เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 39 ความรู้สึกกับความลับ
สองตาของอวิ๋นเยี่ยจ้องมองหลี่เฉิงเฉียนอย่างเหม่อลอยไร้สติ ถามอย่างเจ็บปวด “แม้กระทั่งประชุมเช้าเจ้าก็ไม่เข้าร่วม วิ่งมาที่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อถามข้าว่าเงินหนึ่งเหวินนั้นหายไปไหนตั้งแต่เช้าตรู่หรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ เมื่อคืนข้าไม่ได้นอนเลย เพราะอยากรู้ว่าเงินหนึ่งเหวินนั้นหายไปไหน ตั้งแต่เช้าพอประตูวังเปิดก็รีบมาหาเจ้า” หลี่เฉิงเฉียนพูดด้วยความนอบน้อมและจริงใจเป็นอย่างมาก
“เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อคืนข้าทำงานจนดึกดื่นค่ำมืดเพื่อสร้างตำหนักโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัวเจ้า และดื่มเหล้าเข้าไปมาก ตอนนี้ปวดศีรษะเอามากๆ ต้องการการนอนหลับเป็นอย่างยิ่ง”
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องพบปะสังสรรค์กับพวกเพื่อนสำมะเลเทเมาจำนวนมาก เต้นรำอย่างสนุกสนาน อีกทั้งเจ้ายังเต้นรำแบบหูเสวียนอยู่บนโต๊ะอีกด้วย แม้แต่ชุดนอกก็ถอดออก ได้ยินว่าบิดสะโพกได้อย่างพราวเสน่ห์ ดูมีความสุขมาก สุดท้ายก็ส่งพวกเขาออกไป พวกเจ้ายังรุมต่อยตีอู่โหวที่ลาดตระเวนยามดึกอีกด้วย เช้าวันนี้ได้ยินว่าเจ้าหน้าที่จากหน่วยปราบปรามการทะเลาะวิวาทของเมืองอู่เฉิงได้ถวายฎีการ้องเรียนพวกเจ้า เพื่อหลีกเลี่ยงความเดือดร้อน ข้าจึงไม่ได้ไปร่วมประชุมเช้า เผ่นหนีออกมา”
เมื่อได้ฟังเรื่องที่หลี่เฉิงเฉียนพูด ก็ได้เติมเต็มความทรงจำที่หายไปของเมื่อคืนได้ครบถ้วน ความง่วงของอวิ๋นเยี่ยหายไปในทันใด ลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังห่มผ้าห่มและถามหลี่เฉิงเฉียนว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝ่าบาทจะจัดการข้าอย่างไร”
“ข้าจึงได้มาที่นี่เพื่อจัดการเจ้าอย่างไรเล่า เสด็จพ่อทรงมอบอำนาจในการจัดการพวกเจ้าให้ข้าหมดแล้ว โดยตรัสว่าก็แค่ความวุ่นวายที่พวกคุณชายเสเพลจอมล้างผลาญก่อขึ้น ให้ข้าสั่งสอนพวกเจ้าให้หนักสักครั้ง ถ้าหากข้าอารมณ์ดี ก็เพียงแค่ตำหนิเท่านั้นก็ย่อมได้ แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีพวกเจ้าก็จะโดนโบย แต่ถ้าเจ้าต้องการเลือกการถูกคุมขังข้าก็ไม่ว่าอะไร คนละสี่วันเท่านั้นเอง ก็แค่เรื่องนอนหลับสักพักเดี๋ยวก็ผ่านไป จัดการง่ายดี”
ตอนนี้เจ้าหนุ่มหลี่เฉิงเฉียนก็นิสัยเสียเสียแล้ว รู้จักใช้อำนาจในมือของเขามาข่มขู่ผู้คนแล้ว เพื่อให้เขารู้สึกดีขึ้น อวิ๋นเยี่ยจึงบอกคำตอบให้เขาฟัง “เจ้านำเงินในมือของเจ้าของโรงเตี๊ยมลบด้วยสามดูสิ แล้วคำนวณใหม่ก็จะเข้าใจ อย่าคำนวณย้อนจากหลังมาหน้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะละเลยตัวเลขที่น้อยกว่าหนึ่งพวกนั้นไป”
“เสด็จพ่อทรงบอกข้าว่านี่เป็นกลอุบายเล็กๆ ของเจ้า อาศัยความฉลาดด้านเรขาคณิตมาหลอกคนที่ไม่รู้ เป็นเพียงแค่กลวิธีบังตาเท่านั้น การคำนวณจากข้างหน้าไปข้างหลังไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามจะต้องมีการดำรงอยู่เป็นพื้นฐาน สิ่งใดที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงเจ้าก็ใช้ข้อผิดพลาดทางคณิตศาสตร์มากลบเกลื่อนไป ตอนนี้ดูไปแล้วเห็นทีว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในความเป็นจริงแล้วพวกเราแต่ละคนจ่ายเงินเก้าจุดสามเหวิน ซึ่งไม่ได้จ่ายแค่เก้าเหวินถ้วนถูกหรือไม่”
“รัชทายาททรงฉลาดปราดเปรื่องจริงๆ กระหม่อมนั้นไล่ตามไม่ทันจริงๆ”
“เสี่ยวเยี่ย เรื่องการสร้างตำหนักคราวนี้เจ้าอย่าเกลียดเสด็จแม่ได้หรือไม่” หลี่เฉิงเฉียนถามประโยคนี้ออกมาโดยอวิ๋นเยี่ยไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“เสี่ยวเยี่ย ข้าเป็นรัชทายาท มันไม่ง่ายเลยที่จะหาเพื่อนได้สักคนหนึ่ง และยิ่งเป็นเรื่องยากกว่าที่จะหาเพื่อนเช่นเจ้าได้สักคน หากเจ้ามีความคับข้องใจใดๆ สามารถบอกข้าได้ ข้าจะต้องช่วยเจ้าแน่นอน แต่เจ้าอย่าได้โกรธเสด็จแม่ข้าได้หรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยมองรัชทายาทอยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้วถามเขาว่า “รอยคล้ำรอบดวงตาเจ้าคงไม่ได้เกี่ยวกับเงินหนึ่งเหวินนั้น แต่เป็นเพราะกังวลว่าข้าจะมีความคับแค้นใจต่อฮองเฮา จึงนอนไม่หลับทั้งคืนใช่หรือไม่”
หลี่เฉิงเฉียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า
“เฉิงเฉียน ให้ข้าได้พูดถึงความรู้สึกที่มีต่อฮองเฮา แล้วเจ้าอยู่ด้านข้างคอยตัดสินดีหรือไม่”
ลูกจะไม่ฟังความผิดของบิดา นี่คือคำสอนของลัทธิขงจื้อ หลี่เฉิงเฉียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังคงพยักหน้า
“ครั้งแรกที่ข้าได้พบฮองเฮาคือที่บ้านของหนิวเจี้ยนหู่ ข้ากับเฉิงฉู่มั่วแกล้งหนิวเจี้ยนหู่จึงถูกเขาวิ่งไล่ฆ่า วิ่งหนีออกจากจวนหนิวไม่ทันระวังจึงปะทะเข้ากับขบวนเสด็จเข้า ถูกองครักษ์ในวังจับตัวไว้และส่งไปรับโทษต่อหน้าพระพักตร์ฮองเฮา แต่ฮองเฮาไม่ได้ทรงลงโทษอะไรพวกเรา ลงโทษเพียงแค่ให้พวกเราเข้าไปเรียนหนังสือในวัง ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่การลงโทษอะไรเลย แต่ควรจะเรียกว่ารางวัล
ฮองเฮาทรงสร้างความประทับใจที่ดีมากให้ข้า ข้ามักจะคิดว่าผู้เป็นมารดาควรจะเป็นเช่นนี้ ข้าไม่เคยได้พบแม่ แต่ความรู้สึกที่ฮองเฮาทรงประทานให้นั้นอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก
ต่อมาข้าได้พบพี่สาวเจ้า ข้าไม่ปิดบังเจ้า หน้าตาพี่สาวเจ้าดูเหมือนคนผู้หนึ่งมาก ราวกับเป็นคนเดียวกัน ในโลกใบนั้นนางควรจะเป็นภรรยาข้า ดังนั้นข้าจึงได้เสียมารยาทไป แต่น่าเสียดายที่หน้าตาเหมือนกันแต่จิตใจกลับแตกต่าง รูปร่างหน้าตาของพี่สาวเจ้าเหมือนคนที่สนิทชิดเชื้อที่สุดของข้า แต่วิญญาณที่สถิตในร่างกายนั้นกลับทำให้ข้ารังเกียจเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าจึงขาดสติไปต่อปากต่อคำกับไท่ซั่งหวง เจ้ารู้ไหม เฉิงเฉียน ขณะที่ฮองเฮาทรงคุกเข่าลงเพื่อขออภัยโทษแทนข้านั้น ข้าก็สาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อฮองเฮา เพื่อการคุกเข่าครั้งนั้นก็คุ้มค่าแล้ว!
เรื่องอื่นๆ ต่อมาเจ้าก็รู้หมดแล้ว เรื่องการขายเกือกม้าเหล็ก แทนที่จะบอกว่าฮองเฮาทรงต้องการเงินของข้า ต้องบอกว่าฮองเฮาทรงต้องการปกป้องข้าเสียมากกว่า เจ้าก็รู้ ครั้งนั้นพวกเราเกือบกำจัดขุนนางหมดราชสำนัก
เพราะมีฮองเฮาให้ท้ายข้า ดังนั้นข้าจึงได้เพียงฉายาสามเภทภัยแห่งฉางอัน แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้โดนลงโทษใดๆ เจ้าคิดว่าข้าจะเกลียดแค้นฮองเฮาหรือไม่ สำหรับเรื่องการสร้างตำหนักเป็นเพียงการละเล่นเล็กๆ ระหว่างข้ากับฮองเฮา ที่จริงแล้วไม่ว่าตำหนักจะสร้างสำเร็จหรือไม่ข้าก็จะไม่ถูกลงโทษอยู่ดี
เฉิงเฉียน นอกจากข้าแล้ว เจ้าเคยเห็นใครที่ถูกฮองเฮาใช้อำนาจบีบคั้นเพื่อผลทรัพย์สินอะไรหรือไม่”
“ไม่มี ไม่มีอย่างแน่นอน เสด็จแม่ข้าเป็นคนที่มีคุณธรรมและฉลาดปราเปรื่อง ไม่มีวันทำเรื่องเช่นนี้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าในวังจะมีสภาพคล่องฝืดเคืองเพียงไร แม้ถึงขั้นที่เสด็จแม่ข้าจะไม่ได้ใส่ชุดที่ยาวลากพื้น นางก็ไม่เคยแบมือขอใคร แม้แต่ท่านลุงข้าก็ไม่เคย”
“ฮ่าๆๆๆ !” อวิ๋นเยี่ยหัวเราะอยู่เป็นเวลานานจึงยอมหยุด พูดกับหลี่เฉิงเฉียนอีกว่า “เฉิงเฉียน เจ้ายังจำได้ไหมว่าตอนที่ข้าเพิ่งขายเกือกม้าได้และเจ้าก็ได้กำไรบางส่วน สุดท้ายก็ถูกฝ่าบาทยึดเอาไป ต่อจากนั้นของข้าก็ถูกฮองเฮายึดเอาไปด้วย
นี่แสดงให้เห็นว่าฮองเฮาไม่ได้ทรงเห็นข้าในฐานะคนนอก แต่เห็นข้าเป็นลูกหลานที่ไม่เข้าใจโลก การเก็บเงินที่มากเกินจำเป็นไปจากมือพวกเราคือสิ่งที่ผู้ปกครองทุกคนจะทำ ฮองเฮาไม่ได้ทรงมองว่านี่เป็นการใช้อำนาจขู่กรรโชกอะไร เพียงแค่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรมแล้ว ตอนนี้เจ้ายังคิดว่าในใจข้าจะยังมีความขุ่นเคืองฮองเฮาอยู่อีกหรือไม่ “
หลี่เฉิงเฉียนก็หัวเราะเสียงดังขึ้น เมฆหมอกที่อึมครึมก็จางหายไป อวิ๋นเยี่ยมองออกว่านั่นเป็นเสียงหัวเราะที่โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกจริงๆ
หัวเราะสักพักหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หยุดหัวเราะแล้วพูดอย่างแค้นใจว่า “พี่สาวข้านั้นเป็นคนโง่ ผู้ชายเช่นเจ้านางกลับไม่ต้องการ นางอยากได้คนเช่นไรกัน ถ้าเจ้าเป็นพี่เขยข้า มันคงจะดีอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเยี่ย เจ้าบอกข้าทีโลกที่เจ้าพูดถึงคือไป๋อวี้จิงใช่หรือไม่ ที่นั่นมีคนที่หน้าตาเหมือนพี่สาวข้าใช่ไหม เจ้าชอบนางมากขนาดนั้นหรือ”
หลี่เฉิงเฉียนถามด้วยความตื่นเต้น เขาอยากรู้มาตลอดว่าแท้จริงแล้วมีสถานที่เช่นไป๋อวี้จิงอยู่หรือไม่กันแน่
“เฉิงเฉียน หากข้าบอกเจ้าละก็ เจ้าเพียงเก็บไว้ในใจก็พอ มิฉะนั้นมันจะนำความหายนะมาถึงตัว ถูกต้อง ไป๋อวี้จิงนั้นมีอยู่จริง ข้าเคยไปที่นั่นและผู้คนที่นั่นสามารถบินขึ้นสวรรค์เก้าชั้นได้ ดำดิ่งลงไปในท้องทะเลที่ลึกมากได้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว”
หลี่เฉิงเฉียนสั่นเท่าไปทั่งร่างด้วยความตื่นเต้นเพราะเขาได้รู้ความลับอันยิ่งใหญ่ ถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ทำไมถึงกลับไปไม่ได้ พวกเราลองไปดูด้วยกัน ข้าเองก็อยากเห็นด้วย”
“มีทฤษฎีแปลกๆ อยู่ที่นี่อย่างหนึ่ง เมื่อคนเราวิ่งได้เร็วกว่าแสงอาจเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงเวลาได้ เฉิงเฉียน เจ้าคิดว่าพวกเราต้องทำอย่างไรจึงจะวิ่งได้เร็วกว่าแสง”
กรามของหลี่เฉิงเฉียนแทบจะหล่นลงกับพื้น ผ่านไปเป็นเวลานานจึงพูดว่า “แสงวิ่งได้เร็วเพียงไหน ใครจะรู้กัน”
“ข้ารู้นะ เจ้าแบ่งหนึ่งชั่วยามออกเป็นเจ็ดพันสองร้อยส่วน ในแต่ละส่วนของเวลาแสงสามารถวิ่งได้หกแสนลี้” อวิ๋นเยี่ยอธิบายให้หลี่เฉิงเฉียนฟังด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
“เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าไม่มีวันเป็นไปได้หรือ ถ้าคนพวกนั้นมาทั้งหมดจะทำอย่างไรดี”
“ถ้าอยากจะมาก็ต้องวิ่งเร็วกว่าแสง ถ้ามีใครสามารถทำได้ เขาก็เป็นเทพเจ้าที่บรรลุเป็นเทพเซียนแล้ว มีใครใส่ใจว่าจะได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่ ดังนั้นเจ้าจงเก็บมันไว้ในส่วนลึก คิดวิเคราะห์ปัญหาของชาวเผ่าเซวียเหยียนถัว ถู่อวี้หุน ถู่ปัว หนานจ้าว พวกนี้จึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า”
“เสี่ยวเยี่ย ข้าขอถามคำถามสุดท้าย หลังจากถามแล้วข้าสัญญาว่าต่อไปจะไม่ถามอีกเลย และจะไม่ไปเที่ยวพูดที่อื่นด้วย แม้แต่เสด็จพ่อข้าก็จะไม่พูด นี่เป็นการรับประกันของข้า”
“เช่นนั้นเจ้าก็ถามเถอะ นี่เป็นคำถามสุดท้าย หากเจ้าถามอีกครั้งในภายหลังข้าจะต่อยเจ้า”
“ในเมื่อผู้คนที่นั่นสามารถบินได้ ก็แสดงว่ามีชีวิตอยู่ได้นานใช่หรือไม่”
“โดยทั่วไปแล้วมีอายุถึงเจ็ดสิบหรือแปดสิบปี คนแก่ที่มีอายุมากที่สุดดูเหมือนจะมีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี ไม่เคยได้ยินว่ามีคนที่อายุมากกว่านี้แล้ว” อวิ๋นเยี่ยพูดไปตามความสัตย์จริง แม้ว่าอายุขัยโดยทั่วไปของคนในโลกยุคก่อนของเขาจะยืนยาวกว่าคนในราชวงศ์ถัง แต่ถ้าเปรียบเทียบอายุขัยที่ยาวนานที่สุด ก็ไม่แน่ว่าจะอยู่ได้ยืนยาวกว่าชาวต้าถัง”
หลี่เฉิงเฉียนผิดหวังกับคำตอบนี้เป็นอย่างมาก เขาก็ยังคงรักษาคำมั่นสัญญาของเขา ซึ่งก็ไม่ได้ถามอีกเลยจริงๆ
ความลับใดๆ ที่อยู่ในใจเป็นเวลานานมักจะกลายเป็นภาระ ตอนนี้มีใครบางคนมาแบ่งปันออกไปช่างดีจริงๆ เดิมทีนั้นอวิ๋นเยี่ยคิดว่าเขาสามารถนำความลับนี้ฝังลงไปในสุสานพร้อมกับตัวเองได้ แต่ตอนนี้มันแตกต่างกันแล้ว อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องตอบคำถามซึ่งหน้าให้ชัดเจน ซึ่งก็คือเขาเคยไปที่ไป๋อวี้จิงมาแล้วจริงๆ การที่เอาแต่พูดคลุมเครือ เมื่อนานวันเข้ามันจะทำให้เกิดความสงสัย รวมถึงทำให้ผู้คนสงสัยในพฤติกรรมของตัวเองด้วย
การโกหกไม่ได้จีรังยั่งยืนมากนัก หากเป็นคนก็จะรู้จักคิดพิจารณา แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาคิดไปในทางที่ไม่ดี การบอกออกมาตามตรงอย่างเปิดเผยจริงใจเลยยังจะดีเสียกว่า
การรับประกันของหลี่เฉิงเฉียนไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือเสียเท่าไร ด้วยความเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยเช่นนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมมารพันปีอย่างหลี่ซื่อหมินและจั่งซุนแล้วจะไม่ให้เผยพิรุธอะไรเลยนั้นยากกว่าการให้แม่หมูปีนต้นไม้เสียอีก
นอกจากนี้ตนเองก็ยังมีช่องโหว่มากเกินไป หากไม่อุดช่องโหว่ในตอนนี้ ภายหน้าก็จะไม่มีโอกาสอีก
“แล้วพี่สาวข้าเจ้าจะทำอย่างไร ข้าได้ยินมาว่านางกำลังจะแต่งงานไปที่หลิ่งหนาน เป็นคำร้องขอของนางเอง คราวนี้ตระกูลใหญ่ในหลิ่งหนานสวามิภักดิ์แล้ว จึงได้มีตระกูลใหญ่หลายตระกูลมาทูลขอเสด็จพ่อเรื่องการอภิเษกสมรส หวังว่าจะมีสายเลือดแห่งราชวงศ์ได้แต่งงานไปยังหลิ่งหนาน เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติแล้วจึงถือเป็นเรื่องดีอย่างมาก ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าพี่สาวข้าจะเลือกตระกูลไหน”
เมื่อได้ยินหลี่เฉิงเฉียนพูดเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกเจ็บปวดใจโดยไม่มีเหตุผล แต่เมื่อเขาคิดว่าตนเองก็กำลังจะแต่งงานแล้ว จึงได้ฝืนกดความรู้สึกนี้เอาไว้
“ขณะที่ข้ากับพี่สาวเจ้าอยู่ด้วยกัน นางมักจะชักชวนให้ข้าเป็นเสาหลักของราชสำนัก เดิมข้าคิดว่านางเพียงต้องการเกลี้ยกล่อมให้ข้าก้าวหน้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวนางเองจะเป็นคนชอบอำนาจมาก อำนาจภายในวังไม่อยู่ในสายตานาง นางอยากจะลิ้มรสอำนาจด้วยตัวนางเอง”
“นางอยากจะเลียนแบบบุตรีของท่านอ๋องหวยหนานแห่งราชวงศ์ฮั่นที่เต็มใจแต่งงานกับชาวเผ่าซยงหนูโดยสมัครใจ คิดจะใช้ความงดงามของนางมาควบคุมพลังอำนาจของราชาแห่งเผ่าซยงหนู หรือว่าที่พี่สาวข้าต้องการแต่งงานกับราชาแห่งหลิ่งหนาน จากนั้นก็เข้าแทนที่เขา ไม่จริงกระมัง นางเป็นคนเช่นนี้หรือ”
“เกรงว่าจะใช่ เจ้าเพียงแค่ดูการเลือกของหลี่อันหลานก็จะรู้เอง ขอเพียงนางเลือกตระกูลที่มีลูกชายน้อยแต่ทรงอิทธิพลมาก นั่นก็หมายความว่านางต้องการทำเช่นนี้จริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่นางอยากจะอยู่ให้ไกลจากข้า กลัวข้าถูกทำร้าย ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง!”