เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 38 เงินหนึ่งเหวินนั้นหายไปไหนแล้ว
ด้วยการซักถามของอวิ๋นเยี่ย ทำให้องครักษ์ตระกูลอวิ๋นที่เดิมทีก็แทบจะอดกลั้นไว้ไม่อยู่แล้วกระโจนเข้ามาจับพ่อค้าทั้งสามกดลงบนพื้นและกดศีรษะไว้ติดพื้น ไม่สามารถขยับได้เลย
อวิ๋นเยี่ยจิบชาหนึ่งคำแล้วพูดกับทั้งสามคนว่า “อุตส่าห์อ่อนข้อให้แล้วแต่ยังไม่รู้จักดีอีกจริงๆ ถึงเบื้องหลังพวกเจ้าจะมีตระกูลใหญ่หนุนหลังอยู่ แต่ทำไมมารยาทเบื้องต้นก็ยังไม่เข้าใจ ตอนนี้หากข้าจะตีขาพวกเจ้าให้หักก็ถือว่าสมเหตุผล ไม่มีใครว่าอะไรได้ ข้าคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าก็อาจจะลงโทษเจ้าอีกครั้ง จะบอกพวกเจ้าให้รู้ว่า เรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งถูกพวกเจ้าทำลายลงหมดแล้ว ในเมื่อไม่เต็มใจ ก็ไสหัวไปเถอะ”
ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังดุด่าอยู่นั้น เหอเซ่าก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยชายร่างใหญ่ ถือถุงผ้าห่อใหญ่ไว้ในมือ ครั้นเห็นอวิ๋นเยี่ยโกรธอยู่จึงยืนอยู่ที่หน้าประตูไม่กล้าเข้ามา
“เป็นอย่างไรอวิ๋นโหว ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขาทั้งสามตระกูลเป็นผู้ผูกขาดธุรกิจอิฐและหินในฉางอันมาหลายปีแล้ว ตอนนี้รับทรัพย์ร่ำรวย กินกันจนตัวบวม จิตใจสกปรกมานานแล้ว เจ้าก็ไม่ยอมเชื่อเลย ตอนนี้คงรู้แล้วล่ะสิ ทำไมไม่ให้องครักษ์หักขาของพวกเขาล่ะ กล้ามาพูดจาใหญ่โตที่บ้านตระกูลอวิ๋น รนหาที่ตาย”
เหล่าเหอก็ถือว่าเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง แต่เขาเป็นพ่อค้าที่มีฐานันดรศักดิ์ การเดินทางไปทุ่งหญ้าในครั้งนี้ได้รับผลตอบแทนมากมาย การส่งเงินกลับบ้านให้เหล่าพลทหารไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ เหล่าทหารพอใจเป็นอย่างมาก หัวหน้าทหารหลายคนก็พูดถึงเขาในทางที่ดีจึงรักษาฐานันดรศักดิ์ของตระกูลไว้ได้ ตอนนี้มีหน้ามีตาเป็นอย่างมากในหมู่พ่อค้าแห่งฉางอัน มีแนวโน้มที่จะได้เป็นพี่ใหญ่อยู่ในวงการการค้าอยู่รางๆ
เมื่อเหอเซ่ากวักมือ ชายคนนั้นก็วางของลงบนพื้นอย่างระมัดระวังแล้วหมอบคารวะอวิ๋นเยี่ย
“พอแล้ว หยิบสิ่งที่เจ้านำมาออกมาให้คนงี่เง่าทั้งสามคนดู จะได้ไม่ออกไปเที่ยวโพนทะนาว่าข้าใช้อำนาจรังแกคน”
ชายชาวบ้านคนนั้นได้เปิดห่อผ้าแพรที่ห่อสิ่งของนั้นออก ที่แท้เป็นอิฐก้อนหนึ่งซึ่งตั้งใจเผาออกมาเป็นอย่างดี แต่มันเป็นอิฐสีเทาด้านบน มองไม่เห็นรอยแตกร้าวหรือเนื้อปูนที่แตกตัวเลย ตรงกึ่งกลางของอิฐนั้นมีตัวอักษรยุบลงไปเขียนว่า ‘สำหรับราชวงศ์เท่านั้น’
อวิ๋นเยี่ยส่งอิฐให้กับพ่อค้าทั้งสามและพูดกับพวกเขาว่า “เดิมทีข้าคิดว่าจะหยุดการเผาอิฐของตระกูลอวิ๋น ตั้งใจศึกษาเกี่ยวกับการเผาปูนซีเมนต์ แล้วให้พวกเจ้าสามตระกูลมารับช่วงต่อในเผาอิฐของตระกูลอวิ๋น คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะจิตใจสกปรกถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ห้ามมาต่อว่าข้านะ ข้าสร้างเตาเผาอิฐขึ้นอีกสองสามเตาก็แล้วกัน และตระกูลอวิ๋นก็เผาอิฐต่อไป ถ้าไม่พอก็ให้ตระกูลอื่นจัดหาให้ จริงสิ ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าชื่ออะไร”
“เรียนโหวเหยีย ข้าน้อยแซ่หลิว เป็นลูกคนที่สาม ท่านเรียกข้าว่าหลิวซันก็ได้ ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเฉียวกง แต่ต่อมาทำผิดวินัยทหารและถูกขับออกจากค่ายทหาร จึงได้ทำการค้านี้เป็นอาชีพ ถ้าหากโหวเหยียมอบเรื่องอิฐให้ข้าน้อยดูแล ข้าน้อยจะส่งมอบให้โดยไม่คิดเงินแม้แต่หนึ่งเหวิน เพียงแค่ขอให้โหวเหยียอนุญาตให้ภายหน้าข้าน้อยนำคำเหล่านี้มาสลักไว้บนก้อนอิฐที่ข้าผลิตก็พอ” แม้ว่าหลิวซันจะไม่ใช่ทหารแล้ว แต่นิสัยก็ยังไม่เปลี่ยน ยังคงมีความเด็ดขาดของทหารทั้งยังไม่ได้โง่เขลา รู้ถึงพลังแฝงในการกอบโกยของสี่คำนี้ ยี่ห้อของตระกูลอื่นที่อายุร้อยกว่าปีไม่แน่ว่าจะใช้การได้ดีกว่าคำพูดประโยคนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวซันแล้ว ทั้งสามท่านนี้จึงเริ่มร้อนรน เกียรติศักดิ์ของราชวงศ์เมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้วนั้นย่อมไร้คู่แข่ง แม้จะพูดจนปากฉีกว่าอิฐของเจ้านั้นคุณภาพดี ก็ไม่สามารถเอาไปเปรียบกับการหยิบอิฐก้อนหนึ่งที่สลักคำพูดประโยคที่ว่าสำหรับราชวงศ์เท่านั้นออกมาไม่ได้ แม้กระทั่งราชวงศ์ก็ใช้มัน ประชาชนยังต้องกังวลอะไรอีก เมื่อเห็นคนอื่นสลักลงไปแต่เจ้าก็ยังไม่กล้าสลักลงไปตามใจชอบ หากไม่ได้รับอนุญาตจะต้องโดนโทษประหาร
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าช่างเผาอิฐที่เดิมฝีมือระดับรองลงมาคนนี้จะแทนที่พวกเขาในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้จำหน่ายอิฐและหินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เมื่อคิดถึงตรงนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะร้อนรน พวกพ่อค้านั้นเป็นคนที่ความคิดเรียบง่ายที่สุด หากมีข้อผิดพลาดแล้วไม่มีทางที่จะไม่แก้ไขอย่างเด็ดขาด
พ่อค้ารูปร่างอ้วนแซ่หวังนำหนังสือสัญญาที่เพิ่งส่งให้อวิ๋นเยี่ยมาขยำเป็นก้อนแล้วใส่เข้าปาก พยายามกลืนมันลงไป หมอบลงบนพื้นและโขกศีรษะดังตึงๆๆ หวังเพียงว่าจะได้รับการอภัยจากตระกูลอวิ๋น
อีกสองคนยังคงลังเล ตัดสินใจไม่ได้ว่าพวกเขาควรจะโขกศีรษะขอความเมตตา หรือยังคงยืนกรานให้ถึงที่สุด กลอกตามองไปทั่วขณะคิดหากวิธีที่จะให้ดีต่อทั้งสองฝ่าย
เหอเซ่าดึงตัวชายอ้วนแซ่หวังให้ลุกขึ้นแล้วพูดกับเขาว่า “พอแล้ว ให้พวกเจ้าสองตระกูลก็แล้วกัน โหวเหยียไม่ให้พวกเจ้าทำงานเสียเปล่าแน่ ต่างก็เป็นคนที่ต้องเลี้ยงดูคนในครอบครัวทั้งนั้น คราวนี้เจ้าได้ผลประโยชน์ก้อนโตเลย ทั้งยังเป็นของดีที่สามารถส่งต่อไปยังลูกหลานคนได้อีกด้วย คนอื่นอยากแย่งก็แย่งไปไม่ได้ ฮองเฮาประทานให้เพียงแค่สามหมื่นก้วน ซึ่งเป็นเพียงเงินร้อยละยี่สิบของเงินสำหรับการสร้างตำหนักทั้งหมด ดังนั้นราคาของอิฐของพวกเจ้าก็สามารถจ่ายให้เพียงร้อยละยี่สิบ ส่วนราคาที่เจ้าจะขายให้คนอื่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า หากเจ้าสามารถจะขายออกไปในราคาสูงลิบลิ่วมันก็เป็นของเจ้า ร้อยละยี่สิบนั้นจำกัดแต่เพียงส่วนที่อยู่ในการก่อสร้างตำหนักเท่านั้น การก่อสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางจะเป็นไปตามราคาเดิมและจะจ่ายเจ้าไม่ขาดแม้แต่หนึ่งเหวิน”
หลิวซันก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน ก้าวขึ้นมาข้างหน้าจับมือพ่อค้าแซ่หวังและพูดว่า “พี่ชาย ต่อไปน้องยังมีเรื่องที่ต้องขอให้ท่านช่วยดูแลอีกมาก พวกเราสร้างตำหนักขึ้นมา บรรพบุรุษก็มีหน้ามีตาไปแปดชั่วอายุคนแล้ว ถึงตอนนั้นจะดูว่ามีใครกล้าขัดขวางพวกเรา หากมีความสามารถจริงก็ขายให้กับราชสำนักให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน”
พ่อค้าอ้วนทั้งดีใจและเศร้าใจผสมปนเปกัน โชคดีที่เขารอดพ้นจากปัญหาได้แล้ว ขณะที่อีกสองคนเพิ่งคิดออกและกำลังจะรับปาก ใครจะรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ฟังพวกเขาและโบกมือให้ เขาสองคนจึงถูกองครักษ์ตระกูลอวิ๋นหิ้วปีกออกไป โยนออกนอกประตูแล้วถ่มน้ำลายใส่พูดว่า “ลูกเล่นอะไร” และหันเดินกลับเข้าบ้าน
บรรดาพ่อค้าในลานบ้านเงียบลงในทันใด บางคนก็ทำท่าทีขึงขังยืนพิงติดกำแพง คิดจะแอบออกไป คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นจ้องมองพวกไม่พึงประสงค์แล้วเชิญกลับเข้ามาจนครบทุกคน คิดจะเอาเปรียบตระกูลอวิ๋นง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ไม่ถลกหนังพวกเจ้าสักชั้นโหวเหยียมีหรือจะปล่อยพวกเจ้าง่ายๆ ไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่โดนโยนออกไปสองคนแล้ว
เมื่อมีตัวอย่างแล้ว คนอื่นก็คุยง่ายขึ้นมาก พ่อค้านั้นไม่มีคนโง่เขลา เมื่อได้ยินว่ามีเรื่องดีอย่างหาได้ยากเช่นนี้มีหรือที่จะไม่ขอเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยสักหน่อย การวางรากฐานร้อยกว่าปีใช่เรื่องง่ายที่ไหนกัน ขอเพียงแค่เป็นพ่อค้าไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจ ตอนนี้มีทางลัดให้เดิน เพียงแค่ยอมทุ่มกับราคาในช่วงนี้ แต่ลูกหลานสามารถพึ่งพาคำพูดประโยค “สำหรับราชวงศ์เท่านั้น” นี้สร้างผลกำไรไม่จบไม่สิ้น
เมื่อข่าวลือแพร่สะพัดออกไป ตระกูลอวิ๋นก็เริ่มคึกคักมากขึ้น คราวนี้ใช้ของขวัญในการเปิดทางแทน คนเฝ้าประตูตระกูลอวิ๋นเชิดหน้าขึ้นจนจะแหงนหน้ามองฟ้าอยู่แล้ว ไม่แม้แต่จะมองพ่อค้าที่ถือของขวัญเหล่านั้น พูดเพียงประโยคเดียว “โหวเหยียเหนื่อยแล้ว กำลังพักผ่อน ไม่พบแขก” จากนั้นก็ปิดประตูเสียงดังปัง ผู้ที่รู้จักก็รู้ว่าเขาเป็นคนเฝ้าประตู หากเป็นคนที่ไม่รู้จะคิดว่าเขาเป็นโหวเหยียเอาได้
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พักผ่อน แต่กำลังพบปะกับขุนนางที่สร้างความชอบน้อยใหญ่อยู่ในห้องรับแขก คนเหล่านี้มาพบเขาตามมารยาท จึงยากที่จะปฏิเสธปิดประตูไม่ต้อนรับ จึงต้อนรับเข้ามาด้วยความเคารพ อวิ๋นเยี่ยยืนรอทักทายอยู่ที่หน้าประตูห้องรับแขกด้วยตนเอง
“พี่ปู๋ชี่ ไม่ได้พบกันนานแล้ว ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ได้ยินมาว่าท่านได้สร้างผลงานให้กับประเทศชาติที่ทุ่งหญ้ากว้าง พี่ชายก็แทบจะรอไม่ไหวอยากจะบินไปที่เมืองซั่วฟางภายในหนึ่งวันเพื่อร่วมต่อสู้กับพี่น้องให้ได้ มันจะสะใจเพียงไหนกัน!”
“พี่ซู่เหรินได้ยินว่าเจ้าเพิ่งแต่งอนุภรรยาคนใหม่เข้าบ้านเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเป็นสาวงามสุดยอดของหอเอี้ยนไหลโหลวเชียวนะ เมื่อไหร่ที่น้องชายจะได้มีโอกาสไปเยี่ยมคารวะ”
“ไสหัวไป ไม่บอกว่าจะมาเยี่ยมพี่ชายแต่คิดถึงพี่สะใภ้ พี่น้องเช่นนี้จะมีไปทำไมกัน ตอนที่ข้าอยู่ในหอเอี้ยนไหลโหลวก็ได้ลองกินแตงกวาไม่เห็นจะได้อารมณ์ทางศิลปะอะไรเลย พี่ปู๋ชี่มีกลยุทธ์อะไรรีบเล่ามาให้พี่ชายฟัง”
“ฮ่าๆ พี่ปู๋ชี่ ได้ยินมาว่าเจ้าถูกฮองเฮาวางหลุมพรางอีกแล้ว น้องตั้งใจมาแสดงความยินดีโดยเฉพาะ ข้าก็อยากจะโดนฮองเฮาวางหลุมพรางบ้าง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีวิธีที่จะบอกฮองเฮาได้ พี่ปู๋ชี่สามารถทำให้ฮองเฮามองท่านใหม่ได้ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”
“พี่ปู๋ชี่ บ้านของข้าได้แต่อาศัยการเปิดร้านน้ำมันตุงในการเลี้ยงชีพ เราต่างก็เป็นพี่น้องกัน เจ้าก็ช่วยดูทีว่าควรจัดการอย่างไรดี”
ในห้องรับแขกนั้นยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนกับอยู่ในเล้าไก่ บางคนก็สานสัมพันธ์เก่า บางคนก็พยายามที่จะสนิทชิดเชื้อกัน บ้างก็หาเรื่องหยอกล้อกัน บางคนก็นำเรื่องมิตรภาพมาคุกคามกัน สรุปแล้วอวิ๋นเยี่ยเหมือนต้นหญ้าน้อยๆ ท่ามกลางพายุลมฝน โดนพัดโอนเอนไปมา
ผู้ที่ได้มาตระกูลอวิ๋นโดยมากแล้วเป็นลูกหลานของคนในกองทัพ อวิ๋นเยี่ยไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ทหารต้าถังแต่ไหนแต่ไรมาก็มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญหน้ากับขุนนางฝ่ายบุ๋น แม้ว่าจะมีความขัดแย้งกันเองเป็นการภายในอย่างรุนแรง แต่เมื่อเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของกองทัพแล้ว จะพร้อมใจกันพุ่งเป้าไปที่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย
ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ เหล่าคุณชายเสเพลพวกนี้เมื่อพูดอะไรจึงไม่ต้องมีข้อจำกัดใดๆ จะต้องทำให้คนสนิทชิดเชื้อของตนเองพึงพอใจก่อน นี่เป็นพื้นฐานของการวางตัว ตระกูลอวิ๋นจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้ความบันเทิงเหล่าเสือสิงห์กระทิงแรด
หลังจากที่กินกันอย่างอิ่มหมีพีมันแล้ว เหล่าคุณชายเสเพลก็วางจอกเหล้าในมือลงอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วมองมาที่อวิ๋นเยี่ยรอให้เขาพูด รอให้ธุระเสร็จสิ้นแล้วจึงค่อยดื่มต่อ เพราะที่บ้านกำลังรอคำตอบอยู่
“พี่น้องทุกคนต่างก็เป็นคนกันเอง เช่นนั้นน้องจะไม่พูดคำพูดที่อ้อมค้อมเหล่านั้น ข้าถูกฮองเฮาเล่นงานเข้าให้จนตอนนี้ได้เผือกร้อนมาหนึ่งชิ้น ช่วยไม่ได้ ทรงมีพระราชเสาวนีย์มาแล้ว แม้ข้าต้องทุ่มเททั้งชีวิตก็ต้องทำให้สำเร็จให้จงได้ ไม่เช่นนั้นหน้าตาของกองทัพคงต้องถูกข้าทำลายจนหมดสิ้น
น้องครุ่นคิดอย่างหนักและในที่สุดก็คิดหาวิธีที่จะสร้างตำหนักได้ด้วยเงินสามหมื่นก้วนแล้ว นั่นก็คือการขายสิทธิ์ในการตั้งชื่อ สิทธิ์ในการตั้งชื่อนี้ไม่สามารถขายเป็นเงินเหรียญได้ มิฉะนั้นฝ่าบาทคงต้องจับน้องเสียบประจานบนเสาแน่ ดังนั้นจึงได้แต่คุยกันในเรื่องของราคาเท่านั้น พี่ชายทุกท่าน ขอเพียงการค้าของตระกูลสามารถเชื่อมโยงกับการก่อสร้างตำหนักได้ ข้ายินดีตอบรับทุกอย่าง เพียงแต่ต้องพูดเรื่องน่าละอายให้ทราบก่อน ซึ่งก็คือราคานั้นให้ได้เพียงร้อยละยี่สิบของราคาเดิม แน่นอนว่านี่เป็นเพียงราคาวัสดุที่ใช้สำหรับก่อสร้างตำหนักเท่านั้น ส่วนอื่นๆ รวมถึงวัสดุที่ใช้ในการสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางจะสั่งซื้อในราคาเดิม ไม่ทราบว่าได้หรือไม่ ขอให้แสดงความเห็นด้วย”
เนื่องจากพวกเขาต่างก็ได้ร่วมลงเรือลำเดียวกันแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกจากความสนิทชิดเชื้อใดๆ
“สิ่งที่พี่ปู๋ชี่พูดนั้นสมเหตุสมผล เงินสามหมื่นก้วนมีหรือจะพอสร้างตำหนัก อีกทั้งยังเป็นตำหนักที่ใช้ถกปัญหาราชการด้วย ซึ่งก็จะใช้ได้เพียงร้อยละยี่สิบเท่านั้น ที่บ้านพี่ชายทำวัสดุเกี่ยวกับสี ตำหนักในวังต้องมีโอกาสได้ใช้แน่ พี่ชายขอพูดเอาไว้ ณ ที่นี้เลย ขอเพียงแค่เป็นวัสดุที่ใช้ในวัง แม้ต้องแถมเงินให้ข้าก็จะยังคงจัดหามาให้ ถือเสียว่าเป็นการช่วยเหลือให้พี่ปู๋ชี่ผ่านพ้นด่านที่ยากลำบากนี้ไปได้ ไม่ว่าใครก็ห้ามแย่งกับข้า หากใครก็ตามแย่งข้าจะจัดการคนๆ นั้น”
ลูกชายของหลิวหงจีก็มีนิสัยเช่นนี้ บิดาของเขามีพื้นเพเป็นนักเลงท้องถิ่น ไม่มีอะไรนอกจากหมัด
ในไม่ช้าก็เป็นไปตามความคาดหมาย มีสองตระกูลที่ทำการค้าประเภทเดียวกัน พวกเขาจึงเจรจาต่อรองแบ่งสรรปันส่วนที่แต่ละตระกูลสมควรต้องรับผิดชอบ ซึ่งต่างก็ยินดีปรีดาด้วยกันทั้งหมด
เมื่อธุระเสร็จสิ้นแล้ว คนรับใช้ของแต่ละครอบครัวก็ส่งข่าวกลับไปแจ้งที่บ้าน งานเลี้ยงก็ยังคงดำเนินต่อไป เหล่าคุณชายเสเพลก็ยังดื่มกันต่อไป อวิ๋นเยี่ยจำได้แต่เพียงว่าเขาถูกลากลงมาเต้นรำกลางงาน ทั้งยังเป็นการเต้นรำแบบหูเสวียน[1]ด้วย หมุนไปหมุนมาจนสุดท้ายจำอะไรไม่ได้เลย
ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งวัน เมื่อครู่เพิ่งได้ยินเสียงกลองดังอย่างเลือนราง ฟ้าเพิ่งจะสว่าง ทำไมจึงมีคนมาเขย่าตัวเองไม่ยอมหยุด อาการเมาค้างเมื่อคืนทำให้อวิ๋นเยี่ยปวดศีรษะสุดจะทานทน จึงดันมือที่มาเขย่าตัวเขาออกไปด้วยความรำคาญ แล้วพลิกกายเตรียมจะนอนต่อ
คราวนี้ไม่ได้ผลักแล้ว เปลี่ยนเป็นเปิดเปลือกตาขึ้น อวิ๋นเยี่ยโกรธจัด ในบ้านนี้ใครช่างใจกล้าถึงเพียงนี้ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเมื่อคืนดื่มหนักเพียงไหน
เช่นนี้ก็ไม่สามารถนอนหลับได้อีกต่อไป จึงลุกพรวดขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะอาละวาด ใครจะรู้ว่าภาพที่เห็นจะเป็นหลี่เฉิงเฉียนที่จ้องมองด้วยขอบตาดำๆ ทั้งสองข้าง แล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เงินหนึ่งเหวินนั้นหายไปไหนแล้ว”
——
[1] หูเสวียน เป็นรูปแบบการเต้นรำของชนเผ่าแถบซีอวี้ โดยเป็นการเน้นการหมุนหลายๆ รูปแบบเป็นหลัก มีต้นกำเนิดจากแคว้นคังในตะวันออกกลาง เผยแพร่เข้ามาในภาคกลางในสมัยราชวงศ์ถัง