เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 52 อับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนชิงช้าในบ้านด้วยหัวใจที่เศร้าระทมหม่นหมอง เขาไม่คาดหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้การคาดเดาของตนเองกลายเป็นความจริง แต่เรื่องการเรียนรู้นั้นปลอมแปลงกันไม่ได้ มันอาจจะเห็นไม่ชัดเจนนักสำหรับผู้เริ่มเรียน แต่หากมองจากปัญญาชนที่สูงวัยเหล่านั้นก็จะเห็นได้อย่างชัดแจ้งเป็นที่สุดซึ่งก็เสมือนตราประทับขนาดใหญ่ที่เผาจนร้อนแดง ทิ้งรอยประทับที่ลบไม่ออกไว้บนร่าง นับแต่โบราณมาการต่อสู้ระหว่างสำนักลัทธิต่างๆ นั้นไม่ได้ต่างไปจากการแลกชีวิตด้วยดาบและหอกของจริงเลย ผู้ที่เสียชีวิตเพราะมุมมองต่างกันก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย ไม่ว่าปกติหลีสือจะปิดบังได้ดีเพียงไหนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วก็ยังมีร่องรอยให้สังเกตเห็นได้ ไม่ถามถึงแก่นแท้ของสรรพสิ่งในใต้หล้า เพียงแค่ถามใจตนเองก็พอ นี่ช่างเป็นคำสอนของลัทธิที่เห็นแก่ตัวและจองหองมากเสียจริงๆ จิตใจคนเราเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อมากที่สุด เพียงชั่วพริบตาก็จะมีความคิดนับพันนับหมื่นปรากฏขึ้นมา จะรู้ได้อย่างชัดเจนได้อย่างไรว่าความคิดไหนนั้นถูกต้อง ความคิดไหนผิดพลาด ความคิดไหนมีข้อบกพร่อง เป็นพวกจิตนิยม ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลมากเกินไป สรรพสิ่งใต้หล้าคงอยู่เพื่อข้า เพื่อให้ข้าได้ใช้สอย ไม่จำเป็นต้องฝืนอดกลั้น เพื่อเผยแพร่หลักคำสอนแล้วเถียนเซียงจื่อไม่ลังเลที่จะปลุกปั่นให้แผ่นลุกเป็นไฟ ทำให้เกิดการต่อสู้กันเป็นเวลาหลายร้อยปี ให้สัญญาณป้องกันข้าศึกกันทุกปี เถียนเหิงเดินเรือออกทะเล ฉินซีฮ่องเต้แสวงหาชีวิตอมตะ ขอให้ประหารเฉาชั่วเพื่อรักษาบัลลังก์ราชวงศ์ฮั่น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากล่าวได้ว่ามีแต่ความอกสั่นขวัญแขวน หลังจากที่ฮั่นอู่ตี้ได้สมบัติล้ำค่ามาครอบครองแล้วก็ก็เผยแพร่ไปทั่วหล้ามาโดยตลอดก็เพื่อจะหาเถียนเซียงจื่อที่ไม่รู้ว่าสืบทอดมามากมายหลายรุ่นท่านนั้นให้เจอ แต่คิดไม่ถึงว่าจะกลับเป็นฝ่ายถูกทำร้าย การกระทำที่วางอำนาจบาตรใหญ่ไม่เกรงกลัวผู้ใดของนักดาบพเนจร ทำให้ขุนนางระดับสูงของต้าฮั่นต่างก็พากันหวาดหวั่น การสังหารผู้คนบนถนนกลับกลายเป็นเรื่องมีเกียรติและเป็นความคิดที่ไม่สามารถกำจัดให้หมดไปได้ จึงเริ่มคิดที่จะแสวงหาโอกาสจากเลือดเนื้อของผู้อื่น นี่คือบรรพชนผู้ริเริ่มของผู้ก่อการร้าย
แม้ว่าหลีสือจะไม่ใช่บุคลากรคนสำคัญ แต่ก็ต้องเป็นส่วนสำคัญของแผนการของเถียนเซียงจื่อ เพียงแต่เถียนเซียงจื่อได้เดินทางไปทางเหนือด้วยความอดทนรอไม่ไหว เขาติดต่อกับหลีสือได้อย่างไร ความเป็นไปได้ที่ผู้เฒ่าวัยแปดสิบกว่าจะกลับมาจากดินแดนอันรกร้างมาแต่โบราณนั้นมีน้อยมาก เสือไซบีเรีย หมีดำและฝูงหมาป่าที่ตอนนี้มีอยู่บนภูเขาแถบไซบีเรียเต็มไปหมดก็มากพอที่จะช่วยอวิ๋นเยี่ยเก็บกวาดทำความสะอาดได้ตั้งแต่หัวจรดหางแล้ว เป็นเวลาสามวันแล้วที่หลีสือยังคงสลบหมดสติอยู่ สหายเก่าหลายๆ ท่านของเขาต่างก็แวะเวียนไปเยี่ยมทุกวัน รอคอยให้เขาตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลนี้
ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยเห็นหลีสือก็จะสวดภาวนา ขอให้สวรรค์ช่วยปล่อยให้เขาหลับใหลเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องฟื้นตื่นขึ้นมาไปตลอดกาล พวกหลี่กังนั้นมีคนจำนวนมากจึงทรงพลังมาก และด้วยความช่วยเหลือของนักเรียนที่น่ารังเกียจกลุ่มหนึ่งของสำนักศึกษา การอธิษฐานของอวิ๋นเยี่ยจึงเป็นอันต้องล้มเหลวไป เช้าวันหนึ่งหลีสือก็ตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นเขาห่มผ้าห่มนั่งหัวเราะและพูดคุยอยู่กับสหายเก่า ไม่มีวี่แววของอาการใกล้ตายเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเยี่ยจึงรู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด
หลังจากตื่นขึ้นมา หลีสือก็ดูเหมือนจะสดชื่นแจ่มใสขึ้นมาก นิสัยอ่อนนุ่มดั่งผู้หญิงน้อยลง เขาไม่มีบุตรอยู่เป็นโสดเพียงคนเดียวมากว่าหกสิบปี ตอนนี้เขากลับพูดกับสหายเก่าของเขาว่าอยากจะแต่งงาน หาผู้หญิงที่เคยออกเรือนอายุราวๆ สามสิบเพื่อที่จะได้ช่วยสืบสกุล ซึ่งสิ่งที่เขาดูหมิ่นที่สุดก็คือตาเฒ่าที่ไม่ดูอายุตนเอง อายุมากจนใกล้จะต้องใส่โลงศพฝังอยู่แล้วยังจะเกิดตัณหากลับ อยากจะหาหญิงออกเรือนที่ยังดูมีเสน่ห์เย้ายวนอีก เมื่อหลี่กังได้ยินดังนั้นก็ปรบมือหัวเราะเสียงดัง ชื่นชมว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก อาจารย์อวี้ซันตื้นตันจนน้ำตาคลอเบ้า ดึงอาจารย์หยวนจางให้รีบไปพบเฉิงฮูหยินและหนิวฮูหยินเพื่อขอให้พวกนางเป็นแม่สื่อสรรหาคู่ครองที่ดีให้กับอาจารย์หลีสือ อวิ๋นเยี่ยอยากจะบีบคอตาเฒ่าตัณหากลับคนนี้เสียจริงๆ เฉิงฮูหยินนั้นให้ความสนใจคนของตระกูลอวิ๋น โดยบอกว่าอาหญิงของตระกูลเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุด
จะบ้าหรืออย่างไร! เมื่อเห็นว่าอาหญิงแสดงท่าทีเขินอาย เลียนแบบอี้เหนียงยกมือป้องหน้าแล้ววิ่งหนีไปสวนหลังบ้าน อวิ๋นเยี่ยก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ชี้นิ้วด่าฟ้าดินอยู่เพียงลำพังในห้อง ท่านย่าก็รู้ว่าอาจารย์หลีสือนั้นมีปัญหาแต่ก็ยังเห็นด้วย กระตือรือร้นและทุ่มเทเหลือล้นให้กับงานแต่งงานนี้ แลกเปลี่ยนวันเวลาตกฟาก หลีสือมอบห่านป่าที่เ**่ยวแห้งปางตายมาให้หนึ่งตัว งานมงคลนี้ก็เป็นเรื่องที่ตกปากรับคำกันแน่นอนแล้ว เรื่องราวทุกอย่างดำเนินการอย่างรวดเร็วดังสายฟ้าฟาด ครั้นอวิ๋นเยี่ยตั้งตัวได้หลีสือ ก็พบหลีสือนั่งปั้นหน้าตายอยู่บนเก้าอี้รอให้อวิ๋นเยี่ยมาคารวะอาเขยอยู่ อวิ๋นเยี่ยและหลีสือกำลังเดินเล่นด้วยกันอยู่ในสวนดอกไม้หลังบ้าน บางทีอาจเป็นเพราะใกล้จะเป็นเจ้าบ่าวสูงวัย ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่หาดูได้ยากในยามปกติ สองมือไพล่หลังเดินชี้นกชี้ไม้ในสวนดอกไม้ของตระกูลอวิ๋นอย่างผ่อนคลายสบายใจราวกับอยู่ในบ้านของตนเอง เมื่อเป็นสวนดอกไม้ตระกูลอวิ๋น แน่นอนว่าต้องเป็นดอกไม้ทั้งหมด ต้นจื่อจิง อิ๋งชุนเป็นดอกไม้ที่ท่านย่าสั่งให้คนสวนปลูกไว้โดยเฉพาะ เวลาบานเต็มที่จะงดงามและมีชีวิตชีวามาก ซึ่งปลูกในพื้นที่มุมหนึ่งของลานบ้านเต็มๆ และกำลังบานสะพรั่งไปทั่ว มีสาวใช้กำลังใช้กรรไกรตัดแต่งดอกไม้อยู่ ดอกไม้เหล่านี้เป็นวัตถุดิบสำหรับปรุงน้ำหอม ดอกเจี๋ยเซียง ดอกเหมยแดง ต้นไห่ถัง ต้นอวี้หลานจึงจะเป็นตัวละครเอกของสวนดอกไม้แห่งนี้ พืชที่มีกลิ่นหอมเหล่านี้จึงจะเป็นหลักประกันความมั่งคั่งของตระกูลอวิ๋น หลีสือยังคงชื่นชมดอกไม้ต่อไป ทั้งยังโน้มตัวลงสูดดมเป็นครั้งคราวโดยไม่หวั่นต่อการคุกคามของผึ้ง เด็ดดอกเหมยแดงทัดหู ผมสีขาวตัดกับดอกเหมยสีแดงต่างขับให้อีกสีโดดเด่นแลดูอิสรเสรี
อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบทัดดอกไม้ รู้สึกว่าหากผู้ชายทัดดอกไม้แล้วดูโง่มาก แต่ต้าถังกลับมีธรรมเนียมการทัดดอกไม้ เมื่อเขาเห็นอาเขยคนใหม่ทัดดอกไม้ อีกทั้งสาวใช้ที่ไร้สมองเหล่านี้ก็โปรยกลีบดอกไม้ใส่ร่างชายชราผู้นี้โดยไม่รู้สึกเสียดายวัตถุดิบชั้นดีเลยแม้แต่น้อย กลับไปต้องลงโทษเสียแล้ว หลีสือยิ้มราวกับเด็กหนุ่ม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเ**่ยวย่นกลับมีกลิ่นอายไร้เดียงสาของเด็กหนุ่ม ตาเฒ่าคนนี้จะกลายเป็นปีศาจแล้ว แววตาสดใสเจิดจรัส ดูท่าทีแล้วแม้ตัวเองตายแล้วแต่ตาเฒ่าผู้นี้คงยังไม่ตาย ผู้ชายมักมีความคิดประหลาดอย่างหนึ่ง เมื่ออยู่ท่ามกลางดงดอกไม้ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้จริงหรือกลุ่มผู้หญิงก็รู้สึกวู่วามอยากที่จะแสดงตัวให้โดดเด่น ซึ่งในขณะนี้หลีสือก็เป็นเช่นนั้น สำหรับเขาแล้วการร่ายบทกวีออกมาก็ง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก “เถาฮัวหลี่ฮัวบานสะพรั่ง สายลมยังเลือกพัดผ่านเมือง หามีใครสนใจดอกไม้เหลือง เสียทีที่คุยเฟื่องรับฤดูใหม่” หลังจากท่องจบยังเคาะจังหวะและร้องเป็นเพลงด้วยท่วงทำนองโบราณให้เข้าสัมผัสขึ้นมา แต่เมื่อร้องจบ กลับไม่มีใครร้องรับตอบก็รู้สึกจึงค่อนข้างผิดหวัง จึงส่งสายตามายังอวิ๋นเยี่ย ความรู้สึกอึดอัดก็พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ก็เพียงแค่บทกวีเองจึงเอ่ยปากท่อง “สาวยี่สิบแปดแต่งกับชายชรา ผมสีขาวคู่มากับชุดแต่งงาน ชายชรากับสาวราวดอกไม้บาน บนกิ่งก้านหลีฮัวมีดอกไห่ถัง”
บทกวีนี้ทำให้หลีสือฟังแล้วถึงกับโกรธจนเลือดขึ้นหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยพบว่าตาเฒ่าผู้นี้มีวิทยายุทธ์เสียด้วย จึงคว้าเปลือกไม้ชิ้นหนึ่งจากต้นหวยซู่เก่าแก่ที่อยู่ริมกำแพง แล้วยิ้มให้อวิ๋นเยี่ยอย่างดุดัน เพื่อเป็นตัวอย่างของคนฉลาดไม่เสียเปรียบซึ่งหน้า อวิ๋นเยี่ยจึงก้าวเท้าวิ่งหนี แต่ก็หนีเพียงสองก้าว ก็ถูกเขาคว้าคอเสื้อเอาไว้แล้วยกขึ้น หลีสือประจันหน้าถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าหนุ่ม ดูเหมือนตั้งแต่ที่ข้าฟื้นขึ้นมาเจ้าก็ดูไม่มีความสุขเลย มีท่าทีไม่พอใจที่ข้าไม่ตายไปเสีย ตอนนี้ยังจะแต่งบทกวีมาเสียดสีข้าอีก เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าบ้างหรือ”
ตาเฒ่าคนนี้ดูเหมือนจะหวาดระแวงต่อโลกภายนอกเป็นอย่างมาก เดิมอวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองเสแสร้งได้เป็นอย่างดีแล้ว ใครจะรู้ว่ายังคงถูกเขามองออก แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องจัดการให้ชัดเจน “หากอาจารย์ยอมเล่าถึงที่มาที่ไปของแนวคิดปรัชญาจิตอย่างหมดเปลือก ข้ายอมต้องอวยพรให้อาหญิงมีความสุขอย่างสบายใจ”
อวิ๋นเยี่ยกัดฟันและพูดความในใจออกมา อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้บาดหมางกับเถียนเซียงจื่อ เขาไม่เชื่อว่าหลีสือจะกล้าทำอะไรกับเขา
หลีสือสีหน้ายังคงเดิมราวกับว่าการถามเชิงตำหนิของอวิ๋นเยี่ยไม่เกี่ยวกับเขา จากนั้นปล่อยอวิ๋นเยี่ยลงบนพื้นแล้วถามว่า “ข้ามีพื้นเพเล่าเรียนเรื่องปรัชญาจิตแล้วมันเป็นเช่นไรกัน ต่างก็เป็นความรู้เหมือนกัน เพียงแค่มีวิถีที่แตกต่างแต่มีจุดหมายเดียวกัน ตัวเจ้านั่นแหละที่เป็นตัวประหลาดที่สุด เจ้ายังมีหน้าสร้างภาพมาถามข้าอีกหรือ “
“ข้าไม่ได้สนใจเกี่ยวกับปรัชญาจิต ปรัชญาใจอะไร ข้าเพียงแต่ไม่วางใจเถียนเซียงจื่อ บุคคลคนนี้อันตรายเกินไป กังวลว่าเจ้าจะมีความเกี่ยวพันกับเขา ภายหน้าจะเป็นภัยต่อตระกูลอวิ๋นและสำนักศึกษา”
แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่ชอบเรื่องปรัชญาจิต แต่ในยุคปัจจุบันเขาได้พบเจอความคิดที่หลากหลายรูปแบบ ความเย่อหยิ่งที่ไม่เห็นใครในสายตาของนีทเชอ[1] การมองโลกในแง่ร้ายของโชเพินเฮาเออร์[2] นั้นก็เจอมาจนเคยชินแล้ว
ถ้าหากบอกกับหลีสือว่าสวรรค์คือผู้เลือกสรรพสิ่ง ผู้ที่เหมาะสมคือผู้ที่อยู่รอด คำพูดที่ฟังดูยิ่งใหญ่เช่นนี้หลีสือจะต้องตะลึงงันอย่างแน่นอน “เจ้าหนุ่ม ข้าได้ทำลายกำแพงแห่งความโง่เขลาและตนได้กลายเป็นฟ้าดินแล้ว ไม่มีใครในใต้หล้าที่สามารถทำให้ข้ายอมก้มศีรษะได้อีกต่อไป นับจากนี้ไปฟ้าคือข้า ดินคือข้า สายลมคือข้า ข้าคือภูเขาเขียวชอุ่ม เป็นอิสรเสรี แม้ว่าอาจารย์เถียนจะอยู่ที่นี่ในตอนนี้ก็เป็นการคบหากันด้วยความเสมอภาค เจ้าอายุยังน้อยแต่มีนิสัยประหลาดมากมาย ถ้าเจ้ายังมีจิตใจที่มืดมนตลอดไปเช่นนี้ จะพัฒนาความรู้ได้อย่างไร อาจารย์ที่ราวกับเป็นเทพเจ้าท่านนั้นไม่ได้บอกเจ้าไว้ว่า ขอเพียงแค่ซื่อตรง จึงจะอยู่ได้อย่างผึ่งผายหรือ”
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าหลังจากนักปรัชญาเมื่อก้าวถึงขอบเขตถึงขั้นปรมาจารย์แล้วเขาก็ไม่ถูกพันธนาการไว้อีกต่อไป เหล่าซุนที่รู้ดีแต่เขาก็ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งเพื่อดูเรื่องตลก ใช้คำประหลาดเหล่านั้นมาโน้มน้าวอวิ๋นเยี่ย ขณะที่พูดคำพูดเหล่านั้นเกรงว่าในใจก็คงรู้สึกขำอยู่ไม่หยอก สายลับระดับปรมาจารย์อย่างนั้นหรือ ต้องมีความบกพร่องทางสมองมากเพียงใดจึงจะสามารถคิดสถานการณ์ดังกล่าวออกมาได้
ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี หากอยากจะกลบเกลื่อนความอับอายก็เพียงความโกรธเท่านั้น ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงตะโกนเสียงดังใส่หลีสือด้วยความโกรธ หน้าแดงไปถึงใบหู
“พวกท่านก็รู้อยู่แล้วทำไมไม่บอกข้า เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดรอดูข้าขายหน้า รอดูข้าขายหน้าเป็นเรื่องน่าตลกมากใช่ไหม วันนี้ข้าจะให้พวกท่านหัวเราะจนพอใจ”
หลีสือคว้าเปลือกต้นไม้ออกมาแล้วไม่ใช่หรือ เช่นนั้นฉันจะเตะต้นไม้ต้นนี้ให้หักเลย ว่าแล้วก็เหวี่ยงเท้าเตะลงไปบนต้นไม้ ต้นหวยซู่ที่มีแต่กิ่งแต่ไร้ใบไม่มีกิ่งไม้แห้งๆ หักหล่นลงมาแม้แต่กิ่งเดียว แต่กลับมีเสียงแปลกๆ ดังมาจากเท้า อวิ๋นเยี่ยเอามือกุมเท้า เม็ดเหงื่อไหลหยดออกมาไม่หยุด จึงลองจับกระดูกตนเองดู แย่แล้ว กระดูกหักเลื่อนผิดตำแหน่ง
หลีสือไม่เคยเห็นใครที่โกรธแล้วทำร้ายตัวเองเลย แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจึงได้แต่ดึงเท้าอวิ๋นเยี่ยทีหนึ่งดันอีกทีหนึ่งก็ทำให้ข้อต่อกระดูกเข้าที่ ฝืมือหยาบกระด้าง วิธีการหยาบโลน ไม่ทำให้รู้สึกดีเลยแม้แต่น้อยนิด จับอวิ๋นเยี่ยโยนขึ้นหลังแบกราวกับแบกกระสอบกลับมาที่ลานหน้าบ้าน ไม่กล้าพบใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่กล้าพบหน้าพวกหลี่กังทั้งสี่ท่าน ขังตัวเองอยู่ในห้องมืดเล็กๆ กล่าวอ้างอย่างน่าฟังว่ารักษาบาดแผล กลัวลม กลัวแสงและกลัวน้ำ ราวกับว่าตนเองติดโรคพิษสุนัขบ้าเข้า
ซุนซือเหมี่ยวมาที่บ้านเพื่อดูอาการบาดเจ็บของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยลืมคำโบราณที่เตือนไว้ว่าไม่ควรล่วงเกินหมอ นั่งพร่ำบ่นซุนซือเหมี่ยวตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่เรื่องคุณธรรมของสหายเก่าจนถึงเรื่องร่วมเป็นร่วมตาย จากนั้นก็ยังตำหนิติติงกล่าวโทษหนักว่าเขาเพิกเฉยต่อมิตรภาพเหล่านี้ เอาแต่ยืนรอดูเรื่องตลก “คนใจคอคับแคบอย่างเจ้ายังกล้าต่อว่าต่อขานข้า นอกจากจะใจดำแล้ว เมื่อทำอะไรผิดพลาดก็โยนให้ผู้อื่น ไม่หลงเหลือท่าทีสุภาพชนเลยแม้แต่น้อยนิด จิตใจไม่บริสุทธิ์แม้สักนิด เป็นขยะในใต้หล้าและเป็นต้นกำเนิดแห่งพิษร้ายของมวลมนุษย์”
หลังจากที่เหล่าซุนด่าจบก็ยังคงมีอารมณ์ตกค้าง จึงอ้างว่าหลีสือต่อกระดูกผิดพลาด จากนั้นจึงดึงกระดูกออกแล้วต่อกลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง ซึ่งฝีมือนั้นยิ่งแย่กว่าหลีสือเป็นอย่างมาก หาได้หลงเหลือท่าทีของหมอเทวะแม้เพียงสักนิดที่ไหนกัน สำหรับเสียงร้องคร่ำครวญของอวิ๋นเยี่ยเขาก็ถือเสียว่าเป็นการร้องเพลง
อาหญิงสวมชุดแต่งงานมาเยี่ยมอวิ๋นเยี่ย เครื่องทองบนเสื้อผ้าหนักราวหนึ่งกิโลกรัมได้ คนอื่นใช้ด้ายสีทองเย็บขลิบชายกระโปรง คนตระกูลอวิ๋นนั้นมีหน้ามีตา ดอกโบตั๋นขนาดใหญ่ปักอยู่ที่บริเวณทรวงอกส่องแสงสะดุดตา เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ผู้ที่ไม่รู้จะคิดว่าสวมชุดเกราะหมิงกวง อาหญิงนั่งอยู่ด้านหน้าเตียง ประคองใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยมาแนบไว้ข้างใบหน้าตนเองแล้วร้องไห้อย่างหนัก เสมือนใช้น้ำตาล้างหน้าให้อวิ๋นเยี่ย ผู้หญิงอยากจะร้องไห้ก็ไม่เป็นไร แต่ผู้ชายนั้นจะร้องไห้อย่างหนักได้อย่างไรกัน อวิ๋นเยี่ยพูดกับอาหญิงของตัวเองด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ถ้าตาเฒ่านั่นกล้ารังแกท่าน ขอให้บอกหลาน ข้าจะต้องหักขาเขาทิ้งอย่างแน่นอน” เขาพูดอย่างดุดันมาก แต่ลืมไปว่าข้อเท้าของตัวเองบวมเหมือนกีบเท้าหมู
——
[1] ฟรีดริช นีทเชอ (Friedrich Nietzsche) เป็นนักปรัชญา, นักวิจารณ์วัฒนธรรม, คีตกวี, นักกวี, ปราชญ์ภาษากรีกและละติน และนักนิรุกติศาสตร์ชาวเยอรมัน
[2] อาร์ทัวร์ โชเพินเฮาเออร์ ( Arthur Schopenhauer) เป็นนักปรัชญาชาวเยอรมันที่เป็นที่รู้จักกันดีในความแจ่มแจ้งทางปรัชญาและทุทรรศนนิยมของความไม่มีพระเจ้า