เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 46 บารมีน่าเกรงขามของท่านย่า
อวิ๋นเยี่ยพักอยู่ที่ฉางอันก็เพื่อรอหลี่ซื่อหมินเรียกเข้าพบ ใครจะรู้ว่าหลี่ซื่อหมินดูเหมือนจะลืมเขาไปแล้ว เมืองฉางอันยังคงดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่อวิ๋นเยี่ยคิดว่าจะปิดเก้าเมืองและทำการตรวจค้นครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินเล่นเกมอะไรอยู่
ถังซ่านสือบุตรชายของถังเจี่ยนได้ส่งหยกจันทร์เสี้ยวมาถึงบ้านและกล่าวขอบคุณอย่างยืดยาวโดยที่จับต้นชนปลายไม่ถูก จากนั้นก็รีบร้อนลากลับ มองดูแววตาที่ไม่รู้เรื่องของเขา ก็รู้ว่าถังเจี่ยนไม่ได้เล่าเรื่องหญ้าลืมทุกข์ให้ลูกชายของตัวเองรับรู้
เขาแย่งหยกจันทร์เสี้ยวมาจากมือของถังซ่านสือที่ยืนกัดฟันอยู่มาดูอย่างละเอียด ไม่เสียทีที่ได้ชื่อว่าดวงจันทร์จริงๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงพระจันทร์เสี้ยว แต่เนื้อของหยกนั้นเป็นของชั้นเลิศจริงๆ ละเอียดประณีตจนดูเหมือนกึ่งโปร่งแสง สวมไว้ที่นิ้วหัวแม่มือก็ไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่เล็กน้อย ขณะเหนี่ยวคันธนู หากสวมไว้ย่อมถือเป็นของล้ำค่าชั้นเยี่ยมจริงๆ
อวิ๋นเยี่ยทำท่าการเหนี่ยวคันธนูอยู่หลายครั้งและพูดกับถังซ่านสือผู้ซึ่งไม่เคยละสายตาจากหยกจันทร์เสี้ยวเลยว่า “วางใจเถอะ บิดาเจ้ามอบของสิ่งนี้ให้ข้าแต่ก็ยังไม่ได้ต้องการตัดขาดกับข้า เพียงแค่เป็นการขอบคุณเท่านั้น ของสิ่งนี้ข้าอยากจะมอบให้คนคนหนึ่งแล้วจะตัดขาดกับนางอย่างสิ้นเชิง”
ถังซ่านสือเองก็อายุเพียงยี่สิบปี ถูกอาจารย์ประจำตระกูลถังเสี้ยมสอนจนเป็นคนใจดำไร้ยางอาย ของก็มอบให้ผู้อื่นแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังพยายามอ้อมค้อมถามหาสาเหตุ พ่อของเขาถือตัวไม่เห็นใครอยู่ในสายตามาโดยตลอด ครั้งนี้เขาถูกอวิ๋นเยี่ยขู่กรรโชกจนเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจ มีหรือยังจะไว้หน้าเขาอีก คิดว่าอยู่ที่บ้านคงต้องโดนดุด่าอย่างรุนแรงแน่
“พี่ถัง เจ้าก็อย่าได้ถามอีกเลย จะได้ไม่ทำให้ถังกงโกรธ เจ้าเพียงแค่ต้องรู้ว่าถังกงนั้นมอบหยกจันทร์เสี้ยวให้น้องชายด้วยความเต็มใจ ถ้าไม่ใช่ว่ายังมีประโยชน์กับข้า อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยให้ถังกงเอาเปรียบมากถึงเพียงนี้”
คำพูดของอวิ๋นเยี่ยไม่ได้มีความชัดเจนอะไร จึงทำให้ถังซ่านสือสับสนมากยิ่งขึ้น แต่ในเมื่อของก็มอบไปแล้ว อีกทั้งท่านพ่อของตนเองก็เป็นคนสั่งมา จึงได้แต่จากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ไม่มีข่าวเกี่ยวกับพิธีอภิเษกสมรสที่จะจัดขึ้นในอีกสามวันต่อมา หลี่อันหลานฝากรัชทายาทให้ขอบคุณอวิ๋นเยี่ยด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนคนปกติทั่วไป เลิกคิดว่าทุกคนในโลกนี้ต่างก็เป็นหนี้นาง ไม่ว่าทำอะไรเพื่อนางก็ถือเป็นสิ่งสมควรแล้ว
อวิ๋นเยี่ยเข้าวังไม่ได้แล้ว เขาถูกราชองครักษ์ไล่ออกมาทันทีที่เขามาถึงประตูวัง ถึงแม้ว่าราชองครักษ์ร่างกำยำที่มีหนวดเคราดกหนานั้นจะพูดด้วยความสุภาพ แต่แสดงอาการปฏิเสธอย่างชัดเจนมาก ทั้งยังริบป้ายแขวนเอวที่อนุญาตเข้าวังคืน โดยให้เหตุผลคือของชิ้นนี้หนักเกินไป กลัวโหวเหยียเอวเคล็ด
เหตุผลนี้น่าสนใจ อวิ๋นเยี่ยถอดป้ายแขวนเอวออก ทันใดนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายลงมากมาย โบกมือให้องครักษ์ เดินจากไปอย่างองอาจผึ่งผายเป็นที่สุด ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่ต้องการเข้าวังอีกเลยตลอดชีวิต คราวนี้ริบป้ายแขวนเอวคืน ช่างตรงกับความคิดอวิ๋นเยี่ยจริงๆ
เขาเริ่มจะลงมาควบคุมการก่อสร้างที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางอย่างเต็มที่ เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะถามเกี่ยวกับเรื่องการสร้างตำหนักอีกต่อไป แม้แต่กงซูมู่เชื้อเชิญเขาไปเยี่ยมชมโครงสร้างตำหนัก อวิ๋นเยี่ยก็ยิ้มแล้วปฏิเสธไป
“อวิ๋นโหว ตระกูลกงซูไม่ใช่คนที่พายเรือไปตามน้ำ ครั้งนี้ที่ตระกูลกงซูข้าสามารถได้แสดงทักษะครั้งใหญ่ได้ก็มาจากการที่อวิ๋นโหวเป็นผู้มอบให้ พวกข้าทุกคนในตระกูลจะจดจำขึ้นใจ การสร้างตำหนักก็เป็นเพียงการสร้างตำหนักเท่านั้น สิ่งที่ข้าให้ความสำคัญมากที่สุดไม่ใช่การสร้างตำหนักหนึ่งหลังบนพื้นดิน แต่อยากจะสร้างตำหนักแห่งหนึ่งที่คงอยู่ชั่วกาลในใจของทุกคน วันที่ตำหนักเสร็จสมบูรณ์นั่นก็คือวันที่ตระกูลกงซูกลับสู่สำนักศึกษา”
ไม่รู้ว่าผู้เฒ่ากงซูไปได้ยินข่าวบางอย่างที่ไม่ดีต่อตระกูลอวิ๋นมาจากไหน แต่มันสายเกินไปแล้ว เขาจึงตั้งใจใช้ฐานะช่างใหญ่ขอให้อู่โหวส่งเขามาที่ตระกูลอวิ๋น พูดคำพูดยืดยาวในทำนองที่แสดงความภักดีต่อเขาอย่างฮึกเหิมห้าวหาญ
“ท่านกงซู ท่านคิดผิดไปแล้ว ตระกูลของท่านสร้างตำหนักด้วยความเหนื่อยยาก ตำแหน่งและรางวัลที่ควรได้ในภายหน้าก็ล้วนสมควรได้รับแล้ว ท่านก็ยอมรับมันอย่างหน้าชื่นตาบาน สำนักศึกษาไม่ได้เป็นของข้า มันก็เป็นของท่านด้วย และยิ่งไปกว่านั้นสำนักศึกษาเป็นของพวกเราทุกคนด้วย แน่นอนว่าพวกเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อให้สำนักศึกษาสามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป เพื่อเพิ่มบุคลากรทีละเล็กละน้อยให้กับชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ของเรา แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยสงสัยในความจริงใจของตระกูลกงซูเลย ท่านไปทำในสิ่งที่ท่านควรทำเถิด ไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกข้า หากจะนำตำหนักมาเป็นตัวประกันเพื่อขออะไรบางสิ่งบางอย่างจากราชวงศ์ มันไม่ใช่นิสัยของอวิ๋นเยี่ย ตำหนักว่านหมินนั้นเดิมก็ควรจะเป็นตระกูลกงซูของท่านมารับหน้าที่สร้างให้เสร็จ
ตำหนักแห่งนี้เป็นความหวังของผู้คนชาวฉางอัน ข้าไม่ต้องการที่จะเห็นมันแปดเปื้อนกับแผนการชั่วร้ายแม้แต่น้อยนิด”
กงซูมู่จึงหัวเราะขึ้น ความไร้เดียงสาเหมือนเด็กได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายชรา เขาตบไหล่อวิ๋นเยี่ยเบาๆ จากนั้นก็ม้วนแบบก่อสร้างที่นำมาด้วยเก็บขึ้นหนีบไว้ที่ใต้รักแร้และฮัมเพลงท่อนหนึ่งที่ไร้ชื่อไม่รู้ว่าเป็นของถิ่นไหน ก้าวเท้าเดินอย่างร่าเริงออกจากตระกูลอวิ๋นไป
การที่ป้ายแขวนเอวของอวิ๋นเยี่ยถูกริบคืนนั้นดูเหมือนจะบ่งบอกว่าความโปรดปรานของราชวงศ์ที่มีต่ออวิ๋นเยี่ยได้สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ มีบ้างที่เคียดแค้นศัตรูคนเดียวกัน มีบ้างที่คอยซ้ำเติมผู้ที่ตกอับ แต่ที่มีมากที่สุดกลับเป็นพวกที่ยืนอยู่บนกำแพงคอยชมทัศนียภาพ
ตั้งแต่กลับมาจากทุ่งหญ้า มรสุมแห่งฉางอันก็เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน อวิ๋นเยี่ยที่รักความสบายถูกบังคับให้ต้องเข้าไปพัวพันในมรสุมนี้ หลี่ซื่อหมินชอบการต่อสู้ แต่อวิ๋นเยี่ยเกลียดการต่อสู้ เขาไม่ชอบการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม
การขอร้องแทนหลี่อันหลานอาจทำให้หลี่ซื่อหมินโกรธได้ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของแต่ละชนเผ่าในทุ่งหญ้าในการแต่งตั้งตำแหน่งของท่านข่านของพวกเขา หลี่ซื่อหมินไม่ชอบเหตุเหนือความคาดหมาย เพื่อที่จะสามารถใช้ช่วงเวลาสำคัญนี้ให้ผ่านพ้นไปอย่างสงบ เขาจึงเลือกที่จะไล่อวิ๋นเยี่ยซึ่งเป็นตัวแปรอันไม่คงที่ให้ไปไกลๆ เพื่อให้ตนเองได้เสพสุขอย่างสงบกับช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิตของเขา
งานแต่งงานของหลี่อันหลานไม่ได้เกิดขึ้นตามหมายกำหนด นี่คือสิ่งที่หลี่ซื่อหมินอธิบายต่ออวิ๋นเยี่ย จากนั้นใช้เรื่องการริบป้ายแขวนเอวคืนเพื่อบอกอวิ๋นเยี่ยว่าเจ้าควรกลับไปที่สำนักศึกษาได้แล้ว ไม่ต้องสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของราชวงศ์อีก
อวิ๋นเยี่ยกำลังเตรียมจะจากไป ขณะที่เขาไปตรอกซิ่งฮว่าฟางเพื่อตรวจสอบสถานที่ก่อสร้างเป็นครั้งสุดท้ายนั้น ในช่วงที่ชาวบ้านตระกูลอวิ๋นกำลังเก็บกวาดซากปรักหักพังก็ได้พบห้องลับห้องหนึ่ง หลังจากเหล่าจวงได้ตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก อวิ๋นเยี่ยจึงได้เข้าไปในห้องลับนั้น ด้านในเต็มไปด้วยท่อทองแดง ดูเหมือนว่าจะใช้สำหรับการดักฟัง จึงสั่งให้ชาวบ้านขุดลอกไปตามท่อทองแดง อวิ๋นเยี่ยจึงได้พบว่านี่เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้ตรวจสอบคำพูดของคนในตระกูล แต่ที่ค่อนข้างน่าแปลกคือมีร่องรอยของการขีดข่วนบนผนังห้องลับ ซึ่งเป็นรอยขีดข่วนด้วยมือ รอยเล็บทั้งห้าเห็นได้อย่างชัดเจนมาก ทั้งยังมีคราบเลือดติดอยู่ด้วย
อวิ๋นเยี่ยมองไปที่มือของตัวเองและกำลังคิดถึงว่าคนที่สามารถทิ้งรอยขีดข่วนไว้บนกำแพงอิฐได้ ถ้าเขาไม่ใช่ยอดฝีมือ เช่นนั้นเขาจะต้องโกรธมากในเวลานั้น บางครั้งความโกรธก็เป็นพลังอย่างหนึ่งเช่นกัน มันสามารถทำให้คนมีความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นทั้งที่ยามปกติไม่สามารถมีเกิดขึ้นได้
เชื้อสายสายตรงของตระกูลโต้วมีเพียงโต้วเยี่ยนซันคนเดียวที่ไร้ร่องรอย รายงานของทางการระบุว่าโต้วเยี่ยนซันเสียชีวิตแล้วในกองไฟ ในรายงานดังกล่าวยังได้กล่าวถึงรูปพรรณสันฐานและการแต่งกายของโต้วเยี่ยนซันด้วย ซึ่งเมื่อตรวจสอบกับศพไหม้เกรียมในสถานที่เกิดเหตุก็ไม่มีความผิดเพี้ยนใดๆ โต้วเยี่ยนซันถูกเผาจนตาย
ในใจอวิ๋นเยี่ยเริ่มวิตก คนบ้าคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังอยู่แน่นอกอยู่ในฉางอันเหมือนวิญญาณล่องลอย บางทีวันหนึ่งจู่ๆ เขาอาจจะโผล่ออกมาบีบคอศัตรูอย่างโหดร้าย อวิ๋นเยี่ยแทบสรุปได้เลยว่าโต้วเยี่ยนซันเคยอยู่ในห้องลับนี้มาก่อน
ฉางอันอันตรายมาก แต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นเป้าหมายแรกของการแก้แค้นของโต้วเยี่ยนซัน เมื่อคิดเชื่อมไปถึงฝิ่นในมือของราชาแห่งแดนเถื่อนกับกองคาราวานแถบซีอวี้อันทรงพลังของตระกูลโต้ว หากยังไม่รู้ว่าคราวนี้ใครเป็นคนลงมือกับหลี่ซื่อหมินอย่างเ**้ยมโหด อวิ๋นเยี่ยก็ควรไปล้างคอรอให้โต้วเยี่ยนซันมาตัดไปได้เลย โชคดีที่ศัตรูหมายเลขหนึ่งของเขาคือหลี่ซื่อหมินไม่ใช่ตัวเอง มิฉะนั้นในสถานการณ์ที่ศัตรูอยู่ที่ลับตนเองอยู่ที่แจ้งนั้นเสียเปรียบเอามากๆ
แต่ก็รู้สึกโศกเศร้าแทนโต้วเยี่ยนซันด้วย เขาเป็นศัตรูที่ดีและเป็นศัตรูที่ทรงพลังมาก คุ้มค่ากับการทุ่มเททั้งชีวิตของเขาเพื่อล้างแค้น หวังว่าเขาจะไปก่อความวุ่นวายให้กับหลี่ซื่อหมินอย่าได้เปลี่ยนเป้าหมายกันง่ายๆ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่า การที่ตนเป็นศัตรูหมายเลขสองของโต้วเยี่ยนซันเป็นเรื่องแน่นอนไม่มีวันเปลี่ยนแล้ว
หลี่เค่อไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดที่ขุดเจอห้องลับในตระกูลโต้ว ในตระกูลใหญ่มีใครบ้างที่ไม่มีวิธีรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ตอนนี้เขารู้สึกสนใจบริเวณพื้นที่ของตระกูลโต้วเป็นอย่างมาก มีห้องลับที่ซ่อนคนได้ ก็จะต้องมีห้องลับสำหรับเก็บทรัพย์สินเงินทองอย่างแน่นอน
ในวันนั้นตระกูลโต้วถูกไฟไหม้จนตายจะต้องไม่มีเวลาเคลื่อนย้ายสมบัติของตระกูลออกไปแน่ บางทีมันอาจจะถูกฝังอยู่ในบริเวณบ้านตระกูลโต้วที่กว้างใหญ่ก็เป็นได้ จะไม่ให้หาออกมาได้อย่างไรกัน เรื่องประเภทนี้ต้องการผู้เชี่ยวชาญมาจัดการอย่างเช่นหวงสู่
อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของครอบครัว จึงนำทหารองครักษ์กลุ่มใหญ่ออกจากฉางอันมุ่งหน้าสู่เขาอวี้ซันไม่ยอมหยุดแม้แต่เสี้ยวนาที และตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ออกจากเขาอีก เว้นเสียแต่ว่าโต้วเยี่ยนซันถูกจับ มิฉะนั้นแล้วให้คนทั้งครอบครัวอยู่ในตระกูลอวิ๋นแล้วเฝ้าดูแลด้วยตัวเองไม่ใช่วิธีที่ดี สำหรับเรื่องที่ว่าจะบอกการคาดเดาที่แปลกประหลาดนี้ให้หลี่ซื่อหมินรู้หรือไม่นั้น ไม่เคยปรากฏความคิดนี้ขึ้นในสมองของอวิ๋นเยี่ยเลย
ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นมีแต่ความบอบบางอย่างไม่เคยมีมาก่อน การซื้อกองคารวานอย่างต่อเนื่อง โดยที่แต่ละกองต้องมีเจ้าหน้าที่บัญชีและทหารยามของตระกูลอวิ๋นอยู่ด้วย พวกหลิวจินเป่าสิบกว่าคนกระจัดกระจายอยู่ทั่วต้าถัง ตอนนี้จะเรียกกลับมามันก็ไม่ทันการณ์อยู่ดี
เมื่อกลับถึงบ้านจึงเล่าความวิตกกังวลให้ท่านย่าฟัง ต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดก็อธิบายอย่างชัดเจน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำเรื่องสิ้นคิดประเภทที่ทำด้วยความโผงผาง ปกปิดเอาไว้แล้วแอบตรวจสอบด้วยตัวเอง มีแต่พวกที่ไม่เห็นว่าชีวิตคนในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญจึงจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้
การให้ทุกคนในบ้านต้องคอยระมัดระวังตัวจึงจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง การมีการเตรียมตัวย่อมดีกว่าไม่เตรียมตัวเลย
“ท่านย่า คราวนี้เพราะหลานทำให้ที่บ้านต้องเดือดร้อนไปด้วย เป็นความผิดของหลานเอง ต่อไปจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด” อวิ๋นเยี่ยกอดเสี่ยวยาไว้ ขอขมาท่านย่าต่อหน้าคนทั้งครอบครัว
ท่านย่ายังคงนับสร้อยลูกประคำและเครื่องหยกที่อยู่ในมือพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “มีตระกูลใหญ่ตระกูลไหนบ้างที่จะไม่มีศัตรูสักคนหรือสองคน เมื่อก่อนข้ายังรู้สึกประหลาดใจว่าหลานชายข้าที่แท้แล้วมีความสามารถของอันใดที่นำตระกูลเข้าไปข้องเกี่ยวอยู่ท่ามกลางตระกูลใหญ่ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องล่วงเกินผู้ใดเลย สามารถทำให้ที่บ้านสงบสุขมาโดยตลอด ตอนนี้ดูไปแล้วถ้าตระกูลอวิ๋นอยากขึ้นมาเป็นตระกูลใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นการก่อศัตรู ย่าเองก็ได้เตรียมการไว้สำหรับวันนี้แล้ว เสี่ยวเยี่ยเจ้าไม่ต้องกังวล
กากเดนของตระกูลโต้วอยากจะสร้างความโกลาหล แต่เขาเลือกผิดตระกูลแล้ว ตระกูลอวิ๋นในใจของชาวบ้านทั่วทุกที่แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นพระพุทธเจ้ามาโปรด แต่ก็มีคนไม่น้อยที่อาศัยพึ่งพาหากินอยู่กับตระกูลอวิ๋น
ขอเพียงแค่ย่าทักทายชาวบ้านในทั่วทุกที่เหล่านั้น ย่าไม่เชื่อว่าคนตระกูลโต้วจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามแต่ที่พวกเขาต้องการในพื้นที่ตระกูลอวิ๋นได้ การทำความดีของตระกูลอวิ๋นในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้นไม่ได้ไร้ประโยชน์”
คำพูดเหล่านี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยถึงกับอึ้งไป เขาไม่เคยดูแลเรื่องในบ้านมาก่อน และท่านย่าก็ไม่ต้องการให้เขาดูแลด้วย แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลอวิ๋นได้กลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่นมานานแล้ว ขอเพียงท่านย่ามีคำสั่งเพียงคำเดียว ตระกูลโต้วก็จะจมดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรดั่งในตำนานของชาวบ้าน
เมื่อดูจากการดูแลตระกูลของท่านย่าที่ส่งแต่ละคนออกไปแล้วนั้น ก่อนหน้าที่ผู้ดูแลทุกคนจะออกไปต่างก็ตบอกรับประกัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะจบลงด้วยคำว่าหากทำไม่สำเร็จก็ยินดีมอบศีรษะให้ อวิ๋นเยี่ยจึงพบว่า ด้วยสถานะปัจจุบันของท่านย่านั้น นางมีบารมีน่าเกรงขามมากจริงๆ