เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 35 ความคิดเห็นของหลี่เซี่ยวกง
เหล่าขุนนางและแม่ทัพในต้าถังที่มีชื่อเสียงเกือบทั้งหมดอวิ๋นเยี่ยเคยได้พบหมดแล้ว แต่หัวหน้าหน่วยนาวิกโยธินจางเลี่ยงกลับเคยได้พบเขาเป็นครั้งแรก
ในฐานะที่เป็นทหารเรืออันดับหนึ่งของต้าถัง เขามีคุณสมบัติที่จะอาศัยอยู่ในตรอกไท่ผิงฟาง แต่เขากลับจงใจเลือกตรองชิงหลงฟางที่อยู่ห่างไกลที่สุดอยู่รวมกับกลุ่มชาวบ้าน ได้ยินว่าเขามีลูกชายหลายร้อยคน ทุกวันแล่นเรือเป็นเสมือนการละเล่นที่สระฟูหรงฉือราวกับฝึกขบวนทหาร
เมื่ออวิ๋นเยี่ยมองประตูที่ชำรุดทรุดโทรมของบ้านจางเลี่ยง มักรู้สึกว่าบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์นั้นผิดเพี้ยนไปพอสมควร บุคคลที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้จะเป็นคนทรยศหักหลังที่มีชื่อเสียงได้อย่างไร แต่เมื่อคิดถึงว่าชายคนนี้ภายหลังจะถูกหลี่ซื่อหมินสั่งประหารอยู่ที่ถนนเน่าซื่อโข่ว จึงตัดสินใจว่าจะทักทายกับเขาเพียงครั้งเดียว เฉิงฉู่มั่วเดินนำอยู่ข้างหน้าอวิ๋นเยี่ยเดินตามหลัง ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกประหลาดใจ ทำไมเดินมานานมากแล้วก็ยังไม่ถึงห้องรับแขกของตระกูลจางเสียที
พ่อบ้านที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดเห็นอวิ๋นเยี่ยเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จึงพูดกับเขาว่า “นายท่านของข้าชอบบ้านที่ค่อนข้างใหญ่เสียหน่อย ครอบครัวมีสมาชิกจำนวนมาก หากเล็กไปจะไม่พออยู่เอาได้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในตรอกชิงหลงฟางล้วนแล้วแต่เป็นสหายเก่าของนายท่านทั้งนั้น จะว่าไปแล้วเหล่าขุนนางที่สร้างความชอบในเมืองฉางอันก็ต้องบอกว่าบ้านข้านั้นใหญ่ที่สุด แม้แต่สวนฟูหรงที่อยู่ด้านหลังก็กลายเป็นสวนหลังบ้านของตระกูลข้าไปแล้ว เดินขึ้นไปอีกสองร้อยก้าวก็จะเป็นที่เก็บอาวุธของนายท่าน โหวเหยียน้อย ท่านสนใจอยากจะดูหรือไม่ มันเป็นอาวุธที่ดีที่สุดที่รวบรวมมาจากทั่วทุกสารทิศของต้าถัง ของบางอย่างไม่แน่ว่าในวังจะมี แต่บ้านเรามีครบ”
อวิ๋นเยี่ยหยุดเดิน เฉิงฉู่มั่วเห็นเขาหยุดจึงคิดว่าเขาอยากจะไปดูของสะสมตระกูลจาง ใครจะไปรู้อวิ๋นเยี่ยพูดกับพ่อบ้านว่า “ต้องขออภัยเป็นอย่างมาก จู่ๆ ข้าก็รู้สึกปวดท้อง นี่เป็นโรคที่สะสมตกค้างมาจากทุ่งหญ้า จำเป็นต้องกลับบ้านเพื่อทานยา วันนี้ขอไม่รบกวนท่านจางแล้ว โปรดอย่าได้ถือสา”
หลังจากพูดจบก็ลากเฉิงฉู่มั่วออกไปอย่างรวดเร็ว ยามที่หน้าประตูนั้นแปลกใจมาก แต่ก็ไม่ได้รั้งไว้ ได้แต่ปล่อยให้พวกเขาออกประตูใหญ่ไป
ทันทีที่พ้นประตูใหญ่ อวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วก็ขี่ม้าลงแส้แล้วจากไป เฉิงฉู่มั่วนั้นมีคำถามอยู่แน่นอกอยากจะถาม เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเงียบเขาก็ไม่ได้ถาม ทั้งสองคนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามควบม้ากลับไปที่บ้านตระกูลเฉิง
“ในต้าถังเรามีใครอาศัยทางน้ำทำมาหากินอีกบ้าง” เพิ่งจะนั่งลง อวิ๋นเยี่ยก็ถามเฉิงฉู่มั่ว
“บ้านของหลี่หวยเหรินก็อาศัยทางน้ำทำมาหากิน ในตอนนั้นขณะที่บิดาของเขาเป็นผู้บัญชาการทหารอยู่ที่มณฑลขุยโจวนั้นเคยฝึกยุทธการทางทหารเรือที่ทะเลสาบต้งถิงหู ในครอบครัวจะต้องมีคนที่มีความสามารถคุ้นเคยกับเรื่องทางน้ำแน่นอน เสี่ยวเยี่ย ข้าไม่เข้าใจ ตระกูลจางมีคนเก่งเรื่องทางน้ำตั้งมากมาย เจ้าจะไปหาตระกูลอื่นทำไม พวกเราจะเปลี่ยนคนอีกแล้วหรือ”
ในเวลานี้เอง เฉิงฮูหยินได้เดินเข้ามา ครั้นได้ยินลูกชายถามอวิ๋นเยี่ยเช่นนี้ นางจึงพูดว่า “นั่นน่ะสิ เสี่ยวเยี่ย ตระกูลจางจึงจะเป็นตัวเลือกแรกของเจ้าสำหรับการลำเลียงสิ่งของทางน้ำ ทำไมจึงทิ้งผู้เชี่ยวชาญแล้วเสียเวลามาหาทางแก้ใหม่”
“ท่านป้าไม่รู้อะไร วันนี้หลานไปที่ตระกูลจางแล้วรู้สึกแย่มาก ถ้าเพียงลานบ้านลึกและบ้านมีขนาดใหญ่ก็ช่างเถอะ ทั้งๆ ที่ครอบครัวร่ำรวยแต่กลับจงใจไม่ตกแต่งใดๆ ดูจากด้านนอกชำรุดทรุดโทรม แต่ด้านในนั้นกลับหรูหราจริงๆ เดินไม่ถึงร้อยก้าวหลานชายก็เห็นดอกไม้และต้นไม้ที่มีค่าหลายชนิดซึ่งล้วนเป็นพันธุ์ไม้ในอุทยานหลวง หินจำลองนั้นก็เป็นหินจากเขาไท่ซัน ของต่างๆ เหล่านี้คนฐานะยากจนสามารถเป็นเจ้าของได้หรือ ในครอบครัวมีลูกเลี้ยงที่รับไว้อย่างไม่เลือกหน้า บอกประมาณว่าคลังอาวุธของเขายังเหนือกว่าของราชสำนัก เห็นได้ว่าปกติแล้วต้องเย่อหยิ่งจองหองเป็นอย่างมาก ตรอกชิงหลงฟางที่กว้างใหญ่มีครอบครัวเขาอาศัยอยู่เพียงครอบครัวเดียวเท่านั้น ชาวบ้านคนอื่นๆ ไปไหนกันหมด
ท่านป้า บุคคลที่ดูเหมือนจะมีความภักดี ในความเป็นจริงแล้วในใจกลับคิดคดทรยศ พวกเราอยู่ให้ห่างไกลจะดีกว่า ประการแรกคือไม่ควรยั่วยุ ประการที่สองคือไม่กล้าไปยั่วยุ หากได้ข้องเกี่ยวกับคนประเภทนี้มันจะเป็นหายนะสำหรับลูกหลานรุ่นหลัง”
“เสี่ยวเยี่ย เจ้าอยู่ในบ้านเขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเสียด้วยซ้ำ ก็สังเกตเห็นสิ่งต่างๆ มากเพียงนี้เลยหรือ ทำไมข้าไม่เห็นจะเจออะไรเลย ข้ายังคิดว่าชายคนนี้มีอัธยาศัยดี รู้สึกถูกใจมาก”
“ฉู่มั่ว เจ้าจงจำไว้ นับจากนี้ไปอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของเขาอีกเป็นอันขาด แม่ทัพคนหนึ่งรับสมัครรวบรวมลูกเลี้ยงห้าร้อยคน เขาคิดจะทำอะไร หน่วยข่าวกรองไม่เคยปล่อยให้ทุกสิ่งในฉางอันรอดสายตา เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงทราบหรือ หรือไม่ก็ยังไม่ลงมือ แต่ถ้าลงมือเมื่อไหร่มันจะเป็นหายนะครั้งใหญ่”
เฉิงฮูหยินเขกศีรษะเฉิงฉู่มั่ว พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เสี่ยวเยี่ย เจ้าเด็กโง่คนนี้ไม่ใช่คนละเอียดอ่อน พวกเจ้าอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ช่วยท่านลุงเฉิงของเจ้าดูแลเขาให้มากๆ ด้วย อย่าได้ปล่อยให้เขาก่อเรื่องร้ายแรงขึ้นเด็ดขาด”
“ท่านป้า พวกเราสองตระกูลยังต้องพูดเกรงใจอะไรกันอีก ข้าเห็นฉู่มั่วเสมือนพี่ชายมาโดยตลอด เรื่องของเขามีหรือหลานชายจะนิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือ หลานแนะนำว่าหากตระกูลเฉิงและตระกูลจางยังมีอะไรที่ข้องเกี่ยวกันอยู่ ขอให้รีบตัดไฟแต่ต้นลมจะเป็นการดีกว่า”
เฉิงฮูหยินก็เป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ด้วยเช่นกัน มีหรือจะไม่เข้าใจเหตุผลที่แอบแฝง จึงรีบไปที่ลานด้านหลังบ้านเพื่อจัดการเรื่องในบ้าน
การไปหาหลี่เซี่ยวกงก็ลำบากเช่นกัน เคยกลั่นแกล้งตาเฒ่าไปหลายครั้ง คิดว่าในใจตาเฒ่าคงเก็บกดความโกรธอวิ๋นเยี่ยอย่างอัดแน่นเต็มอก ตอนนี้มีเรื่องไปขอร้อง ไม่รู้ว่าตาเฒ่าจะทรมานตนอย่างไรบ้าง อวิ๋นเยี่ยนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด คิดหาวิธีการอยู่ในห้องโถงของตระกูลเฉิง
เฉิงฉู่มั่วไม่ใช่คนที่สามารถนั่งติดที่ได้ จึงเอนนอนบนตั่งพลิกตัวไปมาส่งเสียงอู้อือๆ เหมือนทั่วร่างเต็มไปด้วยเหา
“ถ้าเจ้าอยากนอน ก็นอนพักสักครู่หนึ่ง พลิกไปพลิกมาทำไมกัน ส่งเสียงครวญครางน่าขยะแขยง” ถูกรบกวนความคิดอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างโกรธเล็กน้อย หลี่เซี่ยวกงก็มีปัญหาเช่นนี้ ได้ยินหลี่หวยเหรินบอกว่าขณะที่บิดาเขาหลบหนีเอาชีวิตรอดที่เจียงหนานในตอนนั้น ร่างกายเป็นแผลเน่าเฟะ แต่หลังจากแผลรักษาหายแล้ว เขาก็มักจะรู้สึกคันไปทั้งตัวอยู่บ่อยๆ วันๆ ถ้าไม่ให้คนรับใช้เกาให้สักร้อยครั้งจะไม่รู้สึกสบายตัวเลย
ซุนซือเหมี่ยวดูอาการให้แล้ว อวิ๋นเยี่ยก็เคยดูอาการให้แล้ว ไม่ได้เป็นปัญหาที่ผิวหนัง แต่เป็นเพียงแค่อาการวิตกจริต ได้ยาปลอบใจสักเล็กน้อยก็จะดีเอง แต่ทว่าจะใช้อะไรเป็นยาปลอบใจดีกันล่ะ ในมือก็ไม่มียาอะไรด้วย คงได้แต่ใช้ของจริงแทนแล้ว
ไม้ไผ่ที่ตระกูลเฉิงปลูกอยู่ที่ด้านนอกหน้าต่างทำให้อวิ๋นเยี่ยเกิดความคิดใหม่ขึ้น
เสียเวลาไปกว่าครึ่งค่อนวันจึงเตรียมของกำนัลเสร็จ การส่งของขวัญให้ผู้อาวุโสเหล่านี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีราคาแพงหรือไม่ หากแต่ขึ้นอยู่กับว่ามีความจริงใจหรือไม่
หลี่หวยเหรินไปที่หล่งโย่วแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงได้หน้าด้านหน้าทนส่งเทียบคารวะไปยังจวนอ๋องเพื่อขอพบท่านอ๋อง
ด้วยหน้าตาของอวิ๋นเยี่ยก็ยังพอใช้ได้อยู่ พ่อบ้านจึงออกมาต้อนรับและส่งอวิ๋นเยี่ยกับเฉิงฉู่มั่วไปที่ห้องรับแขกด้วยตัวเอง ได้ยินหลี่เซี่ยวกงพูดขึ้นตั้งแต่ไกล “เจ้าลูกลิงตัวนี้กะล่อนปลิ้นปล้อน ข้าขาดทุนเพราะน้ำมือเขามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ท่านเซียว อย่าได้ให้ภาพลักษณ์ภายนอกของเขามาหลอกลวงได้อย่างเด็ดขาด เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเปรียบ ถึงตอนนั้นอย่าหาว่าข้าไม่กล่าวเตือนล่วงหน้า”
แย่แล้ว เขายังมีแขกอยู่ เรื่องประเภทขอยืมคนจะให้พูดต่อหน้าคนอื่นได้อย่างไรกัน อวิ๋นเยี่ยแอบเป็นทุกข์อยู่ในใจ เฉิงฉู่มั่วกลับมองดูของขวัญของอวิ๋นเยี่ยอย่างเป็นกังวล เตรียมพร้อมที่จะก้าวขาโกยอ้าวหากตาเฒ่าอาละวาดขึ้นมา
ตั่งเตี้ยๆ นั้นมีคนสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งนั้นเตี้ยและแข็งแรง อีกคนนั้นผอมจนเหลือแต่กระดูก ผู้ที่เตี้ยและแข็งแรงคือหลี่เซี่ยวกง ส่วนผู้ที่ผอมแห้งคือซ่งกั๋วกงเซียวอวี่ หากไม่ได้มีเวรกรรมต่อกันคงไม่ได้มาพบกัน เซียวอวี่ที่ครั้งก่อนที่อยู่ตระกูลหลี่แล้วหลอกว่าตั้งใจจะแต่งตำราเองสักเล่ม ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งปีกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเขียนออกมาได้แล้วหรือไม่
“มีเพียงแค่การผ่านมรสุมใหญ่ จึงจะได้เห็นต้นหญ้าที่แข็งแกร่ง มีเพียงแค่การผ่านศึกที่รุนแรง จะแสดงให้เห็นขุนนางภักดี” นี่คือคำวิจารณ์ที่หลี่ซื่อหมินมีต่อเซียวอวี่ ซึ่งก็คือพี่ใหญ่ในกลุ่มพี่ใหญ่ ไม่มีใครที่อวิ๋นเยี่ยจะสามารถล่วงเกินได้ จึงได้แต่เข้าไปคารวะแต่โดยดี “ผู้เยาว์อวิ๋นเยี่ยคารวะท่านอ๋อง เซียวกง ไม่ได้พบกันนานแล้ว ไม่ทราบสุขสบายดีหรือไม่”
“ยังไม่ตายแน่นอน เจ้าหนุ่ม เดาว่าเจ้าเองก็ควรมาหาถึงบ้านแล้ว ถูกพลองของฮองเฮาเข้าไปเจ้ายังไม่ถึงตายก็นับว่าเก่งมากแล้ว เข้าวังไปเพื่อขอขมาก็จบเรื่องแล้ว แต่เจ้ากลับดื้อด้านยอมหักไม่ยอมงอ ข้าไม่รู้ว่าควรชื่นชมเจ้าหรือด่าเจ้าดี เงินหนึ่งหมื่นก้วนข้าเตรียมไว้ให้แล้ว ลากออกไปตอนกลับออกไปด้วย มีธุระอะไรรอหวยเหรินกลับมาหาพวกเจ้าค่อยไปหารือกัน หากข้าคลุกคลีกับเด็กรุ่นหลังอย่างพวกเจ้า เกรงว่าเงินจะไม่พอจ่ายให้คนอื่นเอา”
คำพูดเพียงประโยคเดียวของเหลาหลี่ทำให้ดวงตาของอวิ๋นเยี่ยแดงก่ำ คำพูดติดอยู่ในลำคอจนพูดไม่ออก เขายังนึกว่าเหลาหลี่น่าจะหัวเราะอย่างน้อยสองสามคำ คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าจะเป็นห่วงเขาตั้งแต่แรกแม้แต่เงินก็เตรียมไว้ให้พร้อมแล้ว
อวิ๋นเยี่ยจึงหยิบไม้เกาหลังออกจากแขนเสื้อของเขา นี่คือสิ่งที่เขาประดิษฐ์ขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนที่บ้านตระกูลเฉิง ไม้ไผ่ยังคงเป็นสีเขียวอยู่แต่ก็สวยงามมาก มีฟันเล็กๆ ห้าซี่ที่โค้งงออยู่ด้านหน้า นำมาเกาแก้คันนั้นถือว่ายอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
สองมืออวิ๋นเยี่ยยกไม้เกาหลังส่งไปที่เบื้องหน้าของหลี่เซี่ยวกงพลางพูดว่า “ความปรารถนาดีของท่านลุง หลานจะจดจำขึ้นใจไม่มีวันลืม หลานนั้นมีความรู้ต่ำต้อย จึงได้แต่ทำไม้เกาหลังที่ประดิษฐ์ขึ้นเองมามอบให้ลุงหลี่ หวังว่ามันจะบรรเทาความทุกข์จากอาการคันของท่านลุงได้บ้าง”
หลี่เซี่ยวกงหัวเราะฮ่าๆ และหยิบไม้เกาหลังมา จากนั้นใส่ไม้เกาหลังเข้าไปใต้คอเสื้อต่อหน้าเซียวอวี่เกาบนหลังของเขาสองสามครั้งแล้วดึงมันออกมาอีกครั้ง แล้วพูดกับเซียวอวี่ว่า “พี่สือเหวิน ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าเด็กคนนี้ทำอะไรมักจะถูกใจผู้อื่นมากที่สุด เพียงแค่ไม้เกาหลังอันเดียวกลับเป็นของขวัญที่ดีที่สุดยามพบหน้า หายากจริงๆ”
เซียวอวี่ลูบเคราแล้วพูดว่า “เจ้าให้เงินเขานับหมื่น เขาคืนมิตรภาพให้เจ้า ทั้งสองอย่างนี้ก็ถือว่าเสมอกันแล้ว นับว่าเป็นการสร้างเรื่องดีงามอีกเรื่องหนึ่งในใต้หล้านี้”
หลี่เซียวกงหันหลังกลับมาพูดว่า “เจ้าหนุ่ม ธุระเจ้าก็เสร็จแล้ว เจ้ากับเจ้าหนุ่มตระกูลเฉิงไม่ไปทำงาน จะมานั่งอยู่กับคนชราสองคนอย่างพวกข้าทำไมกัน จะต้องให้ข้าเลี้ยงอาหารพวกเจ้าด้วยหรืออย่างไร”
เรื่องที่กำลังจะมั่งคั่งร่ำรวยนั้นไม่ควรปิดบังแล้ว มิฉะนั้นต่อไปยังจะกล้าเป็นคนอีกหรือ ปล่อยให้คนอื่นพูดว่าตระกูลอวิ๋นแสร้งทำเป็นน่าสังเวชเที่ยวหลอกเอาเงินไปทุกหนทุกแห่ง ใช้เงินของคนอื่นเพื่อทำเงินให้ตัวเอง ด้วยคำครหานี้ ต่อให้อวิ๋นเยี่ยกลายเป็นท่านอ๋องก็ต้องถูกผู้คนใต้หล้ารังเกียจ
“ท่านลุงอาจไม่รู้อะไรบางอย่าง ฮองเฮาไม่ได้ทำให้ผู้เยาว์ต้องตกที่นั่งลำบาก แต่ได้เปิดโอกาสให้ผู้เยาว์ได้โอกาสขยายกิจการของครอบครัว สร้างความร่ำรวย ที่หลานชายมาเยี่ยมเยียนในครั้งนี้ก็เพราะต้องขอความช่วยเหลือจากท่านลุงจึงจะสามารถทำให้สำเร็จได้ ดังนั้นวันนี้จึงตั้งใจมาเยี่ยมคารวะโดยเฉพาะ”
นมแพะที่หลี่เซี่ยวกงเพิ่งดื่มเข้าปากพุ่งพรวดออกมาทันที โชคดีที่เขาเป็นนักรบที่มีปฏิกิริยาตอบสนองดี จึงได้รีบหันศีรษะไปอีกด้านได้ทัน นมแพะจึงถูกพ่นลงบนหน้าต่างที่อยู่ด้านข้าง
หลังจากหายสำลักแล้วเขาก็พูดกับอวิ๋นเยียว่า “เจ้าหนุ่ม อยู่ต่อหน้าข้าไม่จำเป็นต้องฝืนทำเป็นไหว พูดมาตามตรง เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าจะเอาตัวรอดจากเงื่อนตายนี้ได้อย่างไร”
เซียวอวี่ก็เงี่ยหูของเขา เตรียมตั้งใจที่จะรับฟังวิธีของอวิ๋นเยี่ย เขาไม่เชื่อจริงๆ ว่าจะมีเรื่องที่ไร้สาระเช่นนี้ในใต้หล้านี้ เงินส่วนต่างถึงหนึ่งแสนก้วนเป็นสิ่งที่ใครก็สามารถแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายหรือ สาเหตุหลักที่สุดที่ในวังไม่ได้สร้างตำหนักใหม่ก็เพราะไม่มีเงิน หากฮองเฮาทรงมีหนึ่งแสนก้วนคงสร้างตำหนักไปนานแล้ว พระราชวังไม่ได้รับการบูรณะมาตั้งสมัยสุยหยางตี้แล้ว เขาประทับอยู่ที่ลั่วหยางเป็นเวลาหลายปี ไม่เคยมาที่ต้าซิงเฉิงถึงสิบปี จนกระทั่งเสียชีวิตก็ยังเสียชีวิตในลั่วหยางเมืองหลวงทางด้านตะวันออก
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เพียงแค่พูดถึงแผนการของเขาเกี่ยวกับไม้จินซือหนานมู่ ทั้งยังตั้งใจหยิบแผนที่ชี้ให้หลี่เซี่ยวกงและเซียวอวี่ดูโดยเฉพาะอีกด้วย
หลี่เซี่ยวกงหัวเราะหึๆ อย่างเย็นชา เซียวอวี่ลูบเคราไม่พูดอะไร ทั้งสองต่างมองหน้ากันและกัน หลี่เซี่ยวกงพูดว่า “เจ้าหนุ่ม ขนเงินกลับไปแต่โดยดี สร้างตำหนักแต่โดยดี อย่าได้คิดหาของเล่นที่ไม่น่าสนใจเหล่านั้น หากว่าส่วนต่างมากเกินไป ไปหาพวกตาแก่สักสองสามคนเพื่อช่วยระดมทุนให้เจ้า แล้วไปขอให้ฝ่าบาททรงสนับสนุนเจ้าอีกบางส่วนก็น่าจะพอไหวแล้ว หากอยากร่ำรวยก็ไปหาวิธีอื่น การลำเลียงไม้จินซือหนานมู่กลับมาจำนวนเล็กน้อยนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าอยากลำเลียงมาเป็นจำนวนมากนั้น ยากนัก!”