เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 47 การปกป้องของเจ้าบ้าน
ขอเพียงแค่กลับถึงบ้าน อวิ๋นเยี่ยก็จะอารมณ์ดีขึ้นในทันที ท่านย่าก็ยิ่งดูเหมือนแม่เฒ่าเจ้าของที่ดินมากขึ้นทุกที อาหญิงดูเหมือนจะกลับกลายเป็นสาวน้อยไป มักจะหวีผมให้เป็นหญิงสาวไร้เดียงสาเดินอวดไปทั่วเมือง โดนท่านย่าสั่งสอนไปหลายครั้งก็ยังไม่รู้จักเข็ดหลาบ
อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าอาหญิงปรารถนาให้อายุของนางกลับคืนสู่วัยแรกรุ่นอีกครั้ง เช่นนั้นแล้วนางก็จะได้แสวงหาสามีอย่างที่ต้องการได้ ซึ่งไม่ใช่คนเลวคนนั้นที่เวลาดื่มเหล้าเมาแล้วชอบตบตีนาง
เพื่อที่จะตัดปัญหาของอาหญิงให้จบไปอย่างสิ้นเชิง อวิ๋นเยี่ยจึงมอบเงินสิบก้วนให้แก่ผีขี้เมาคนนั้นเพื่อไปทำเรื่องหย่าร้างที่ที่ว่าการอำเภอ ขี้เมาคนนั้นเมื่อได้รับเงินก็ดีใจจนลืมทุกสิ่งอย่าง แม้แต่ความเย็นชาในแววตาของอวิ๋นเยี่ยก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น
อาหญิงอาศัยอยู่ในบ้านของเขารวมเป็นเวลาหนึ่งปี ต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลาหนึ่งปี โดนแส้วันละหนึ่งครั้ง นั่นก็คือสามร้อยหกสิบครั้ง เดือนละสามสิบครั้ง ซึ่งมันสมควรจะโดนทวงคืน จึงให้ผีขี้เหล้าเลือกว่าจะรับเงินสิบก้วนพร้อมกับโดนโบย หรือไม่ก็ไสหัวไปโดยที่ไม่ได้อะไรเลย เป็นจริงดังคาด ผีขี้เมาเลือกที่จะรับเงินพร้อมโดนโบย การโดนโบยสามสิบครั้งทำให้ผีขี้เมามีบาดแผลเต็มไปหมด ร้องไห้คร่ำครวญโหยหวนแต่ก็กอดถุงเงินไว้แน่นไม่ปล่อยมือ
อาหญิงรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังลงโทษผีขี้เมา แต่กลับห้ามไม่ให้อวิ๋นเยี่ยตีผีขี้เมาอีก หน้าตาบูดบึ้งไปตามหมอมารักษาให้ผีขี้เมาและให้เงินแก่ผีขี้เมาอีกสิบกว่าก้วนเพื่อให้เขาไปเซ้งร้านเล็กๆ แล้วดำเนินชีวิตต่อไปให้ดีๆ
ผีขี้เมาก็เป็นคนที่โหดเ**้ยม เขาหยิบไม้ท่อนหนึ่งฟาดมือขวาตนเองจนหักพร้อมกับบอกอาหญิงว่าเป็นเพราะมือข้างนี้ที่ก่อกรรมทำเข็ญ ต่อไปเขาจะไม่ตีผู้หญิงอีก เมื่อพูดจบแผลก็ไม่ได้ให้หมอรักษา เดินแบกถุงเงินใบใหญ่ เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ตั้งแต่นั้นมาหากอาหญิงเห็นอี้เหนียงปักชุดแต่งงานนางก็จะรู้สึกปวดใจ บางครั้งก็ยังช่วยอี้เหนียงปักชุดแต่งงานอีกด้วย สองอาหลานนั่งปักชุดแต่งงานภายใต้แสงอาทิตย์ทีละเข็มๆ อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็เกิดซาบซึ้งขึ้นมาเฉยๆ แต่เมื่อเกิดความซาบซึ้งทองคำในถุงก็ยิ่งน้อยลง
ก้อนทองที่หลอกมาจากอวิ๋นเยี่ยได้ทั้งหมดก็ถูกอาหญิงส่งให้ช่างทองทำเป็นด้ายทอง ไม่รู้ว่าจะต้องปักชุดแต่งงานกี่ชุดกัน คราวนี้ได้รับทองคำมาจำนวนไม่น้อย ตามธรรมเนียมของอวิ๋นเยี่ย ทองคำหนึ่ง**บที่มอบให้กับหลี่ซื่อหมินนั้นจะต้องเหลือไว้สองส่วน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นทองคำบริสุทธิ์ ท่านย่าจึงได้นำทองคำชิ้นใหญ่ทั้งหมดหลอมใหม่อีกครั้ง ทั้งยังตีตราสัญลักษณ์เมฆลายขนนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลอวิ๋นจนดูสวยงามมาก
ทองคำแท่งสามสิบหกแท่งที่ส่องแสงระยิบระยับซึ่งตระกูลอวิ๋นตั้งใจทำขึ้นเป็นกรณีพิเศษ อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะหยิบสักสองชิ้นมาใส่ในถุงเงินที่ว่างเปล่าของเขา แต่ถูกท่านย่าตีที่หลังมือโดยบอกว่าเป็นของขวัญแต่งงานให้กับซินเย่ว์ ห้ามหยิบไปใช้ส่งเดช
จากนั้นจึงโยนแผ่นทองคำอย่างขอไปทีมาหนึ่งชิ้น บอกให้อวิ๋นใช้จ่ายอย่างประหยัดหน่อย อันที่จริงอวิ๋นเยี่ยไม่มีเหตุที่จะให้ใช้จ่ายเงินเลย ตลาดก็อยู่นอกประตู ตอนนี้ยิ่งคึกคักมากขึ้น ตั้งแต่ที่เหอเซ่านำสัตว์ใหญ่บนทุ่งหญ้ามาขายที่นี่ หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นก็ได้กลายเป็นศูนย์กระจายสินค้าปศุสัตว์ที่มีชื่อเสียงในระยะหลายสิบลี้ เหล่าชนชั้นสูงของฉางอันต้องการวัวเพื่อลากเกวียนก็จะมาที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อเลือกซื้อสัตว์ใหญ่พวกนี้
การใส่เงินไว้เต็มถุงแต่ไม่มีที่ที่จะให้ใช้ก็เป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง ยืนอยู่นอกประตูใหญ่มองดูการหลั่งไหลของผู้คนดั่งสายน้ำที่ไม่ขาดสาย เมื่อมองชาวนาผู้ที่พึงพอใจกับการซื้อน้ำตาลปั้นห่อใหญ่ด้วยเงินไม่กี่เหวินทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก
“เสี่ยวยา พี่พาเจ้าไปซื้อน้ำตาลปั้นดีไหม” อวิ๋นเยี่ยถามเสี่ยวยาที่ตามมาข้างหลังเขา
“ไม่ไป น้ำตาลปั้นไม่เห็นจะอร่อยตรงไหนเลย นมเปรี้ยวของตระกูลสวีในฉางอันสิจึงจะอร่อย ข้าอยากได้แบบที่เติมน้ำแข็ง” ในที่สุดฟันของเสี่ยวยาก็งอกครบแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดปากพูดอีกต่อไป ผมสีน้ำตาลอ่อนก็เป็นสีน้ำตาลแล้ว เพียงแต่ความเคยชินเปลี่ยนไป นางไม่ยอมกินน้ำตาลปั้นในตลาดอีกต่อไป จะกินแต่นมเปรี้ยวในเมืองฉางอันเท่านั้น
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เสี่ยวยาปฏิเสธที่จะนั่งขี่คอพี่ชายอีกต่อไป โดยติว่าไม่มีความเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ ไม่เพียงแต่เสี่ยวยาแม้แต่เสี่ยวตง เสี่ยวซีและเสี่ยวหนานก็ไม่ยอมเล่นสนุกกับพี่ชายอีกต่อไป มีแต่เสี่ยวเป่ยที่ยังคงทำตัวซื่อบื้อวอแวกับพี่ชายไม่ยอมเลิก ชอบนั่งอยู่ในอ้อมแขนพี่ชายมองดูเสี่ยวยาอารมณ์เสีย
พี่น้องเป็นคนที่ไว้ใจได้มากที่สุด วั่งไฉก้มหัวลงมาเพื่อส่งสัญญาณว่าอย่าลืมมัน อวิ๋นเยี่ยยักคิ้วขึ้นด้วยความลำพองใจให้เหล่าคุณหนูผู้ดีที่ไม่ยอมไปเดินตลาดกับตนเอง จากนั้นสองพี่น้องก็เดินปะปนไปพร้อมกับผู้คนที่เดินกันอย่างขวักไขว่
วั่งไฉเป็นลูกค้าประจำในตลาด ตอนนี้ชาวบ้านที่มาค้าขายต่างก็ยอมรับวั่งไฉในฐานะลูกค้าแล้ว ทันทีที่หัวใหญ่ของมันยื่นเข้าไป ก็มีพ่อค้าขายผักยื่นผักกาดก้านขาวต้นเล็กๆ ใส่ปากของวั่งไฉเพื่อให้มันชิมว่าผักนั้นสดหรือไม่
เคี้ยวผักกาดก้านขาวไปต้นหนึ่ง อาจเป็นเพราะรสชาติที่ผิดไป มันจึงขยับปากสองครั้งแล้วคายออกและแล้วก็เกิดการดูหมิ่นพ่อค้าขายผักกาดขึ้นต่างๆ นานาในทันที การใช้ของเกรดต่ำมาหลอกวั่งไฉจึงถูกเปิดเผย คิดจะหลอกแม้กระทั่งม้านั้นไม่ใช่คนดี
เจ้าของแผงเหงื่อออกเต็มหน้า เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่เชื่อว่าผักกาดก้านขาวของเขาเป็นของดี จึงดึงมาก้านหนึ่งใส่ปากเคี้ยวพร้อมกับส่ายศีรษะไปมาราวกับเอร็ดอร่อยกับมันมาก อ้าปากบอกกับทุกคนว่าเป็นผักกาดก้านขาวชั้นดี เป็นเพราะวั่งไฉกินจนเบื่อแล้วไม่ใช่ว่าผักของเขาไม่ดี
วั่งไฉไม่เคยมีนิสัยชอบกินอาหารของใครเปล่าๆ ผักนั้นมันกินเข้าไปแล้วแม้ว่ามันจะคายออกมาเอง มันก็ยังเหยียดคอรอให้เจ้าของแผงหยิบเงินออกจากถุงเงิน เจ้าของแผงผลักหัวของวั่งไฉออกไปด้วยความหงุดหงิด ใครจะสนใจค่าผักเพียงต้นเดียวกัน
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ตาฝาด เขาเห็นอ้อยซึ่งในตอนนี้เรียกว่าอ้อยเคี้ยว ขายแท่งละห้าเหวินซึ่งถือว่าเป็นราคาที่แพงมาก บริเวณนั้นล้อมรอบไปด้วยเด็กๆ แต่เด็กๆ กลับเอามือเข้าปากยืนมองอ้อยเคี้ยวตาไม่กะพริบ รู้ว่าของสิ่งนั้นอร่อยแต่ไม่มีเงินซื้อจึงได้แต่มองดู
หัวใหญ่ๆ ของวั่งไฉก็เบียดเข้ามา มันได้กลิ่นของน้ำตาลแต่กลับไม่เห็นว่าน้ำตาลที่มันรู้จักนั้นอยู่ที่ไหน ขณะที่กำลังสับสนงุนงงก็เห็นเด็กๆ ที่ตื่นตาตื่นใจชี้ไปที่อ้อยเคี้ยวแท่งสีม่วงแล้วยักไหล่ให้วั่งไฉไปซื้อ
พ่อค้าที่ขายอ้อยค่อนข้างจะไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ในมือถือมีดด้ามเล็กและเพิกเฉยต่อวั่งไฉ ปอกเปลือกอ้อยออกชิ้นหนึ่งก็เผยให้เห็นเนื้ออ้อยสีขาวอ่อนแล้วกัดกินอย่างโอ้อวด เด็กๆ ที่อยากกินเหล่านั้นได้แต่น้ำลายไหล
วั่งไฉเองก็น้ำลายไหลเช่นกัน ยืดคอยาวๆ ของมันรอให้พ่อค้าขายอ้อยปอกให้มันบ้าง เห็นได้ชัดว่าพ่อค้าคนนี้เพิ่งจะมาที่นี่จึงไม่รู้จักนิสัยของวั่งไฉ หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งอ้อยก็ไม่ถูกส่งมาเสียที จึงอารมณ์เสียยกกีบเท้าเตะอ้อยกระจายทั่วพื้น เร่งให้พ่อค้าปอกอ้อยให้มัน
พ่อค้าร้อนใจจึงดึงอ้อยออกมาเตรียมจะตีวั่งไฉ อวิ๋นเยี่ยกำลังดูอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นวั่งไฉกำลังจะเสียเปรียบก็เตรียมจะก้าวเข้าไปห้ามเขา ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันได้เดินไปถึงด้านหน้าเลย พ่อค้าขายเนื้อที่อยู่ข้างๆ ก็คว้าอ้อยที่อยู่ในมือเขา พูดอย่างดุดันกับพ่อค้าขายอ้อยว่า “ให้ตายสิ เจ้าทำการค้าประสาอะไรกัน แขกมาหาถึงหน้าร้านรอให้เจ้าปอกเปลือกอ้อยเคี้ยวอยู่ คนบ้าอย่างเจ้ายังคิดจะตีลูกค้าอีก ในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่มีใครทำการค้าเช่นเจ้าหรอก”
พ่อค้าฟังจนงงไปหมดแล้ว มองดูพวกเด็กๆ ที่ยืนอยู่รอบๆและม้าอ้วนที่ดมหากลิ่นอ้อยไปมาไม่ยอมหยุดก็ไม่เห็นว่าจะมีลูกค้าอยู่ที่ใด ขณะที่กำลังจะเถียงนั้น พ่อค้าขายเนื้อแย่งมีดมาจากมือเขา ปอกเพียงครู่เดียวก็ได้อ้อยหนึ่งแท่ง แล้วจึงส่งเข้าปากของวั่งไฉ เมื่อเห็นวั่งไฉเคี้ยวอ้อยไม่ยอมหยุด จึงค่อยหยิบเงินห้าเหวินออกจากถุงเงินใต้คอของวั่งไฉแล้วโยนให้พ่อค้าด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
เมื่อเด็กๆ เห็นวั่งไฉมีอ้อยกินก็กรูกันเข้ามา วั่งไฉเคี้ยวปลายด้านหนึ่งและเด็กๆ เคี้ยวอีกด้านหนึ่งแบ่งกันกินแต่โดยดี หลังจากกินอ้อยแล้ววั่งไฉก็ยืนหรี่ตามองรอให้เด็กๆ เกาพุงให้ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะผลัดขนแล้ว ตอนนี้จึงรู้สึกคันไปทั้งตัว
อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็ไม่ไปรบกวนวั่งไฉที่กำลังเสพสุขกับการได้รับการดูแลเฉกเช่นคุณชายของมัน จึงเดินเที่ยวทั่วตลาดเพียงลำพัง ตอนนี้มีการทำหมอนเสือผ้า[1]แล้วซึ่งด้านในจะอัดด้วยแกลบบัควีท คนร่ำรวยมีฐานะจะใช้หมอนหยก ซึ่งของสิ่งนั้นถูกอวิ๋นเยี่ยโยนทิ้งไปไกลๆ นานแล้ว ขณะที่หนุนนอนแข็งจนทำให้เจ็บศีรษะไปหมด ถ้าหากล้มตัวลงนอนทันทีมันจะเป็นอันตรายถึงชีวิต หลังจากถูกกระแทกไปสองสามครั้งแล้ว แม้จะฆ่าให้ตายอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่ใช้ของสิ่งนั้นอีก
เขามอบหมอนที่อ่อนนุ่มให้ท่านย่า ใครจะรู้ว่าท่านกลับไม่คุ้นเคยที่จะใช้นอน ทั้งยังบอกว่ามันนุ่มนิ่มเหมือนไม่มีหมอนหนุนเสียมากกว่า นอนเพียงแค่คืนเดียวก็ปวดคอไปหมด ครานี้มีหมอนแกลบบัควีทแล้วท่านย่าจะต้องชอบแน่ จึงให้แม่ค้าที่ขายหมอนเสือผ้าส่งของไปที่บ้านแล้วไปรับเงินกับผู้ดูแล จากนั้นก็มีคนละแวกนั้นช่วยแม่ค้าจัดเก็บแผงร้าน หมอนเสือผ้าสองตะกร้าก็ได้ถูกส่งกลับบ้าน
ไม่ได้มีเพียงแค่หมอนเสือผ้าที่ส่งกลับบ้าน แต่ยังมีตุ๊กตาดินเหนียวอีกหนึ่งตะกร้า แต่ละตัวดูยิ้มแย้มแจ่มใสน่ารัก มองแล้วให้ความรู้สึกรื่นเริงเบิกบาน เมื่อวางหลายๆ ตัวไว้ในห้องหนังสือก็ทำให้ดูดีมีระดับขึ้นมามากมายในทันที
วั่งไฉเสพสุขกับการปรนนิบัติของเด็กๆ เสร็จแล้วก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ยอีกครั้ง ประจวบกับอวิ๋นเยี่ยเพิ่งจะซื้อผ้าสีรุ้งผืนใหญ่ที่ถักด้วยเชือกที่มีสีสันสดใสชวนมอง จึงได้โอกาสพาดไว้ที่ตัววั่งไฉ
ด้านหน้ามีคนกำลังสร้างบ้านอยู่ ที่ดินแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของตระกูลอวิ๋น ไม่มีใครสามารถสร้างบ้านได้นอกจากคนในบ้านของตัวเอง เมื่อเดินเข้าใกล้ก็เห็นว่าผู้ดูแลของตัวเองกำลังคุมงานอยู่จริงดังคาด
“ต่างก็เป็นพี่น้องในหมู่บ้าน ไม่จำเป็นต้องอยู่คุมงานหรอก จะไม่รู้ว่านิสัยของชาวบ้านในหมู่บ้านตัวเองหรือ กลับไปเถอะ ปล่อยให้พี่น้องเหล่านี้สร้างบ้านเอง อย่างไรเสียเจ้าเองก็ไม่เข้าใจอะไร อย่าทำให้พี่น้องในหมู่บ้านรู้สึกไม่ดีเลย”
“โหวเหยีย ข้าน้อยไม่ได้คุมงาน แต่มาส่งน้ำแกงให้กับชาวบ้าน แม่เฒ่าให้ห้องครัวต้มน้ำแกงกระดูกหมูและสั่งให้ข้านำมอบให้กับทุกคน แม่เฒ่าบอกว่าในฤดูใบไม้ผลิมีงานเยอะแยะมากมายที่ต้องทำ ทั้งการเพาะปลูกและปศุสัตว์ ตอนนี้ยังต้องสร้างบ้านอีก ดื่มน้ำแกงกระดูกหมูให้มากขึ้นอีกหน่อยจะได้บำรุงร่างกาย”
จริงดังที่ว่าพวกชาวบ้านที่เปื้อนดินโคลนไปทั้งตัวต่างก็ถือชามน้ำแกงดื่มกันคนละชาม คนที่โชคดีก็จะตักได้กระดูกชิ้นใหญ่ออกมากินด้วย
อวิ๋นเยี่ยชื่นชอบศีลธรรมทางสังคมในยุคนี้เป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากมีหัวหน้าคุมงาน อาจจะมีคนแอบขี้เกียจอยู่บ้าง แต่ถ้าหากไม่มีหัวหน้าคุมงาน ทุกคนจะทุ่มเทอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเขาต้องการเพียงแค่ความไว้วางใจจากเจ้าบ้านก็เท่านั้นเอง
ตระกูลอวิ๋นไม่เคยใช้ของจำพวกตาชั่งใดๆ เพื่อชั่งตวงค่าเช่าที่เรียกเก็บ ขอเพียงแค่บอกว่าค่าเช่าของเจ้าส่งมาถึงแล้ว ถูกต้องตามจำนวนที่ต้องส่งมอบ ทุกคนในตระกูลอวิ๋นตั้งแต่เจ้านายอย่างแม่เฒ่าจนถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีจะไม่สงสัยเลย โดยจะทำเพียงแค่ขนส่งเข้าคลังเท่านั้น ในแต่ละปีท่านย่าจะคำนวณเสบียงของตระกูลอวิ๋นโดยการนับเป็นกระบุงสาน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยว่าสูญเสียเสบียงไปกี่กิโลกรัม แต่ก็แน่นอนว่าเสบียงไม่เคยขาดตกไปเลยแม้แต่น้อย
นี่เป็นอาณาเขตที่ท่านย่าภูมิใจเป็นที่สุด ภายในระยะหลายสิบลี้นี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลที่ใจดีมีเมตตา หากจะกล่าวถึงตัวอย่างของตระกูลที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่ใจดีมีเมตตานั่นก็คงจะเป็นตระกูลอวิ๋น
เนื่องจากกำแพงของเขาด้านหลังของตระกูลอวิ๋นก่อด้วยอิฐ เมื่อผู้มาใหม่บางคนสร้างบ้านพวกเขาจึงใช้ด้านหนึ่งของกำแพงของตระกูลอวิ๋นเป็นผนังไปด้วย แต่นี่เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตให้กระทำเนื่องจากตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านกับใครก็ต้องเป็นกิจจะลักษณะ จะทำโดยพลการเช่นนี้ไม่ได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ทางการมาพบเข้าก็ต้องรื้อถอนบ้านทิ้ง จะต้องห่างจากบ้านตระกูลอวิ๋นสองฉื่อจึงจะอนุญาตให้สร้างบ้านได้ หากบ้านที่เกษตรกรสร้างขึ้นแล้วต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงในการถูกรื้อถอนนั้นย่อมถือเป็นภัยร้ายแรง
เกษตรกรที่ไม่รู้จะทำเช่นไรดีจึงไปคร่ำครวญให้แม่เฒ่าตระกูลอวิ๋นฟัง เป็นเพราะพวกเขาไม่มีเงินที่จะสร้างบ้านจริงๆ ดังนั้นจึงคิดขึ้นได้ว่าจะใช้กำแพงด้านหลังของตระกูลอวิ๋นโดยขอร้องให้แม่เฒ่าได้โปรดเมตตา ขออย่าให้ทางการรื้อบ้านของตนเองเลย
ท่านย่าบอกว่าการตัดสินของเจ้าหน้าที่นั้นถูกต้อง เนื่องจากฐานะแตกต่างกันมากเกินไป ในโลกนี้อยู่ได้ด้วยการแบ่งฐานะ ดังนั้นการใช้กำแพงด้านหลังของตระกูลอวิ๋นจึงเป็นไปไม่ได้ ในขณะที่เกษตรกรหมดหวังอย่างสิ้นเชิงนั้น ท่านย่าก็บอกว่าพวกเจ้าไม่สามารถสร้างกำแพงได้ ตระกูลอวิ๋นก็ไม่ได้ว่าอะไร ประเดี๋ยวจะให้ก่อกำแพงขึ้นอีกชั้นภายในกำแพงด้านหลังโดยให้ห่างออกมาสามฉื่อ ตอนนี้ตรอกเล็กๆ แห่งนี้คือสถานที่ที่มีชื่อเสียงของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น เมื่อเหล่าชาวบ้านพบเห็นใครสงสัยในคุณธรรมของคนในตระกูลอวิ๋น พวกเขาก็จะลากคนผู้นั้นไปที่ตรอกสามฉื่อนี้เพื่อให้เขาได้หูตาสว่างขึ้น
บางครั้งชื่อเสียงที่ดีคือการป้องกันที่แข็งแกร่ง การป้องกันของท่านย่าสามารถเรียกได้ว่าเป็นด่านปราการที่แข็งแกร่ง อวิ๋นเยี่ยชื่นชมภูมิปัญญาของท่านย่าจากใจจริงอย่างหมอบราบคาบแก้วเลย
——
[1] หมอนเสือผ้า เป็นงานหัตถกรรมอย่างหนึ่งที่สืบทอดมาแต่โบราณ ซึ่งเป็นหมอนที่ทำรูปร่างเลียนแบบเสือ เพราะชาวจีนเชื่อว่าเสือสามารถขับไล่เภทภัยได้และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล