เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 48 ความหวังของทหารชรา
อวิ๋นเยี่ยอยู่ที่บ้านนอนทั้งวันโดยไม่กินหรือดื่มอะไรเลย ท่านย่ามาดูไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง เขาที่ยังคงงัวเงียรู้ว่าท่านย่าแวะมาแต่กลับไม่ยอมลืมตา หลายวันที่ผ่านมาไม่เคยได้หยุดพักจริงๆ เลยสักวัน ใช้สมองครุ่นคิดมากเกินไป แม้แต่ในความฝันยามหลับก็กังวลว่าจะมีนักฆ่าบุกมาถึงบ้าน ตอนนี้โล่งใจแล้ว จิตใจที่ผ่อนคลายกับจิตใจอันอ่อนล้าก็ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ต้องการการนอนพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเป็นการฟื้นฟู
เขาได้ยินเสียงถอนหายใจของท่านย่าและได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของบรรดาพี่สาวน้องสาว ท่านย่าลูบไล้ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ และพูดเน้นอยู่อย่างเดียวว่า “หลานชายที่น่าสงสารของข้า หลานชายที่น่าสงสารของข้า…”
ไก่เพิ่งจะขันไม่ทันไร อวิ๋นเยี่ยก็ลุกพรวดขึ้นมา มีสติคึกคักเป็นอย่างมากและท้องก็หิวมากด้วย ป้าสะใภ้ที่นั่งสัปหงกคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเพราะการลุกขึ้นมาของอวิ๋นเยี่ย เมื่อขยี้ตามองเห็นอวิ๋นเยี่ยตื่นแล้วก็ดีใจมาก ตะโกนสั่งให้สาวใช้เตรียมอาหารให้โหวเหยียพลางแต่งตัวให้อวิ๋นเยี่ย หลังจากล้างหน้า อาบน้ำ หวีผมเสร็จแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปหนึ่งรอบ เมื่อกลับออกมาก็รู้สึกว่าตนเองนั้นมีแต่ความว่างเปล่า โดยเฉพาะท้องนั้นว่างเปล่าอย่างยิ่ง เพียงแค่หายใจเข้า หัวใจที่อยู่ด้านหน้าก็สามารถแนบติดไปถึงด้านหลังได้
โจ๊กลูกเดือยสีเหลืองทองนั้นยังคงอร่อยถูกปาก เมื่อกินโจ๊กหนึ่งชาม หมั่นโถวอีกสองสามลูกและผักดองอีกสองสามเส้น อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าหากจะให้ขึ้นเขาต่อสู้กับเสือในตอนนี้ก็ไม่เป็นปัญหา
จากนั้นก็ขยับเขยื้อนกล้ามเนื้อบนบาร์เดี่ยวในบ้าน ถึงแม้ว่าจะกระดึ้บๆ ได้ไม่กี่ครั้งเหมือนตัวอ่อนของหนอนก็ตาม แต่ก็ถือว่าได้ออกกำลังกายแล้ว ใครจะคิดว่าเพียงแค่ออกแรง โจ๊กที่กินลงไปเมื่อครู่ก็เรอเปรี้ยวออกมา ห้ามปล่อยให้ของดีต้องเสียเปล่าจึงได้พยายามกลืนมันลงไป เมื่อหน้าอกหายเจ็บแปลบแล้วหน้าอวิ๋นเยี่ยก็เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ไม่เข้าใจว่าทำไมการพยายามหยุดอาการอาเจียนจึงทำให้น้ำตาไหล ช่างน่าอับอายจริงๆ จึงรีบไปล้างหน้าใหม่อีกรอบ
ท้องฟ้าเพิ่งสว่างขึ้นเล็กน้อย แต่ฝนกลับตกปรอยๆ บางทีนี่อาจจะเป็นฝนเดือนสี่ครั้งสุดท้ายของปีนี้ในแดนกวนจง ดังนั้นจึงตกลงมาโปรยปรายเบาบางมากกว่าปกติ ละอองฝนเม็ดเล็กๆ ที่ถูกลมภูเขาพัดพาไปจึงแลดูคล้ายเมฆหมอกมากกว่าสายฝน
สายฝนพรำไม่กล้ำกลายให้เปียกชื้น สายลมเย็นสดชื่นชวนหลงใหล ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยชื่นชอบมากที่สุด อันที่จริงไม่ว่าบนท้องฟ้าจะมีอะไรโปรยปรายลงมา อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกชอบทั้งนั้น รวมถึงลูกเห็บด้วย จำได้ว่าเมื่อสมัยเด็ก ในหมู่บ้านประสบกับพายุลูกเห็บ ซึ่งลูกที่ใหญ่ที่สุดนั้นใหญ่เท่าไข่นกพิราบ ปกคลุมเต็มท้องทุ่งนา พวกผู้ใหญ่ต่างก็หน้าตาบูดบึ้ง ก่นด่าสาปแช่งสวรรค์ที่เลวร้ายไม่ยอมหยุด ข้าวสาลีที่เพิ่งงอกต้นอ่อนก็พากันล้มตายจนหมด
มีอวิ๋นเยี่ยเพียงคนเดียวที่กระโดดโลดเต้นและวิ่งไปที่ทุ่งกว้างเพื่อเก็บลูกเห็บที่ยังไม่ละลาย ทั้งยังถือโอกาสที่ไม่มีใครแอบนำเข้าปากไปหลายลูก สามารถจินตนาการได้เลยว่าการทำเช่นนี้จะลงเอยอย่างไร จะต้องโดนคุณแม่ตีอย่างแรงเพื่อให้อวิ๋นเยี่ยจำไว้ว่าลูกเห็บนั้นไม่ใช่ของดีอะไร แต่ก็อย่างว่าเป็นเด็กผู้ชายนี่นะ หลังจากถูกตีแล้วก็ร้องไห้ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่ม สิ่งที่คิดถึงกลับเป็นความรู้สึกเย็นสบายขณะที่อมลูกเห็บอยู่ในปาก
ตามชนบทไม่มีคนบอกเวรยามบนถนนมาส่งเสียงรบกวน มีเพียงเสียงนกที่ตื่นขึ้นมาส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วยามเช้าอยู่บนกิ่งไม้เท่านั้น เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่านกที่ตื่นเช้าที่สุดคือนกกระจอกสีเทา ที่ใช้กรงเล็บสีส้มแดงเล็กๆ เกาขนของตัวเองไม่ยอมหยุด พวกมันเองก็ต้องปัดแต่งขนบนตัวเพื่อต้อนรับเช้าวันใหม่ที่สวยงามนี้เช่นกัน
ถือร่มไว้ในมือแต่ไม่ได้ใช้กันฝน แต่เป็นการสร้างบรรยากาศอย่างหนึ่ง
ชายหนุ่มผู้หนึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันแล้วค่อยๆ ก้าวเดินอย่างสบายอารมณ์รวมเป็นหนึ่งเข้ากับภาพวาดหมึกดำภาพนี้
องครักษ์ของที่บ้านถูกเปลี่ยนไปหมดแล้ว เหล่าจวงตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่คลานออกมาจากคูน้ำเสียได้ถูกรั้วลวดหนามเกี่ยวข่วนจนเป็นแผลเลือดออกไปทั้งร่าง ที่ยิ่งน่ากลัวไปกว่านั้นก็คือบาดแผลไม่ได้รับการรักษาให้ทันเวลาจึงอักเสบขึ้น อวิ๋นเยี่ยใช้ยาฆ่าเชื้อจำนวนมากจึงจะบรรเทาอาการบาดเจ็บได้ ตอนนี้เขาเริ่มดีขึ้นแล้วและถูกท่านย่าออกคำสั่งบังคับให้พักผ่อนที่บ้าน แม้ว่าข่าวของเขาจะทำให้เกิดความหวาดหวั่นต่อคนในตระกูลอวิ๋น แต่ทว่าทุกคนในตระกูลอวิ๋นก็รักใคร่กลมเกลียวกันเป็นอย่างมาก ดั่งที่ท่านย่ากล่าวไว้ว่า องครักษ์เช่นนี้แม้แลกด้วยทรัพย์สินเงินทองเท่าไรก็ไม่แลก
พวกองครักษ์อายุห้าสิบกว่าปีที่อยู่ด้านหลังอวิ๋นเยี่ยล้วนแล้วแต่เป็นอดีตนักรบที่เก่งกล้า หลังจากปลดประจำการจากกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายและติดตามอวิ๋นเยี่ย ก็ได้ตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ซึ่งอยู่ในฐานะบ่าวรับใช้ที่ได้รับอิสระภาพจากเจ้านาย ชีวิตสุขสบายถึงสองปีไม่ได้ทำให้ความแข็งแกร่งที่เป็นพื้นฐานเดิมของพวกเขาลดหายไป การเคลื่อนไหวใดๆ ก็ยังคงพึงไว้ซึ่งลักษณะของทหาร สามสิบปีของการทำศึก กองทัพได้สร้างความทรงจำอันยากจะลืมเลือนให้กับพวกเขาไว้อย่างลึกซึ้ง
คนที่น่ากลัวที่สุดในตระกูลอวิ๋นไม่ใช่เหล่าจวงและหลิวจินเป่า แต่เป็นพวกผู้สูงวัยที่ดูแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ โซ่ลูกตุ้มหนักสิบห้ากิโลกรัมนั้นถูกอยู่ในมือราวกับต้นหญ้า ดาบธรรมดาๆ เล่มหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาร่ายรำจนน่ากริ่งเกรง ขอเพียงแค่เอาจริงขึ้นมา เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา หลิวจินเป่าก็เป็นเหมือนนกกระทา
พวกเขาไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้านสักเท่าไร พวกเขาทั้งหมดตั้งบ้านเรือนไว้บนเนินเขาทางด้านซ้ายของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ตระกูลอวิ๋นได้สร้างลานบ้านขนาดใหญ่ไว้ที่นั่น พวกเขาสามสิบกว่าคนและคนในครอบครัวต่างก็อาศัยอยู่ในลานบ้านนี้ แม้แต่การแต่งงานของลูกๆ ก็จัดงานกันอยู่ภายในสามสิบกว่าครอบครัวนี้ สำหรับคนรุ่นนี้ยังไม่เท่าไร อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลเกี่ยวกับรุ่นลูกหลานของพวกเขาเป็นอย่างมาก ในอีกไม่กี่ชั่วอายุคนสายเลือดจะถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน อวิ๋นเยี่ยไม่อยากจะให้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้นกลายเป็นคนไม่เต็มบาทไปทั้งหมด
ได้เตือนไปหลายครั้งแล้ว การอยู่บนเนินเขานั้นมันไม่สะดวกที่จะทำการใดๆ หากจะดื่มน้ำก็ต้องไปหาบน้ำจากทางไกล ทั้งยังห่างไกลจากที่นา หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นออกจะกว้างใหญ่ เหตุใดพวกเขาจึงยืนกรานจะอยู่ในบริเวณแถบนั้นให้ได้
เหล่าหนิวชำเลืองมองเนินเขานั้น ขณะที่มาเที่ยวชมหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นก็พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า สิ่งที่เหล่าทหารผ่านศึกเลือกนั้นถูกแล้ว เพราะเนินเขานั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ของเขตแดนของตระกูลอวิ๋น สามารถบุกเข้าเพื่อโจมตีหรือถอยเพื่อตั้งรับได้ หากวันหน้าตระกูลอวิ๋นเกิดเหตุพลิกผันใดๆ ขึ้น พื้นที่บริเวณนี้จะต้องรักษาไว้ให้ดี
อวิ๋นเยี่ยจึงได้เข้าใจว่าทำไมทหารผ่านศึกจึงเลือกพื้นที่บริเวณนี้ พวกเขาไม่สามารถอธิบายได้อย่างเหล่าหนิว สัญชาตญาณของทหารผ่านศึกได้ทำให้พวกเขาเลือกสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากที่สุดโดยไม่รู้ตัว
ทุกคนในตระกูลอวิ๋นจึงปิดปากเงียบในทันที และมองหาช่างฝีมือในการขุดบ่อที่เก่งที่สุดในละแวกใกล้เคียง จึงได้ขุดบ่อน้ำขึ้นมาได้หนึ่งบ่อ ใครจะคิดว่าคุณภาพน้ำของบ่อน้ำนั้นดีอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อจ้าวเหยียนหลิงจะต้มชาหากไม่ใช่น้ำจากบ่อน้ำนั้นจะไม่ใช้เด็ดขาด
เดิมคิดว่าเป็นของแถมให้เหมือนสินสอด ใครจะรู้ว่ากลับกลายเป็นสมบัติล้ำค่า โรงกลั่นเหล้าของตระกูลอวิ๋นได้ถูกตั้งอยู่ในลานบ้านนั้นและใช้น้ำจากบ่อนั้นในการกลั่นเหล้า ต้มเหล้า อวิ๋นเยี่ยเองยังสอนทหารผ่านศึกเหล่านั้นกลั่นเหล้าด้วยตนเองอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกๆ ของเหล่าทหารผ่านศึกที่บ้านก็ไม่จำเป็นต้องไปทำไร่ไถนาแล้ว เพียงแค่กลั่นเหล้าตามความต้องการของเจ้านายก็พอแล้ว แต่ละเดือนยังมีเงินเดือนจำนวนมากจ่ายให้อีก จากนั้นก็ใช้พื้นที่เล็กๆ บนเนินเขาทำเป็นสวนผัก เหล่าทหารผ่านศึกจึงได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
มีเหล้าที่เลิศรสที่สุดให้ได้ดื่ม ทั้งยังสามารถสอนลูกหลานในหมู่บ้านในยามว่างไม่มีอะไรทำเพื่อระบายความเครียดที่สะสมอยู่ในใจเนื่องจากไม่ได้ฆ่าคนมานานออกไปบ้าง การใช้ชีวิตเช่นนี้ก่อนหน้านี้แม้แต่ฝันก็ไม่เคยคิดมาก่อน
ท่านย่าไปถึงบนเนินเขาตั้งแต่เมื่อวานนี้และบอกเรื่องที่ตระกูลอวิ๋นอาจจะถูกลอบสังหารได้ให้เหล่าทหารผ่านศึกรู้ แน่นอนว่าทำให้ทหารผ่านศึกเหล่านั้นโกรธมาก ต่างก็พูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นเวลาสองปี ก็ทำให้มีพวกลูกหมาลูกแมวโผล่ออกมากันแล้วหรือ แล้วบอกให้แม่เฒ่าโปรดวางใจ ตราบที่พวกเขามีชีวิตอยู่ตระกูลอวิ๋นจะไม่เกิดเหตุอะไรแน่นอน
แม่เฒ่าเพิ่งจะกลับถึงบ้าน เหล่าทหารผ่านศึกก็ได้เข้ามารับช่วงคุ้มครองตระกูลอวิ๋นพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน ทั้งยังถือโอกาสสั่งสอนลูกหลานที่ไม่เอาถ่านเหล่านั้นไปรอบหนึ่ง เหล่าทหารผ่านศึกชอบโหวเหยียหนุ่มคนนี้จากใจจริง ไม่วางท่าที ฟังเสียงข้างมากและปฏิบัติต่อผู้คนรอบข้างด้วยความจริงใจ พวกเขาอายุมากเช่นนี้แล้วยังมีวาสนาเช่นนี้อีก ก็ไม่เสียทีที่รักษาชีวิตชรานี้มาจากคมหอกคมดาบไว้เพื่อเสพสุขยามชราภาพ
โหวเหยียเป็นหลักประกันของชีวิตที่มีความสุขของคนทั้งครอบครัว ขอเพียงแค่โหวเหยียยังมีชีวิตอยู่ ลูกหลานทั้งสามรุ่นก็จะได้เสพสุขชีวิตที่ดีเช่นนี้ตลอดไป เพื่อประโยชน์ของตนเองก็ต้องรักษาชีวิตของโหวเหยียเอาไว้ สำหรับตัวเขาเองสมควรตายตั้งนานแล้ว ฆ่าคนไปจำนวนมากมาย ตอนนี้ให้เสพสุขก็ไม่รู้สึกสงบสกเท่าไร จะให้ดีที่สุดก็คือบาปทั้งหมดขอให้ตนเองแบกรับไว้เพียงผู้เดียว เพื่อให้ลูกหลานอยู่เสพสุขกับชีวิตอย่างเป็นสุข
“ท่านอาเจียง ข้าเพียงแค่จะไปสำนักศึกษา ไม่จำเป็นต้องตีฆ้องร้องป่าวให้วุ่นวายถึงเพียงนี้กระมัง” ทุกคนในตระกูลอวิ๋นทำตามที่แม่เฒ่าสั่ง เรียกผู้สูงอายุเหล่านี้เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่
“โหวเหยียกล่าวผิดไปแล้ว เมื่อวานนี้ได้ยินแม่เฒ่าเล่าให้ฟังแล้ว โหวเหยียได้กำจัดตระกูลโต้วทิ้งแต่เก็บกวาดไม่หมดจนปล่อยคนให้มีชีวิตรอดไป ศัตรูตัวฉกาจเช่นนี้มีหรือที่เศษเดนของตระกูลโต้วจะไม่มาล้างแค้น การที่ตาเฒ่าอย่างข้ามีชีวิตรอดมาจากสนามรบก็ด้วยอาศัยความระแวดระวัง แต่ไหนแต่ไรไม่กล้าที่จะชะล่าใจ คราวหน้าหากโหวเหยียมีงานจำพวกนี้อีกขอให้มอบให้พวกเราพี่น้องไปจัดการ รับประกันได้ว่าจะไม่เหลือภัยร้ายในภายหลังอย่างแน่นอน พวกไร้สมองในหน่วยข่าวกรองก็ยิ่งใช้การไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ “
ก็รู้ว่าไม่ควรคุยเรื่องเหล่านี้กับพวกเขา การฆ่าคนแทบจะกลายเป็นความสามารถพื้นฐานของพวกเขาไปเสียแล้ว วิธีการเดียวที่พวกเขาใช้แก้ปัญหาก็คือการใช้ดาบคุยกัน ครั้งนั้นที่ลงมือเพื่อลวี่จู๋อวิ๋นเยี่ยไม่ได้รู้สึกเสียใจภายหลังเลย ไม่ว่าจะยืนอยู่ในจุดยืนอันสูงส่งด้านคุณธรรมหรือมาจากจิตใจของตนเองก็ล้วนแล้วแต่ไม่จำเป็นต้องเสียใจในภายหลัง โต้วเยี่ยนซันคุกคามความปลอดภัยของทุกคนในตระกูลอวิ๋น หากถึงคราวจำเป็นอวิ๋นเยี่ยก็ไม่คิดมากที่จะต้องดับธูปดอกสุดท้ายของตระกูลโต้วให้ดับลงเช่นกัน
เหล่าทหารผ่านศึกห้อมล้อมอวิ๋นเยี่ยขึ้นเขาไปด้วยกัน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความงามของเขาอวี้ซันเป็นครั้งคราว แต่มือของพวกเขาไม่เคยห่างจากอาวุธเกินสามนิ้วเลย
หมอกควันกลุ่มใหญ่ที่ปกคลุมยอดเขาทำให้เห็นอยู่รางๆ น้ำตกก็สาดกระเซ็นลงมาอย่างดุดันด้วยแรงมหาศาล กังหันน้ำที่ทำจากเหล็กกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว เพลาเหล็กที่เสริมเข้ากับโครงเหล็กเกิดควันลอยออกมา ไม่มีตลับลูกปืน ไม่มีการหล่อลื่น กังหันน้ำนี้ก็ใช้งานได้อีกไม่นาน ถ้าเพลาเหล็กไม่ล็อกตาย ก็คงเสียดสีจนหัก ซึ่งไม่มีความเป็นไปได้ที่สามแล้ว
คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้มีเพียงหลี่ไท่คนเดียวเท่านั้น เขามีเงินมากเสียจนไม่รู้จะนำไปทำอะไร จึงลองเปลี่ยนวิธีการสร้างเครื่องจักร ความสำเร็จเรื่องรอกทำให้หลี่ไท่มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก จึงมักจะพยายามฝืนนำพลังงานธรรมชาติมาสนองความต้องการของตนเอง
ด้านการอุตสาหกรรมจำเป็นจะต้องมีการทุ่มเทและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งก็เหมาะที่จะให้หลี่ไท่ไปดำเนินการ เจ้าหนุ่มที่มีเงินจำนวนมากจนไม่มีที่ใช้สอย ทั้งยังมีมันสมองอีกด้วย ไม่ใช้งานเขาแล้วจะใช้งานใคร
ก็เหมือนเช่นตอนนี้ที่อวิ๋นเยี่ยนั้นรู้คำตอบอยู่แล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมบอกเขา อะไรที่ได้มาอย่างง่ายดายมักจะไม่หวงแหน และความสุขหลังจากประสบความสำเร็จของหลี่ไท่ก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง ในเมื่อเขาเข้าใกล้หนทางสว่างเข้ามาอีกก้าวแล้ว ก็ปล่อยให้เขาค้นหาด้วยตัวเองต่อไปจะดีกว่า
ยังไม่ทันเดินพ้นตีนเขา ก็ได้ยินเสียงของโครงเหล็กพังลงดังโครมคราม อวิ๋นเยี่ยจึงหยุดฝีเท้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วเริ่มมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษา
หลี่ไท่รีบร้อนนำองครักษ์เข้ามาดู โครงที่ทำจากเหล็กนี้ใช้งานได้เป็นเวลาสามวันเต็มๆ เพลาของกังหันน้ำนั้นเป็นเหล็กไป่เลี่ยนกังที่เขาสั่งช่างฝีมือชั้นยอดทำขึ้นเป็นพิเศษ ขอเพียงแค่สามารถทนการใช้งานได้อีกสองวัน กังหันน้ำอันนี้ก็สามารถเชื่อมต่อกับค้อนหนักบนฝั่งซึ่งจะได้นำมาแทนที่ช่างเหล็กที่ตีเหล็กด้วย ด้วยวิธีนี้ คุณภาพของเหล็กก็จะดีขึ้นอีกหนึ่งระดับ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อต้าถัง เสด็จพ่อเองก็ทรงเห็นด้วยเป็นอย่างมาก คราวก่อนที่เสด็จแม่เสด็จมาเยือนสำนักศึกษา ยังได้ตั้งใจมาดูการขับเคลื่อนของกังหันน้ำเป็นเพื่อนเขาเป็นเวลาหนึ่งวันด้วย แม้ว่าครั้งนั้นกังหันน้ำจะทำงานได้เพียงหนึ่งวันก็พังลงก็ตาม เสด็จแม่ก็ยังทรงเอ่ยชมเชยเรื่องนี้อย่างมาก ทำให้ในใจของหลี่ไท่เต็มไปด้วยความมั่นใจ