เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 29 ประโยชน์ของอาหารเลิศรส
มนุษย์เรามักใช้จิตใจที่มืดมนที่สุดมาคาดเดาความคิดของผู้อื่น ด้วยความคิดเล็กคิดน้อยทำให้อวิ๋นเยี่ยสูญเสียพื้นฐานความสงบของจิตใจไป เมื่อมนุษย์เรามองสิ่งหนึ่งว่าเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ก็มักจะรู้สึกว่าผู้คนทั่วโลกเตรียมจะแย่งชิงมันไป
สำนักศึกษาในต้าถังยังไม่มีความสำคัญเหมือนที่อวิ๋นเยี่ยจินตนาการไว้ ในสายตาของฮ่องเต้และขุนนางต้าถังนั้น มองว่าสำนักศึกษาเป็นต้นกล้าที่สามารถเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้าได้ อย่างน้อยพวกเขาก็คิดว่าในยุคสมัยของพวกเขาไม่จำเป็นต้องพิจารณาคุณค่าของสำนักศึกษาให้มากนัก เพราะว่าสำนักศึกษามีแต่เพียงการทุ่มเทลงไปเป็นจำนวนมากและไม่มีผลผลิตอะไรออกมา ก็ย่อมไม่สามารถให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นให้กับพวกเขาได้ และแน่นอนว่าก็ไม่สามารถสร้างการคุกคามใดๆ ได้
หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยคิดเรื่องนี้ได้แล้ว ก็มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับมื้ออาหารของฮองเฮา จะปรุงอาหารอะไรดี
อวิ๋นเยี่ยนั้นเป็นดังเช่นเดียวกับที่ฮ่องเต้คิดจริงๆ มีความรู้สึกดีต่อฮองเฮาเป็นอย่างมาก
ผู้หญิงนั้นแปลกประหลาดมาก บางคนให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเช่นซินเย่ว์ บางคนให้ความใกล้ชิดเหมือนแม่เช่นจั่งซุน ส่วนบางคนก็ทำให้คนเมื่อคิดถึงแล้วก็เกิดความหุนหันพลันแล่นอยากที่จะต่อยนางเช่นหลี่อันหลาน
ปลาลิ่นในตลาดถูกสับเป็นสองส่วน หัวปลานั้นขายราคาแพงมาก เนื้อปลาราคาถูกแทบไม่มีราคา
ห้องครัวเป็นสถานที่ที่ฮองเฮาควรมาอย่างนั้นหรือ ทั้งยังผูกผ้ากันเปื้อนอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยบอกว่ากำลังเตรียมที่จะฝึกเรียนการทำอาหารกับอวิ๋นโหวยอดนักกินสักหน่อย ภายหน้าจะได้แสดงฝีมือให้พ่อสามีและสามีได้ชิมบ้าง ทั่วทั้งใต้หล้านี้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะให้นางทำอาหารให้ทานก็มีเพียงสองท่านนี้เท่านั้น ได้ยินมานานแล้วว่าจั่งซุนนั้นเคี่ยวโจ๊กได้อร่อยมาก ซึ่งก็คือเห็ดหูหนูขาวตุ๋นลูกบัวที่โด่งดัง ได้ยินนางคุยโตว่าทุกครั้งต้องใส่น้ำตาลป่นแบบผงสองสามช้อน ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยเริ่มชักกระตุก ชามใบขนาดเท่ากับกำปั้นแต่ใส่น้ำตาลป่นแบบผงสองสามช้อน จะกินโจ๊กหรือกินน้ำตาลกันแน่ หลี่ซื่อหมินนั้นมีความดันโลหิตสูง มีหรือจะรับความน่ากลัวกับการกินน้ำตาลวันละสองช้อนได้ ไม่รู้ว่าจะบำรุงร่างกายหรือทำร้ายร่างกายกันแน่ อย่าเห็นว่าหลี่ซื่อหมินเป็นฮ่องเต้ที่โด่งดังนับพันปี ในสายตาของอวิ๋นเยี่ยในตอนนี้นั้นเขาดูไม่แตกต่างจากอู่ต้าหลางเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ขาดซีเหมินชิ่งและแม่เฒ่าหวังไปเท่านั้นเอง
เพียงแค่นางมาถึงครัว ผู้ที่สามารถยืนได้ก็คืออวิ๋นเยี่ย คนรับใช้อื่นๆ และพ่อครัวเอาแต่คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น ขันทีในวังจึงเข้ามาทำหน้าที่แทนพวกที่หน้าซีดเป็นไก่ต้มเหล่านั้น แม้ว่าหลี่ไท่และหลี่เค่อจะเกลียดการเข้าครัว แต่แม้แต่มารดาก็เข้ามาแล้ว ทั้งสองพี่น้องจึงได้แต่ต้องตามเข้ามา
“ฮองเฮา เชิญท่านเสด็จไปเดินเล่นในสวน ทอดพระเนตรตัวอย่างผีเสื้อที่นักเรียนจับมาได้ แล้วดูอำพันใหม่ที่พวกเขาทำจากเรซิน หากไม่ชอบจริงๆ ท่านเสด็จไปทรงศึกษาหัวกะโหลกมังกรสักหน่อยก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว”
หลังจากที่จั่งซุนวิพากษ์วิจารณ์ห้องครัวของตระกูลอวิ๋นจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว อวิ๋นเยี่ยต้องการเพียงแค่ส่งจั่งซุนออกไป
ทำไมกระทะถึงดำมากเพียงนี้ กระทะที่สกปรกเพียงนั้นสามารถปรุงอาหารอร่อยๆ ได้หรือ
ทำไมต้องใช้เงินทำเป็นช้อน จอมล้างผลาญ! ผ้าฝ้ายดีๆ หนึ่งผืนถูกฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กๆ สิ้นเปลือง ไม่รู้จักความยากลำบากของการทอผ้าของชาวนา แสดงให้เห็นถึงฝีปากกล้าและใจเ**้ยมเป็นอย่างยิ่ง
“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าจะรู้อะไร เราทำนา เลี้ยงไหม ทอผ้า ดูแลเรื่องเล็กใหญ่ในวัง สิ่งไหนที่ไม่ได้รับคำชมจากไพร่ฟ้ากันบ้าง อย่างตระกูลอวิ๋นที่ยุ่งเหยิงของเจ้า คนรับใช้เอาแต่กินตลอดทั้งวัน แต่ละคนจะกลายเป็นหมูอยู่แล้ว เอาแต่กินไม่ทำงาน เลี้ยงม้าตัวหนึ่งตอนนี้ใครสามารถบอกได้ว่ามันเป็นหมูหรือม้า ยังมีหน้ามาไล่เราออกไปอีก”
ปีที่แล้วได้เห็นจั่งซุนทำนา รัชทายาทจูงวัว ฮ่องเต้อยู่ตรงกลางดึงคันไถ จั่งซุนเดินหว่านเมล็ดพืชอยู่ด้านหลัง พื้นที่สามร้อยกว่าตารางเมตรทั้งครอบครัวสามคนช่วยกันทำนาอยู่ครึ่งวันเช้า อวิ๋นเยี่ยเผลอหลับไป จึงถูกเหล่าหนิวถีบเข้าให้หนึ่งฝ่าเท้า ตอนนี้เมื่อคิดถึงมันก็ยังปวดอยู่เลย
หากชาวนาทำไร่ไถนาเหมือนครอบครัวนางคงอดตายไปนานแล้ว ยังจะเหลือชีวิตให้พวกเขาได้รีดนาทาเร้นกันอีกหรือ นับจำนวนทั้งหมดแล้วเลี้ยงไหมได้หนึ่งชะลอม ทั้งยังเรียกเหล่าฮูหยินที่มีฐานะไปเยี่ยมชม ท่านย่าโชคดีที่ได้เห็นไหมที่ฮองเฮาเลี้ยงดู โดยบอกว่าอ้วนๆ ขาวๆ ไม่มีผอมเลยสักตัว ราวกับคัดออกมาจากหนอนไหมหนึ่งหมื่นตัวจริงๆ ท่านย่าบอกว่าสมแล้วที่เป็นฮองเฮา สภาพแวดล้อมในการเลี้ยงไหมนั้นดี คนที่เลี้ยงไหมมาตลอดชีวิตอย่างนางนั้นไม่มีวันเทียบชั้นได้
หลังจากฟังคำพูดของท่านย่าแล้ว ในหัวอวิ๋นเยี่ยก็ปรากฏภาพฮองเฮาถือไม้บรรทัดวัดตัวไหมไปมาทีละตัว เมื่อวัดเสร็จแล้วก็โยนมันลงในชะลอมของนาง
พอเขาบอกความกังวลของตนเองให้ท่านย่าฟัง กลับแลกมาซึ่งฝ่ามือของท่านย่าและยังไม่อนุญาตให้พูดเรื่องนี้ออกไป ให้เขาเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
ดูเหมือนว่าหญิงตั้งครรภ์จะกลายเป็นคนออดอ้อน หลังจากปอกใบสีเขียวของต้นหอมจนเหลือแต่แกนอ่อนแล้ว จั่งซุนก็หยุดการทำลายล้าง แววตาที่มองดูหลี่ไทซึ่งกำลังยุ่งอยู่เปี่ยมไปด้วยความรัก ยื่นมือออกไปให้หลี่ไท่ช่วยพยุงนางลุกขึ้นโดยบอกว่านางนั่งนานๆ ไม่ได้ อยากจะไปที่เรือนกระจกของตระกูลอวิ๋นเพื่อผ่อนคลายและยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย
“เสี่ยวเยี่ย ข้าเองก็อยากรับเสด็จแม่ข้ามาพักอยู่ที่สำนักศึกษาสักระยะหนึ่ง แล้วเจ้าก็ทำอาหารอร่อยๆ ให้นางทานหนึ่งมื้อได้หรือไม่ ปีนี้ข้าไม่ได้รับเงินรางวัลไม่สามารถจ่ายเงินหนึ่งก้วนให้เจ้าได้ รอปีหน้า แม้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะคว้าเงินรางวัลมาให้ได้แล้วค่อยคืนให้เจ้าได้หรือไม่”
หลี่เค่อเห็นพวกเขาแม่เอ็นดูลูกกตัญญูจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เมื่อนึกถึงว่ามารดาต้องเลี้ยงหลี่อั้นน้องชายอายุห้าขวบในวังเพียงลำพังจึงอดไม่ได้ที่จะขอร้องอวิ๋นเยี่ย จะให้อวิ๋นเยี่ยเข้าครัวได้เว้นแต่ว่าเขาเต็มใจเอง มิฉะนั้นแล้วคนอื่นพูดออกมาจะเป็นการดูถูกอวิ๋นเยี่ย
“ความดีนับร้อยความกตัญญูมาเป็นหนึ่ง เรื่องนี้ย่อมได้แน่นอน ขอเพียงเจ้าสามารถพูดกับเสด็จพ่อของเจ้า ยอมอนุญาตให้เสด็จแม่ของเจ้าออกจากวังมาสำนักศึกษาได้ ข้ายอมให้เจ้าเป็นหนี้เงินหนึ่งก้วนนี้ไว้ก่อน ทำอาหารให้เสด็จแม่เจ้าให้เต็มโต๊ะ แต่เพื่อความเป็นธรรมแล้ว เจ้าจะต้องจ่ายข้าสองก้วนและเรื่องนี้มีเพียงครั้งเดียว ไม่มีครั้งที่สอง”
เรื่องที่น่ารักเช่นนี้คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยชอบทำที่สุด ขอเพียงสามารถช่วยเขาได้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ใส่ใจกับการที่จะต้องทำอาหารเพิ่มอีกหนึ่งมื้อ หากในราชวงศ์มีเพียงแค่การแข่งขันกันเรื่องนี้ ลูกทุกคนของหลี่ซื่อหมินต่างพากันร้องขอเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยก็จะต้องรับปากแน่ ลูกรักแม่เป็นสัจธรรมของโลก
เห็นได้ว่าเมื่อหลี่เค่อได้รับคำสัญญานี้แล้วก็ดูมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เขม่นหน้าใส่เขาเพราะว่าเขาไม่ใช่ลูกชายของฮองเฮา สำหรับเรื่องเงินสองก้วนของอวิ๋นเยี่ย เขาก็มีความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม ขอเพียงท่านแม่ไม่ขมวดคิ้วอีกต่อไป จะให้แลกด้วยอะไรเขาก็ยอม
ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาก็รู้ว่าท่านแม่ของเขาแตกต่างจากสนมคนอื่นๆ เพราะบิดาของนางเป็นฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อน ท่านแม่ก็อยู่ในวังอย่างระมัดระวังตัวอยู่เสมอ แม้กระทั่งสนมที่อยู่ระดับต่ำกว่าท่านแม่เหล่านั้นนางก็ไม่ไปล่วงเกินโดยไม่จำเป็น อยู่ในวังไม่ว่าพบใครก็จะยิ้มแย้มทักทาย ไม่เคยเห็นท่านแม่โกรธมาก่อนเลย ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องดี คราวก่อนได้ยินอาจารย์ซุนกล่าวว่าความโกรธ ความสุข ความสนุกสนานและความเศร้าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด จึงไม่ควรขาดสิ่งใดไปรวมถึงความโกรธด้วย คนปกติจะมีอารมณ์พวกนี้แสดงออกสลับกันไป ขอเพียงอย่าบ่อยเกินไปนักมันจึงจะเป็นเรื่องดี ระบายความไม่พอใจออกมาทางความโกรธ ที่จริงเป็นการปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง สุขภาพของมนุษย์ไม่ได้มีเพียงแค่ด้านบวกอย่างเดียว
เมื่อมองดูหลี่เค่อที่กำลังมีความสุขจริงๆ อวิ๋นเยี่ยเบ้ปาก ราชนิกุลผู้น่าสงสาร แม้แต่ความสุขที่เรียบง่ายที่สุดก็หาไม่ได้ อยากจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกัน
“ทำไมจึงไม่มีไก่ที่ห่อด้วยโคลนเหมือนคราวก่อนเล่า”
บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่เข้ากันเป็นอย่างดีและมีคุณค่าทางโภชนาการด้วย ซุปหัวปลาเต้าหู้ ขาหมูตุ๋นถั่วเหลือง เนื้อวัวผัดรากบัว เนื้ออกไก่ผัดเห็ดหูหนู ทั้งยังตั้งใจทำหูหมูซอยผัดน้ำพริกเผาจานพิเศษซึ่งเป็นของโปรดของอวิ๋นเยี่ย เวลาเคี้ยวทั้งเหนียวและกรอบ เป็นอาหารที่ขาดไม่ได้ขณะอวิ๋นเยี่ยดื่มเหล้า
ผัดเผ็ดมันฝรั่งซอยหนึ่งจานซึ่งเป็นของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้กับตระกูลอวิ๋นเมื่อปีที่แล้ว ตระกูลอื่นเก็บเอาไว้เหมือนสมบัติล้ำค่า มีเพียงตระกูลอวิ๋นเท่านั้นที่นำมากิน อวิ๋นเยี่ยรู้ถึงปริมาณผลผลิตของมันฝรั่งเป็นอย่างดี ใช้เวลาไม่ถึงสิบปีต้าถังจะเต็มไปด้วยของสิ่งนี้ เพราะมันปลูกง่าย ตระกูลใหญ่ๆ ในฉางอันต่างก็รับเป็นของขวัญ ได้ยินว่าปลูกมันฝรั่งกันทุกครอบครัว ปลูกมันฝรั่งราวกับว่ากำลังปลูกต้นทองคำ ทั้งยังต้องส่งองครักษ์ของที่บ้านมาเฝ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งนี่เป็นเพราะอวิ๋นเยี่ยพูดกับหลี่ซื่อหมินว่าของสิ่งนี้เขามอบเป็นของขวัญให้กับประชาชนชาวต้าถัง แต่สำหรับคนอื่นนั้นไม่ได้อยู่ในขอบข่ายนี้
ดังนั้นไม่ว่าตระกูลอวิ๋นจะปลูกหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลารอทานผลผลิตที่ออกมาก็พอแล้ว
อาหารสีสันสดใสวางเรียงเต็มโต๊ะ ทำให้ผู้คนที่เห็นก็เกิดอยากอาหาร อวิ๋นเยี่ยล้างมือเตรียมจะนั่งบนเก้าอี้รอกิน ฮองเฮาจึงเอ่ยปากขึ้น
“นี่คือสิ่งที่ชิงเชวี่ยจ่ายเงินหนึ่งก้วนแลกมา พวกเราสามคนแม่ลูกกินแน่นอนว่าต้องไม่มีปัญหาอะไร เจ้านั่งลงมาทำอะไร เจ้าเคยได้ยินบ้างไหมว่ามีพ่อครัวที่ภัตตาคารลงมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย อยากกินไก่ห่อโคลนย่างเสียหน่อยก็ไม่มี ยังจะกล้ามาแย่งกินและดื่มอีกหรือ”
คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้อวิ๋นเยี่ยพูดไม่ออก ได้แต่ค้อนขวับ เขาสรุปได้เลยว่าฝีปากกล้าและใจเ**้ยมนั้นเป็นนิสัยที่แท้จริงของจั่งซุน
จั่งซุนที่อยู่ในสำนักศึกษาดูเหมือนจะมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น บารมีน่าเกรงขามของฮองเฮาน้อยลง บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่ต้องแสร้งทำเป็นคนใจกว้างมานานปี แสร้งทำเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องทำให้อึดอัดจนถึงขีดสุด เมื่อมีสถานที่ที่สามารถทำให้นางละทิ้งสิ่งจอมปลอมเหล่านี้ทิ้งไป ธรรมชาติของผู้หญิงจึงปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย ฮอร์โมนเอสโตรเจนก็เพิ่มขึ้น จากหลายอย่างรวมกัน หากอวิ๋นเยี่ยได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขจึงจะเป็นเรื่องแปลก
ไม่เป็นไร พ่อครัวนี่นะ แน่นอนว่าต้องมีวิธีการกินอาหารตามแบบฉบับพ่อครัว อวิ๋นเยี่ยไปหาชามใบใหญ่มา ตักข้าวพูนๆ ชามใหญ่ จากนั้นเลือกผักที่ดีที่สุดบนโต๊ะตักโปะเต็มชามใบใหญ่ สุดท้ายตักขาหมูวางไว้บนเนินข้าวที่พูนๆ และลอยหน้าลอยตาเดินออกไปท่ามกลางแววตาอิจฉาขึ้นในทันที