อะไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ บางทีความโฉดชั่วของชาวตงอิ๋งอาจจะเป็นเจ้าสอนออกมาก็ได้ เขารู้สึกรังเกียจคนสารเลวประเภทนี้ที่สอนให้เด็กดีๆ ต้องกลายเป็นปีศาจร้ายมากที่สุด
“เจ้าหนุ่ม แววตาเจ้าดูประหลาดมาก หรือว่าเราพูดผิด” หลี่ซื่อหมินกำลังวิพากษ์วิจารณ์จุดแข็งและจุดอ่อนของลูกๆ ของเขาจนน้ำลายแตกฟอง แต่กลับพบว่าอวิ๋นเยี่ยตกอยู่ในอาการงุนงง เขาจึงไม่ค่อยพอใจนัก
“หามิได้ กระหม่อมกำลังคิดทบทวนพระบรมราโชวาทของฝ่าบาท ทุกคำล้วนทรงคุณค่าจริงๆ วิเคราะห์ได้อย่างแตกฉาน สามารถกล่าวได้ว่าจี้ใจดำทุกคำ ตรงประเด็นทุกประโยค ความคิดเห็นของเหล่าโอรสของพระองค์ทำให้กระหม่อมหูตาเปิดกว้างและตระหนักได้ในทันที มีความรู้สึกว่าได้เห็นทางสว่าง ซึ่งสิ่งนี้ได้ให้จิตใจที่เคารพเลื่อมใสของกระหม่อมที่มีต่อฝ่าบาทยิ่งมั่นคงขึ้นอีก การบรรยายลักษณะของมังกรของพระองค์ทำให้กระหม่อมรู้สึกประทับใจและนับถือ”
การจะประจบประแจงหลี่ซื่อหมินก็ต้องเลือกเวลาด้วย เยินยอเพิ่มในขณะที่เขากำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง จะจี้ก็ต้องจี้ให้ตรงจุด จึงจะให้ได้ผลลัพธ์ดีขึ้นเป็นเท่าตัว ดังเช่นตอนนี้ที่เป็นโอกาสดีที่จะประจบประแจง
“หลังจากฟังคำบรรยายมังกรของฝ่าบาทแล้ว ทำให้กระหม่อมนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ก็เคยบรรยายมังกรไว้ด้วยเช่นกัน ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงสนพระทัยที่จะฟังคำบรรยายของอาจารย์หรือไม่” จะประจบทั้งทีก็ต้องจัดเต็ม อวิ๋นเยี่ยเข้าใจดีถึงจุดประสงค์การมาในวันนี้ของหลี่ซื่อหมิน ว่าไม่ได้มาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาการศึกษาของเหล่าองค์ชาย ตั้งแต่ที่เขาได้รู้จากปากเหอเซ่าว่าโต้วจงได้กลายเป็นเจ้าบ้านคนใหม่ของตระกูลโต้ว เบื้องหน้าของอวิ๋นเยี่ยก็ปรากฏภาพเมื่อตอนที่เขาได้พบกับหลี่อันหลานเมื่อหนึ่งปีก่อนขึ้น ชายที่ได้พบกันตั้งแต่เช้าตรู่บริเวณนอกวัง ตอนนี้มาย้อนคิดดู ชายคนนั้นไม่มีลักษณะเด่นอื่นใดนอกจากรูปลักษณ์ที่น่าเกลียด อยากจะให้ฉันเป็นบันไดไปสู่เป้าหมายให้เจ้าบ้านคนใหม่ของตระกูลโต้วงั้นรึ ไม่มีทาง!
“อาจารย์เจ้าเป็นผู้สูงส่งแห่งยุค สิ่งที่เขาพูดและวิจารณ์จะต้องแตกต่างจากคนธรรมดาแน่ รีบๆ ว่ามา เรารอฟังอยู่”
“มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อท้องฟ้ามืดมัวใกล้จะมีฝนตกหนัก เมฆดำลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า ในท้องฟ้าดูเหมือนว่ามังกรสองตัวกำลังต่อสู้กัน กระหม่อมจึงถามอาจารย์ว่ามังกรมีลักษณะอย่างไร อาจารย์กล่าวว่า มังกรนั้นสามารถขยายตัวใหญ่และหดตัวให้เล็กได้ สามารถทะยานขึ้นมาและซ่อนตัวได้ หากเป็นมังกรตัวใหญ่ก็จะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย หากเป็นมังกรตัวเล็กก็จะซ่อนกายไม่ให้ใครเห็น หากทะยานขึ้นมาจะสามารถบินอยู่ระหว่างจักรวาลได้ หากซ่อนตัวก็จะฝังร่างไว้ใต้เกลียวคลื่น มังกรมักจะรอคอยโอกาสในการแปลงร่าง เฉกเช่นผู้ที่มีปณิธานกล้าแกร่งที่แสวงหาความสำเร็จไปทุกหนแห่ง นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาทเคลื่อนกองกำลังที่ไท่หยวนก็กรำศึกนับไม่ถ้วนจนได้แผ่นดินมาครองเฉกเช่นมังกรที่เหินอยู่บนท้องฟ้า สำแดงอิทธิฤทธิ์ สร้างความสงบสุขให้ใต้หล้า ตอนนี้แผ่นดินสงบสุขแล้ว ต้าถังของพวกเรากำลังรอรับการเข้าสู่ยุคใหม่ กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ! “
อวิ๋นเยี่ยใช้น้ำเสียงให้เกียรติอย่างที่สุดในการท่องคำบรรยายเกี่ยวกับมังกรของโจโฉในเรื่องสามก๊กออกมา โจโฉออกโรงเองช่างเหนือผู้คนทั่วไปจริงๆ หลี่ซื่อหมินฟังจนรู้สึกปลาบปลื้มเป็นที่สุด ลูบเคราสั้นๆ กำลังเตรียมจะแสดงความคิดเห็น ก็ได้ยินเสียงที่น่ารังเกียจดังมาจากนอกห้องขัง “ฝ่าบาท คำลวงชวนเชื่อของหลานเถียนโหว โดยใช้มังกรเป็นสัญลักษณ์ถือเป็นการดูหมิ่นเป็นอย่างมาก ขอฝ่าบาททรงลงอาญาบุคคลคนนี้ที่ประจบประแจงพูดคำลวงชวนหลงเชื่อให้หนัก มิเช่นนั้นแล้วอาจทำให้กระเทือนต่อพระอัจฉริยภาพของฝ่าบาทได้”
“ใคร”
หลี่ซื่อหมินและอวิ๋นเยี่ยจ้องมองผู้ที่มาด้วยความโกรธพร้อมกัน
——