เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 27 สายลมสงบ
คนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นที่รออยู่ด้านนอกต้าหลี่ซื่อมาโดยตลอดเมื่อได้เห็นโหวเหยียของตัวเองออกมาจากคุก ก็น้ำตาไหลรินออกมา แม้ว่าโหวเหยียของเขาจะอารมณ์ร้ายไปบ้าง เลือกกินไปบ้าง บางครั้งยังล้างผลาญอีกด้วย แต่พวกเขาก็หวังว่าโหวเหยียจะมีชีวิตยืนยาวร้อยปีมีบุญวาสนาและมีลูกมากมายจากก้นบึ้งของหัวใจ
หากเป็นผู้ใช้แรงงานในฉางอัน ไม่มีใครที่ไม่คาดหวังที่จะได้ไปทำงานในตระกูลอวิ๋น ได้ยินว่าบ้านของพวกเขากินอาหารวันละสามมื้อ เงินรางวัลก็ให้อย่างเพียงพอต่อการใช้ สำหรับการถูกทุบตี มีเพียงทำให้แม่เฒ่าโกรธเท่านั้นจึงจะถูกตี ได้ยินว่าสาวใช้ในบ้านทำเครื่องลายครามอันมีค่าแตกก็ไม่ถูกทุบตี เพียงแค่ถูกอาหญิงแม่บ้านใช้นิ้วจิ้มหน้าผากไปหลายครั้งต่อว่าว่าทำอะไรโง่มากเท่านั้น ต่อไปจำเอาไว้ให้ดี ถ้าหากเป็นบ้านตระกูลอื่นเห็นทีชีวิตคงเหลือแค่ครึ่งชีวิต
แต่ละเดือนได้หยุดสองวันเพื่อกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ได้ ด้วยเงื่อนไขข้อนี้ก็ทำให้คนรับใช้ของตระกูลอื่นอิจฉาตาร้อนผ่าว เป็นวัวเป็นม้าในตระกูลใหญ่เป็นเวลาแรมปี นอกจากจะให้พ่อแม่ยืนอยู่ด้านนอกจวนได้มองดูลูกผ่านประตูจากระยะไกลเท่านั้น การจะกลับไปเยี่ยมอย่างเปิดเผยนั้น ฝันไปเสียเถอะ
ก็มีเพียงตระกูลอวิ๋นเท่านั้นที่ใช้รถม้าส่งคนรับใช้ที่ผลัดกันลาหยุดกลับบ้านเป็นเวลาสองวัน สาวใช้ในเมืองฉางอันที่สามารถเดินออกจากบ้านคนเดียวได้ ต้องเป็นคนของตระกูลอวิ๋นอย่างแน่นอน เมื่อมือปราบที่ถนนถามอย่างไม่สุภาพว่า “คนตระกูลอวิ๋นหรือ” ขอเพียงสาวใช้คนนั้นหยิบป้ายเล็กๆ ออกมา มือปราบก็ไม่สนใจแล้วปล่อยให้เดินตามสบาย หากไม่มีป้ายมาแสดงก็จะถูกจับส่งกองปราบในฐานะทาสที่หนีออกมาต้องโดนโบยหกสิบที โดยมากจะถูกส่งไปยังผาไร้สุสานเพื่อรอความตาย
คนรับใช้ถือเสื้อผ้าของโหวเหยียยืนรอด้านนอกของต้าหลี่ซื่อตั้งแต่ประตูตรอกเปิดออก ได้ยินเหล่าจวงบอกว่าเสื้อผ้าของโหวเหยียได้มอบให้ฝังไปกับนางรำผู้น่าสงสารคนนั้นแล้ว โหวเหยียผู้น่าสงสารที่ไม่มีแม้แต่เสื้อคลุม โหวเหยียมักจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ สวมเพียงเสื้อด้านในก็ออกไปเดินเที่ยวบนถนน เจ้าบ้านตระกูลเหอซึ่งอยู่ข้างๆ ก็ไม่ห้ามเขาเลย ทั้งสองคนคุยเล่นหัวเราะสนุกสนานราวกับข้างๆ ไม่มีใครเลย
คนรับใช้รู้สึกว่าอับอายจนหน้าเริ่มแดงก่ำแล้ว มีโหวเหยียเช่นนี้ที่ไหนกัน จึงรีบสวมเสื้อผ้าให้โหวเหยีย ซึ่งสิ่งนี้โหวเหยียก็ยังไม่พอใจ โดยบอกว่าการสวมเพียงเสื้อด้านในเดินเหินสะดวก แต่เพื่อรักษาหน้าตัวเอง เสียเวลาอยู่เป็นนานกว่าจะสวมเสื้อผ้าให้โหวเหยียเสร็จ จากนั้นจึงแขวนถุงผ้าถักลายปลาทองและป้ายหยก โหวเหยียมักจะทำป้ายหยกหายอยู่เสมอ ของล้ำค่าเพียงนั้นไม่ยอมรักษาให้ดี นี่เป็นชิ้นที่สามแล้ว
อวิ๋นเยี่ยเดินอยู่ด้านหน้า คนรับใช้อยู่ด้านหลังคอยปรับสายคาดเอวให้ไม่ยอมหยุด หลังจากปรับเสร็จแล้วก็ก้มศีรษะเดินตามอวิ๋นเยี่ยอยู่ด้านหลัง กลัวว่าเขาจะเดินหลงไป
เดินไปได้ไม่นานนักรถม้าตระกูลอวิ๋นก็มารับ แม่เฒ่าสวมชุดกระโปรงสีดำ เกาะไม้เท้าที่อวิ๋นเยี่ยทำให้ยืนอยู่ข้างถนนรอหลานชายเดินมาหา อวิ๋นเยี่ยและเหล่าเหอคุกเข่าให้แม่เฒ่าพร้อมกันที่ริมถนน แม่เฒ่ายิ้มพลางลูบศีรษะของหลานชายแล้วพูดว่า “ดี ดี ตระกูลอวิ๋นข้าไม่มีพวกนอกลู่นอกทาง หลานรัก เรื่องนี้เจ้าทำได้ดี ให้พวกใจดำอำมหิตได้เห็นบ้าง ว่าสวรรค์เบื้องบนยังมีตา”
อวิ๋นเยี่ยและเหล่าเหอช่วยกันพยุงแม่เฒ่าขึ้นรถ จากนั้นเหล่าเหอประสานมือลาไปทำธุระของตนเอง
ในรถม้าไม่เพียงแต่มีท่านย่า ซินเย่ว์ก็อยู่ด้วย ท่านย่าอยากจะตบหลานชายสักฉาดหนึ่ง แต่ยกมือขึ้นแล้วลูบศีรษะอวิ๋นเยี่ยเบาๆ ถอนหายใจและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ย่าจะจัดการเรื่องงานแต่งงานของเจ้ากับซินเย่ว์ เรื่องนี้รีบจัดการแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีกว่า”
“ท่านย่า เรื่องการแต่งงานของหลานย่อมต้องให้ท่านจัดการอย่างแน่นอน เพียงแต่ครั้งนี้ที่ปะทะกับตระกูลโต้ว หลานหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่อยากหลีกเลี่ยงด้วย หากครั้งนี้หลีกเลี่ยงไป มั่นใจได้เลยว่า ภายหน้าหากหลานต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง หลานก็คงเลือกที่จะหลีกเลี่ยง บางครั้งการยอมจำนนจนเป็นนิสัย เป็นนิสัยที่พวกเราค่อยๆ พัฒนามันขึ้นมาเอง หากไม่มีสำนักศึกษา หลานก็จะหลบหนีโดยแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น การหลบหนีเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่หันหลังกลับก็ใช้ได้แล้ว
ตอนนี้หลานมีความคิดเพียงอย่างเดียว ในเมื่อหลานไม่มีความสามารถในการทำให้ผู้คนใต้หล้าทุกคนมีความสุข เช่นนั้นก็จะพยายามทำให้คนรอบกายหลานมีความสุข พวกเรากลับเขาอวี้ซันเถอะ หลานแค่อยากกลับไปเขาอวี้ซัน กลับไปที่บ้าน ท่านให้หลานแต่งงานหลานก็จะแต่งงาน ท่านให้หลานทำอะไรหลานก็จะทำอย่างนั้น อย่างไรเสียสิ่งที่หลานทำได้ก็ได้ทำไปหมดแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยเอนกายพิงรถม้าพลางส่งตาหวานให้ซินเย่ว์ ซินเย่ว์จึงรีบเอามือปิดดวงตาที่แดงก่ำและบวมไว้ ท่านย่าจึงตบศีรษะอวิ๋นเยี่ยเข้าให้อีกครั้ง
จั่งซุนพักอยู่ในสำนักศึกษาอย่างสบายใจมาก นางไม่ได้ไปพักอยู่ในเรือนหลังใหญ่ที่สำนักศึกษาเตรียมไว้ให้นางเป็นพิเศษ แต่เลือกที่จะพักอยู่ในห้องของหลี่ไท่ หลี่ไท่จึงต้องย้ายไปอยู่กับหลี่เค่อ ด้วยเหตุนี้หลี่ไท่จึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก นับตั้งแต่จำความได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สนิทชิดเชื้อกับมารดาถึงเพียงนี้
เนื่องจากจั่งซุนนั้นตั้งครรภ์อยู่ ข้างกายจึงให้มีนางกำนัลคนสนิทคอยรับใช้ หลี่ไท่มักรู้สึกเสมอว่านางกำนัลที่รับใช้มารดาเขามานานหลายสิบปีทำอะไรงุ่มง่าม ติดเตาไม่เป็น ชงชาไม่เป็น เรื่องเล็กน้อยเช่นการเตรียมอาหารก็ทำไม่ถูกใจ เขาชอบคิดว่าเขาฉลาดพอที่จะดูแลมารดาของเขาได้ งานจิปาถะทั้งหมดให้เป็นหน้าที่เขาเอง
ยังไม่ทันฟ้าสาง เขาก็เตะหลี่เค่อให้ตื่นขึ้นมา สองพี่น้องแบกถังเพื่อไปรองน้ำที่ใต้น้ำตก ต้องเดินเป็นระยะทางไกล หลี่ไท่ก็ไม่สนใจ เมื่อรองน้ำจากใต้น้ำตกได้แล้ว สองพี่น้องก็ช่วยกันหาบกลับมา ทางเดินบนเขาที่คดเคี้ยวทำให้ทั้งสองเดินอย่างลำบากมาก มิหนำซ้ำในแต่ละวันนั้นจั่งซุนยังใช้น้ำในปริมาณมากอีกด้วย
หลังจากหาบไปได้สองสามวัน หลี่เค่อถามหลี่ไท่ว่า “ชิงเชวี่ย ปกติพวกเรามักจะไม่ดื่มน้ำในแม่น้ำหน้าสำนักศึกษาไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงต้องมารองน้ำใต้น้ำตกที่ไกลถึงเพียงนี้ด้วย มีอะไรแตกต่างกันหรือ”
“น้ำที่หน้าประตูสกปรก” หลี่ไท่เป็นคนที่พูดจากระชับตรงประเด็นเสมอ
“มันสะอาดมากนะ นอกจากนี้น้ำที่หน้าประตูของสำนักศึกษานั้นก็ไหลลงมาจากน้ำตก มีอะไรแตกต่างกัน” หลี่เค่อคิดว่าหลี่ไท่พยายามอ้างหาเหตุผล
“น้ำที่หน้าประตู มีพวกที่ล้างเท้าบ้าง บางคนล้างผัก แพไม้ไผ่ลอยไปลอยมาอยู่บนน้ำ บางคนที่ไม่รู้เรื่องก็ปัสสาวะใส่ในน้ำ น้ำเช่นนี้หากให้พวกเราดื่มก็ช่างเถอะ แต่จะให้เสด็จแม่ใช้ได้อย่างไร”
หลี่เค่อรู้สึกขยะแขยงอยู่พักหนึ่ง เมื่อคิดว่าตัวเองดื่มน้ำสกปรกเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ก็ค่อนข้างขุ่นเคืองหลี่ไท่ “เจ้ารู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”
“เดิมทีข้าตั้งใจจะบอกเจ้าหลังจากออกจากสำนักศึกษาแล้ว หลายวันนี้เห็นแก่ที่เจ้าช่วยข้าหาบน้ำจึงได้บอกเจ้า เจ้าควรขอบคุณข้านะ” หลี่ไท่ยืนนิ่งอย่างระมัดระวัง ไม่ปล่อยให้น้ำในถังกระฉอกออกมา
ทุกๆ วันเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น จั่งซุนก็จะตื่น แบกท้องมองดูนักเรียนในสำนักศึกษาออกกำลังกายในตอนเช้าอยู่ในระยะไกล แม้แต่อาจารย์หลี่กังที่อายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วก็ยังออกกำลังกายด้วยท่าทางแข็งทื่ออย่างจริงจัง แม้ว่าทั้งกลุ่มจะมีความสูงแตกต่างกัน แต่ก็เรียงเป็นแนวนอนและแนวตั้งตามเสียงแตรในปากของหลิวเซี่ยน การเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงและสม่ำเสมอดูน่าประทับใจมาก จั่งซุนไม่เห็นหลี่ไท่ในกลุ่มคนและก็ไม่เห็นหลี่เค่อด้วย ขณะที่กำลังจะถาม ก็เห็นหลี่ไท่และหลี่เค่อหาบน้ำถังใหญ่เดินเข้ามาจากประตูของสำนักศึกษา เดินโงนเงนไปมาแต่ฝีเท้ากลับมั่นคงมาก ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่หาบน้ำ นางยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ท่านอ๋องทั้งสองที่เคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนเคยตัวจะหาบน้ำในสำนักศึกษาทุกวันได้หรือ
เห็นพวกเขาทั้งสองยกถังน้ำใบใหญ่เทลงโอ่งน้ำอยากอย่างลำบาก ไม่มีใครในสำนักศึกษาเข้าไปช่วยเหลือ พวกทหารองครักษ์ได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาและไม่มีทีท่าว่าช่วยเลย ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
หลี่ไท่เช็ดเหงื่อและเดินเข้ามาคารวะมารดาพร้อมกับหลี่เค่อ เมื่อมองดูทั้งคู่ที่เหงื่อท่วมศีรษะ จั่งซุนก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้ทั้งสองคน ถามด้วยความปวดใจว่า “ชิงเชวี่ย อาเค่อ พวกเจ้าต้องหาบน้ำทุกวันหรือ ทำไมเป็นเช่นนี้”
“ทูลเสด็จแม่ ชิงเชวี่ยคิดว่าน้ำในแม่น้ำหน้าประตูไม่สะอาด ดังนั้นจึงต้องให้ลูกกับเขาไปหาบน้ำสะอาดมาให้เสด็จแม่ทรงใช้” การอบรมสั่งสอนของตระกูลหลี่ หากผู้เป็นพี่ตอบ ผู้เป็นน้องก็ต้องปิดปากไป
จั่งซุนหัวเราะ “น้ำในแม่น้ำที่อยู่หน้าประตูเป็นน้ำไหล มีหรือที่จะไม่สะอาด พรุ่งนี้ไม่ต้องไปหาบน้ำจากน้ำตกไกลๆ นั่นแล้ว การเรียนสำคัญกว่า”
“ในเมื่อท่านแม่มาถึงที่พักของลูกแล้ว ลูกย่อมต้องคอยดูแลเป็นธรรมดา ในท้องของท่านยังมีน้องที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกของลูกอยู่ แน่นอนว่าต้องใช้ของอย่างดีทุกอย่าง ไม่กล้าทำอย่างขอไปที” ฟังคำพูดของหลี่ไท่ที่พูดเสมือนผู้ใหญ่แล้วจั่งซุนก็อดหัวเราะไม่ได้
นางกำนัลข้างกายพูดแทรกขึ้นว่า “ฮองเฮาคงยังไม่ทรงทราบกระมัง หลายวันนี้หม่อมฉันยังถูกเว่ยอ๋องตำหนิอยู่ไม่น้อยเลย ประเดี๋ยวบอกว่าหม่อมฉันติดเตาไฟไม่เป็น ประเดี๋ยวบอกว่าหม่อมฉันชงชาไม่เป็น แม้แต่ไปโรงอาหารเพื่อรับข้าว เว่ยอ๋องยังบอกอีกว่าหม่อมฉันไม่รู้จักจับคู่กับข้าว เฮ้อ หม่อมฉันนับวันยิ่งกลายเป็นคนไร้ประโยชน์มากขึ้นเรื่อยๆ ” แต่เดิมนั้นนางเป็นสาวใช้ของจั่งซุนตั้งแต่ที่นางยังไม่ได้แต่งงาน ต่อมาจั่งซุนแต่งงานกับหลี่ซื่อหมิน นางเองก็ออกเรือนตามมาด้วย แต่นางหน้าตาดูธรรมดา ไม่เป็นที่ดึงดูดใจแก่หลี่ซื่อหมิน ดังนั้นนางจึงเลิกคิดเรื่องนี้ตั้งใจปรนนิบัติจั่งซุนเพียงอย่างเดียว อยู่ในวังจึงมีสถานะพิเศษ ครั้นเห็นว่าเรื่องนี้น่าสนุก จึงได้ก้าวเข้ามาหยอกล้อหลี่ไท่เสียหน่อย
หลี่ไท่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เพียงแต่หยิบเมล็ดสนที่อยู่ข้างกำแพงแล้วติดเตาเล็กๆ ต้มนำร้อนหนึ่งกา เตรียมที่จะชงชาให้จั่งซุน จั่งซุนมีนิสัยชอบดื่มชา ชาที่เมื่อก่อนนางดื่มนั้นจะต้องใส่เครื่องหอมหลายชนิด หลี่ไท่ตั้งใจถามซุนซือเหมี่ยวที่เพิ่งกลับมาเป็นพิเศษ ได้รู้ว่าการต้มชานั้นไม่ดีสำหรับหญิงตั้งครรภ์ จึงไปนำดอกชาหอมมาจากตระกูลอวิ๋นโดยเฉพาะ แม้ว่าจะมีรสชาเล็กน้อย แต่ก็บางและจืดกว่าชาต้มมาก
หลี่เค่อไปที่โรงอาหารเล็กๆ ของเขาสองพี่น้องและนำกล่องอาหารกลับมา เมื่อเปิดฝาออกมีซาลาเปานึ่งร้อนๆ อยู่หลายใบ มีโจ๊กหนึ่งชาม ผักดองจานเล็กอีกหนึ่งจาน ผัดถั่วแขกดองเค็ม วางไว้บนโต๊ะแล้วเชิญให้จั่งซุนรับประทาน
จั่งซุนไม่ได้เรียกสองพี่น้องให้กินด้วยกัน นี่เป็นกฎของราชนิกุล เมื่อเห็นบนซาลาเปามีรอยกัดเล็กๆ ก็ยิ้มรับด้วยใจ จากนั้นหยิบซาลาเปาขึ้นมากัดหนึ่งคำ ซาลาเปาไส้ผักกุ้ยช่ายไข่เค็มนั้นหอมอร่อยกว่าทั่วๆ ไป ในวังยังไม่มีอาหารเลิศรสเช่นนี้เลย แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ชอบอาหารที่มันเลี่ยน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตระกูลของหลี่ซื่อหมินเป็นชาวเผ่าหู แม้แต่ตระกูลจั่งซุนของนางก็มีสายเลือดชาวเผ่าหูปนอยู่ อาหารส่วนใหญ่จึงเป็นปลาและเนื้อสัตว์เป็นหลัก เครื่องดื่มตามปกติก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมเสียเป็นส่วนใหญ่ วันนี้ได้ลิ้มรสอาหารของสำนักศึกษาเป็นครั้งแรกก็รู้สึกถูกปากเป็นอย่างมาก โจ๊กลูกเดือยข้นๆ กลืนลงไปหนึ่งคำรู้สึกอุ่นและชุ่มปอด ผักดองก็อร่อยเช่นกัน รสชาติเค็มปานกลาง ถั่วแขกปล้องใหญ่ๆ นิ่มหวานและสด นางจึงกินซาลาเปาทั้งจานหมดโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นว่ามารดาเขาชอบอาหารของสำนักศึกษา หลี่ไท่คิดว่าเมื่ออวิ๋นเยี่ยออกจากคุก ควรจะปรุงอาหารอร่อยๆ ให้มารดาเขาทานสักมื้อหรือไม่ เขาไม่เคยกังวลแทนอวิ๋นเยี่ยมาก่อนเลย ทั้งไม่คิดว่าอวิ๋นเยี่ยติดคุกแล้วจะโชคร้าย เขารู้ว่าเสด็จพ่อของเขาจะไม่ทำอะไรอวิ๋นเยี่ย ติดคุกส่วนติดคุก โชคร้ายส่วนโชคร้าย ใครบอกว่าหากติดคุกแล้วต้องโชคร้าย อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่พบการความเชื่อมโยงที่จำเป็นจะต้องมีระหว่างเรื่องทั้งสองนี้เลย