เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 4 ปลายักษ์กลืนเรือ
ในโลกนี้ไม่มีคนดีอย่างแท้จริงอยู่และก็ไม่มีคนเลวอย่างแท้จริงเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่า ในบันทึกของทางการ เถียนเซียงจื่อนั้นเป็นจอมวายร้ายที่ก่อเรื่องเลวร้ายไม่เลือก แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นแค่ชายชราที่ไม่มีแรงฆ่าไก่เสียด้วยซ้ำ ร่างกายที่อ่อนแอไม่สามารถฆ่าผู้คนได้ สิ่งที่สามารถฆ่าคนได้คือสติปัญญาอันฉลาดหลักแหลมของเขา เหตุใดคนฉลาดเช่นนี้จึงพยายามวิ่งเข้าหาทางตาย อายุแปดสิบปีเข้าไปแล้วเหตุใดจึงไม่รู้จักปล่อยวางบ้าง
คนโง่นั้นเถรตรงมาก เมื่อกินอิ่มก็นอนหลับ ไร้ทุกข์ไร้กังวล มนุษย์เราโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีสติปัญญาหลักแหลม เมื่อคิดมากก็มีข้อสงสัยมากขึ้น สิ่งที่ไม่รู้ก็ยิ่งมากขึ้นด้วย คนโง่จะไม่พิจารณาว่ามีเทพเจ้าบนดวงจันทร์หรือไม่ แต่คนฉลาดนั้นคิด ทุกครั้งที่เขาแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้า ก็อดไม่ได้ที่จะคิดสงสัยว่าดวงดาวคืออะไรกันแน่ มันเป็นตำหนักของเทพเซียนบนแดนสวรรค์จริงๆ หรือ
ซึ่งเถียนเซียงจื่อในตอนนี้ก็เป็นผู้ที่โดดเด่นคนหนึ่งในบรรดาพวกเขา เขากล่าวอ้างว่าเข้าใจหลักสัจจธรรมของโลกอย่างถ่องแท้ ตอนนี้เพียงแค่ต้องการหาเส้นทางลัดสู่สวรรค์เท่านั้น เขาก็จะพ้นจากมนุษย์กลายเป็นเซียน ขณะที่คุยเรื่องเหล่านี้อยู่นั้น อวิ๋นเยี่ยพบว่าเขาอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่คลั่งไคล้อย่างหนึ่งจนไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ นี่คือคนบ้าคนหนึ่ง คนบ้าที่ซึ่งมีโรคหลงผิด แต่เขาก็ยังมีความสามารถในการควบคุมตนเองที่แข็งแกร่ง ดังนั้นปกติแล้วจึงมองความผิดปกติไม่ออก
“ตั้งแต่เขาเกล้าผมเริ่มเล่าเรียนมา คำแรกที่ข้ารู้จักก็คือคำว่าเซียน ตลอดชีวิตข้าได้ให้อุทิศให้กับการศึกษาค้นคว้าตำรา พลิกอ่านบันทึกตำราต่างๆ ของบรรพชนทุกยุคทุกสมัย จับประเด็นจากใจความหลัก ค้นรายละเอียดจากเนื้อหา มองหาจุดสำคัญ อ่านทุกประโยค วิเคราะห์ทุกตัวอักษร ในที่สุดก็ค้นพบไป๋อวี้จิง ที่นั่นเป็นดินแดนของหยกขาวร่ายรำอยู่บนท้องนภา นักรบถืออาวุธ เมื่อได้ยินบทบรรเลงแห่งเทพเซียนก็เต้นรำอย่างครื้นเครง กระเรียนเซียนคาบต้นจือหลัน เต่าขาวมอบหยกมหามงคล เบื้องล่างมีบึงมรกต เบื้องบนมีนางฟ้าโปรยดอกไม้ อวยพรข้าอายุยืนสามพันปี”
แนวคิดที่ฟุ้งซ่าน คำพูดที่ไม่มีตรรกะ เสียงที่มีเหมือนไม่มี แววตาที่ทำให้รู้สึกไม่เป็นสุข ทั้งหมดนี้ยืนยันได้ว่าเถียนเซียงจื่อเป็นคนบ้าอย่างสมบูรณ์แบบ อวิ๋นเยี่ยหยิบลูกท้อที่กัดไปแล้วหนึ่งคำขึ้นมากินต่อ เขาต้องการหาอะไรบางอย่างมาอุดปาก มิฉะนั้นเขาคงจะต้องวิ่งหนีเตลิดไปเป็นแน่
“พวกเจ้าติดตามข้า เดินขึ้นสู่บันไดสวรรค์ มีสายลมเป็นผ้าคลุม คว้าดวงดาว เช้าดื่มน้ำค้างเซียน ดึกมีสายรุ้งเป็นอาหาร จารึกชื่อไว้ในทำเนียบเซียน เช้าชื่นชมหิมะบนเขาคุนหลุน เย็นฟังเสียงคลื่นแห่งทะเลตงไห่ มีอิสระอย่างหาที่เปรียบไม่ได้” เถียนเซียงจื่อได้ตกอยู่ในภาพลวงตาที่ตนเองสร้างขึ้นจนถอนตัวไม่ขึ้น ลูบไล้ซีถงที่อยู่ด้านข้าง พูดจาไพเราะเสนาะหูเพื่อล่อลวงให้เขาเชื่อ ซีถงที่รูปร่างสูงกว่าแปดฉื่อขดหมอบอยู่ข้างหลังเขาราวกับลูกแมว ปล่อยให้อุ้งมือที่เ**่ยวแห้งข้างนั้นลูบหลังตามใจชอบ
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเสียใจภายหลังเป็นอย่างมากที่มาพบเถียนเซียงจื่อ เขาคิดว่าในฐานะผู้นำเถียนเซียงจื่อจะต้องเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม ภายใต้เงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องได้ในสิ่งที่ตนต้องการ ทั้งสองคนจะเห็นชอบแบบเดียวกัน คนหนึ่งจะเดินทางไปทั่วโลก อีกหนึ่งรออยู่ที่ฉางอันเพื่อรอดูบันทึกการเดินทางรอบโลกที่พวกเขาเขียน มันช่างสมบูรณ์แบบอะไรเช่นนี้ แม้จะคิดจนหัวแตก เขาก็คิดไม่ถึงว่าการมาพบหน้ากันของทั้งสองคนนี้จะแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ ตัวเองอยากเจรจาเงื่อนไขกับคนบ้างั้นหรือ
“คิดไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าจะฝึกฌานได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกศิโรราบเป็นอย่างยิ่ง ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสได้มีส่วนร่วมเล็กๆ น้อยๆ ในแผนการบรรลุเซียนของท่าน ดังที่กล่าวกันว่าการได้ติดตามนายดีย่อมได้อิทธิพลด้วย ดังเช่นพี่ซีถงที่ได้มีวาสนาต่อวิถีแห่งเซียนเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนรอบข้างอิจฉาเสียจริง”
หลังจากที่หายตื่นเต้น แววตาของเถียนเซียงจื่อก็ค่อยๆ ชัดแจ้งขึ้น การที่เขาตกอยู่ในจินตนาการของตัวเองไม่ได้เกิดขึ้นครั้งหรือสองครั้ง ล้วนแล้วแต่อาศัยความมุ่งมั่นอันแข็งแกร่งเพื่อกลับสู่ความเป็นจริง เห็นได้ชัดว่าซีถงนั้นไม่มีความสามารถเช่นเขา ขณะตื่นเต้นยังคงไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้
“ได้ยินซีถงพูดว่าอวิ๋นโหวเตรียมที่จะบอกทุกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับไป๋อวี้จิงให้ข้ารู้ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นจริงใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนนี้ท้องฟ้าในดินแดนเหนือสุดยังคงมืดอยู่ แต่เมื่อถึงสิ้นเดือนสามจึงจะเป็นเวลาที่จะเริ่มดำเนินการได้ ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าได้ส่งคนให้ออกเดินทางเร็วเกินไป ที่นั่นมีอันตรายรอบด้าน หากอยากรอดชีวิตกลับมามันยากยิ่งกว่าการปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก” บอกความจริงในขณะที่เถียนเซียงจื่อยังคงมีสติครบถ้วนจะเป็นการดีกว่า
“ข้าเองก็คิดเช่นกันว่าพวกเขาไม่สามารถรอดกลับมาได้ แต่ว่าการอุทิศตนเพื่ออุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้ของพวกเขาด้วยเช่นกัน คราวนี้ข้าตั้งใจจะไปด้วยตนเอง อวิ๋นโหวเห็นเป็นอย่างไร”
“วาสนากับการเป็นเซียน วาสนากับการเป็นเซียน การได้พบกันจึงจะเรียกว่ามีวาสนาต่อกัน ซึ่งมันเป็นของท่านที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแย่งไปได้ หากมันไม่ใช่ของท่านก็ไม่สามารถฝืนกันได้ การที่ท่านผู้เฒ่าจะไปด้วยตนเองสักครั้งหนึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ร่างกายของท่านจะสามารถทนอากาศอันหนาวเหน็บของที่นั่นได้หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยอยากจะให้ชายผู้นี้ตายในทันทีเสียจริง แต่ปากก็ต้องพูดโน้มน้าวสักหน่อย กิริยาท่าทางที่พึงกระทำก็ไม่ควรให้ขาดหาย
“มีคำแนะนำของอวิ๋นโหวคิดว่าไม่น่าเป็นปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าอวิ๋นโหวคิดจะสร้างผลงานไว้ในโลกมนุษย์ ตัดขาดกับเรื่องการบรรลุเป็นเซียนอย่างสิ้นเชิง ไม่เช่นนั้นหากเราสองคนแสวงหาวิถีแห่งเซียนและมรรคผลไปด้วยกัน เช่นนั้นจะไม่เป็นเรื่องที่น่ายินดีหรือ”
ประโยคนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยตกใจขนพองสยองเกล้า หากต้องถูกเขาลากตัวไปขั้วโลกเหนือด้วยละก็ นี่จึงจะเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนเองจริงๆ
“ก่อนอาจารย์สิ้น อาจารย์ได้ห้ามปรามข้าว่าไม่ควรหมกมุ่นอยู่กับวิถีแห่งเซียน นอกจากนี้ข้าได้เห็นสภาพที่อเนจอนาถของอาจารย์แล้ว ในใจจึงไม่กล้าใฝ่ฝันถึงเรื่องวิถีแห่งเซียนจริง ๆ ได้แต่เพียงอวยพรล่วงหน้าขอให้ท่านผู้เฒ่าประสบความสำเร็จในเร็ววัน หากวันหน้าเกิดปรากฏรุ้งบนฟากฟ้า ข้อต้องจุดธูปนมัสการเพื่อแสดงความยินดีกับท่านเถียนเซียงจื่อ”
ฮ่าๆๆ เสียงหัวเราะดังอย่างสะใจเปล่งออกมาจากทรวงอกของเถียนเซียงจื่ออย่างมีความสุขเป็นที่สุด
“ในใต้หล้านี้มีพวกที่ห่วงแสวงหาลาภยศและผลประโยชน์โดยไม่เลือกวิธีการ ถูกยศถาบรรดาศักดิ์และความร่ำรวยที่มีเป็นเวลาหลายร้อยปีในใต้หล้านี้ล่อลวงให้หลงใหล ดังเช่นแมลงชีปะขาวที่มีช่วงชีวิตอันแสนสั้นเช้าเกิดเย็นตาย อวิ๋นโหวละทิ้งวิถีแห่งเซียนอันยิ่งใหญ่ฝักใฝ่ในผลประโยชน์อันน้อยนิด เหตุใดจึงไม่รู้ความเช่นนี้ แต่ก็ช่างเถอะ วาสนากับวิถีแห่งเซียนนั้นฝืนกันไม่ได้ เจ้าอยู่ในดินแดนอันล้ำค่าแต่กลับต้องกลับมามือเปล่า ช่างน่าเศร้า ช่างน่าเสียดาย”
เถียนเซียงจื่อมองดูอวิ๋นเยี่ยด้วยแววตาสงสารเวทนาต่อมนุษย์โลก ราวกับว่าได้เจอคนที่โง่ที่สุดในโลก แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะถูกดูหมิ่น แต่กลับแสดงออกว่าไม่สะทกสะท้านต่อคำชมและการดูหมิ่นเลย ในสายตาของเถียนเซียงจื่อนั้นเห็นเป็นว่าเขาได้หลงใหลในยศถาบรรดาศักดิ์และความร่ำรวยในโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่หลงเหลือจิตใจที่จะแสวงหาความก้าวหน้าแม้แต่น้อย
อวิ๋นเยี่ยหยิบแผนการบุกขั้วโลกเหนือที่เขียนเมื่อหลายวันก่อนออกจากอกเสื้อ สองมือยกขึ้นส่งมอบให้กับเถียนเซียงจื่อ อย่างไรเสียคนเขาก็กำลังจะกลายเป็นเซียน เตรียมใช้อายุแปดสิบปีที่ชราภาพของเขาในการบุกเบิกขั้วโลกเหนือแทนเขา จึงคู่ควรแก่การที่เขาจะให้ความเคารพ
เถียนเซียงจื่อรับสมุดเล่มเล็กๆ บางๆ จากมืออวิ๋นเยี่ยด้วยตัวเอง หลังจากเปิดออกอ่านอย่างละเอียด เพียงครู่เดียวก็อ่านจบ หลับตาลง ในสมองประมวลผลชั่วครู่ จึงลืมตาขึ้นแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ปลายักษ์ที่หนักนับแสนจินมีอยู่จริงหรือ”
“ในตอนนั้นคุณชายเหรินโยนสมอยักษ์ลงในทะเล ใช้วัวเป็นเหยื่อล่อ ตลอดเวลาหนึ่งปีตกไม่ได้ปลาเลย สุดท้ายแล้วก็ตกได้ปลาตัวยักษ์ซึ่งสามารถใช้เป็นเสบียงเดินทางสำหรับพันลี้ ท่าผู้เฒ่าอ่านตำรามานับไม่ถ้วนเหตุใดจึงไม่รู้จักเนื้อความส่วนนี้ เหตุใดจึงถามเรื่องนี้ขึ้น ท่านไปทะเลเหนือต้องได้พบกับปลายักษ์ที่จะกลืนเรืออย่างแน่นอน หมีขาวนั้นไม่น่ากลัว ท่านมียอดฝีมือเป็นผู้คุ้มกันย่อมไม่กลัวเป็นธรรมดา แต่ปลาที่กลืนกินเรือได้ตัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่แรงของมนุษย์จะสามารถจัดการได้ หากพบมันขอให้หลีกให้ไกลจะเป็นการดี”
“แน่นอนว่าข้าเคยอ่าน ‘จวงจื่อ’ ก่อนหน้านี้คิดว่ามันเป็นเพียงคำอุปมา คิดไม่ถึงว่าปลากลืนเรือจะมีอยู่จริง การไปครั้งนี้ของข้าเป็นตายยากคาดเดาได้ เรื่องดีอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ คนมากมายเท่าไหร่ที่คิดอยากจะไปและพยายามอย่างที่สุด แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว ตอนนี้ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดกลับเป็นการตกเป็นอาหารปลา มันช่างวิเศษเหลือคำกล่าวจริงๆ ”
เถียนเซียงจื่อเป็นสิงห์ร้ายที่มีใจทะเยอทะยานแห่งยุคจริงๆ จูชั่นอ๋องปีศาจกินคนแห่งปลายยุคราชวงศ์สุยก็เป็นศิษย์ของเขาท่านหนึ่ง หลังจากที่จูชั่นเสียชีวิตแล้วเขาก็หายตัวไป คนทั่วหล้าเคียดแค้นที่เขาไม่ตาย เตรียมจะกินเนื้อของเขา คนที่อยากถลกหนังเขามาทำผ้าห่มห่มไม่ได้มีหนึ่งหรือสองคน หลี่จิ้งของต้าถังก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น การพยายามติดตามไล่ล่ามาเป็นเวลาหลายทศวรรษแต่กลับไม่มีเงื่อนงำอะไรเลย แต่เขากลับยังอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข
“ของขวัญล้ำค่าจากอวิ๋นโหว ข้าจะจดจำไว้ในใจ ตระกูลลับเองก็ได้เตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไว้ หวังว่าอวิ๋นโหวจะให้เกียรติรับไว้ด้วย” หลังจากพูดจบก็ปรบมือ ชายหัวล้านก็ถือกล่องเหล็กมาวางไว้เบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ย เสียงขณะที่วางลงพื้นฟังดูหนักอึ้ง น้ำหนักไม่เบา!
หลังจากมอบของขวัญเสร็จก็ดูเหมือนเถียนเซียงจื่อเองก็ใช้กำลังจนหมดสิ้น ชายแข็งแกร่งสองคนเดินแบกเกี้ยวสองคนหามออกมาจากด้านหลังต้นไม้ ซีถงอุ้มเถียนเซียงจื่อขึ้นเกี้ยวโค้งให้อวิ๋นเยี่ยหนึ่งครั้งแล้วก็จากไป ชายแข็งแกร่งสองคนนั้นเดินเร็วมาก พริบตาเดียวก็หายเข้าไปในป่าริมแม่น้ำ
เฉิงฉู่มั่วและทหารเสริมชราเดินออกจากศาลาริมแม่น้ำ มายังสถานที่ที่อวิ๋นเยี่ยและเถียนเซียงจื่อพูดคุยกัน อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ขยับเขยื้อน ยังคงอยู่ในท่านั่งคุกเข่ากินลูกท้ออย่างสบายอกสบายด้วยท่าทีที่ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เฉิงฉู่มั่วก็นั่งลงข้างๆ อวิ๋นเยี่ยหยิบลูกแพร์ขึ้นมาลูกหนึ่งโยนให้ทหารเสริมชรา ตนเองก็หยิบขึ้นมากัดกินดังกร้วบๆ เขารู้จักนิสัยประหลาดของอวิ๋นเยี่ยดี ขอเพียงเขาตกอยู่ในการใช้ความคิดก็จะสูญเสียประสาทรับรู้เรื่องภายนอก สิ่งที่ตนเองสามารถทำได้ก็คือ อยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเขาและรอให้เขาได้สติกลับมาเอง
องครักษ์ของตระกูลอวิ๋นต่างก็เดินออกมาจากป่าทีละคน โดยที่ทุกคนชักดาบออกจากฝัก ลูกธนูดึงขึ้นลำเตรียมพร้อมที่จะสังหารได้ทุกเวลา เพราะตั้งแต่ต้นจนจบอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ออกคำสั่งให้โจมตี ตอนนี้เถียนเซียงจื่อจากไปแล้ว แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องดักซุ่มต่อไป จึงทยอยปรากฏตัวขึ้น
อวิ๋นเยี่ยได้สติตื่นจากการใช้ความคิด หยิบเม็ดลูกท้อออกจากปาก ลูกท้อนั้นกินหมดไปนานแล้ว เขาเคี้ยวเม็ดลูกท้อโดยไม่รู้ตัว ฟันของเขาก็แทบจะหลุดหักออกมาแล้ว
มีม้าเร็วตัวหนึ่งออกมาจากริมแม่น้ำ หลี่จิ้งแต่งชุดพร้อมต่อสู้ ด้านหลังมีกระบี่ยาวอยู่ในฝักสะพายไขว้หลัง เดินเข้ามาที่ด้านหน้า ดวงตาแทบจะพ่นไฟออกมา เขาชักกระบี่ออกจากฝักเพียงกระบี่เดียวก็ฟันโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ยออกเป็นสองส่วน
เขาโบกมือไล่องครักษ์ที่อยู่โดยรอบออกไป เห็นว่าเหลือเพียงอวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วที่นั่งกินผลไม้อยู่บนพรม เขารู้ว่าเฉิงฉู่มั่วนั้นไล่ไม่ไป จึงลดเสียงเบาลงแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เจ้าปล่อยคนประเภทไหนไป ความน่ากลัวของเขาเกรงว่าแม้เจ้าฝันก็คิดไม่ถึง เหตุใดท่านป้าหงของเจ้าจึงกลายเป็นสภาพเช่นนั้น นั่นก็เพราะพลาดท่าครั้งใหญ่ให้กับจอมปีศาจร้ายตนนี้ ข้าตามหาทั่วหล้าเป็นเวลายี่สิบปี ครั้งนี้เป็นครั้งที่เข้าใกล้เขามาที่สุด เจ้าหนุ่ม เจ้าจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตที่ปล่อยคนคนนี้ไปในวันนี้”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มและพูดกับหลี่จิ้งว่า “ท่านลุงหลี่ วางใจได้ จุดจบที่ดีที่สุดของเขาก็คือการฝังร่างอยู่ในแดนร้างที่อยู่เหนือสุด ท่านพูดถูก บุคคลคนนี้น่ากลัวมากเพราะเขาเป็นคนบ้า ทุกคนที่ฝันถึงการเป็นอมตะ หากไม่ใช่คนบ้าก็เป็นพวกวิปริต ท่านคงไม่เข้าใจว่าอะไรเรียกว่าวิปริต เพียงแค่รู้ว่าเมื่อครู่ข้าเองก็อยากฆ่าเขามาก เพียงแต่มีความจำเป็นจริงๆ จึงจำต้องปล่อยให้เขาไป แค่ท่านเปิดเสื่อขึ้นก็จะเข้าใจเอง”
เฉิงฉู่มั่วได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนั้นจึงเปิดเสื่อใต้เท้าออก เห็นเพียงใต้เสื่อนั้นมีหลุมอยู่หนึ่งหลุม สวี่จิ้งจงและถังเจี่ยนนอนขดสลบไม่ได้สติอยู่ที่ก้นหลุม รอบกายถูกโรยด้วยของจำพวกที่ติดไฟง่าย เช่น กำมะถัน น้ำมัน ฟืนเอาไว้ เชือกเส้นหนึ่งถูกชุบน้ำมันไว้เชื่อมต่อยาวมาถึงสถานที่ที่ซีถงนั่งอยู่
เมื่อหลี่จิ้งเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วก็เขวี้ยงกระบี่ลงบนพื้นอย่างแรงและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โจรเฒ่านี้ได้ฉายาว่าวางแผนไร้ช่องโหว่ ครั้งนี้พวกเราเสียท่าอีกแล้ว”
“ต้องโทษที่ข้าไม่ได้บอกท่านลุงหลี่ก่อน ไม่เช่นนั้นด้วยความสามารถของท่านลุงหลี่ แม้ว่าเขาจะเป็นเซียนก็ไม่อาจหนีพ้นความตายไปได้” อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องเป็นฝ่ายรับผิดไว้เอง มิฉะนั้นหากหลี่จิ้งเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันไม่ไปบรรยายที่สำนักศึกษา คราวนี้อวิ๋นเยี่ยได้ร้องไห้ตายแน่ ส่วนเรื่องที่ว่าเถียนเซียงจื่อจะตายหรือไม่และตายเมื่อไหร่ เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นเยี่ยด้วย