เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 55 ฉางอันเกิดเพลิงไหม้
หลี่ซื่อหมินคือผู้ควบคุมความสุขและความโศกเศร้าของประชาชนทั่วทั้งฉางอัน เมื่อเขามีความสุขใต้หล้าก็จะสงบสุข เมื่อเขาไม่พอใจเมืองก็จะปกคลุมไปด้วยเมฆอันอึมครึม ผู้ที่กล้าจัดงานมงคลในเวลานี้เห็นทีว่าก็มีอวิ๋นเยี่ยอยู่คนเดียว บรรดาขุนนางที่สร้างความชอบเหล่านั้นไม่รู้ถึงความเป็นจริงจึงได้มาที่ตระกูลอวิ๋นก่อนวันงานแต่งงานตั้งแต่หลายวันก่อน จะว่าไปแล้วก็ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มสหายที่สนิทชิดเชื้อด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งตามปกติพวกเขาอาจจะมีความขัดแย้งกันอยู่บ้างจนสามารถเป็นศัตรูกัน แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์โดยแท้จริงของตระกูลขุนนางที่สร้างความชอบเหล่านั้น ความขุ่นข้องหมองใจเหล่านั้นก็สามารถลบทิ้งได้ด้วยรอยยิ้ม ถังเจี่ยนปิดประตูบ้านไม่รับแขก เก็บตัวอยู่ในบ้านไม่ก้าวเท้าออกมาเลย ปิดปากสนิทราวกับมีด้ายเย็บไว้ อวิ๋นเยี่ยที่กำลังจัดงานมงคลครั้งใหญ่จึงกลายเป็นวิธีเดียวที่พวกเขาจะได้รู้ข่าว
แต่ก็รู้ว่าตระกูลอวิ๋นต้องไม่บอกเล่าออกมาอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในฉางอันอย่างแน่นอน แต่การที่จัดงานมงคลขึ้นได้นั้นแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ยังไม่ร้ายแรง และจะไม่เดือดร้อนถึงทุกคนเป็นแน่ การจะด่าขันทีสักคนหนึ่งก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เหล่าขุนนางที่สร้างความชอบนั้น เพื่อชื่อเสียงแล้วโดยมากก็เคยด่ากันทั้งสิ้น แต่ผู้ที่กล้าด่าอู๋เสอเห็นทีจะมีอวิ๋นเยี่ยเพียงคนเดียว โหวเหยียขั้นสามคนหนึ่งด่าหัวหน้าเยี่ยถิงจวี๋ขั้นหกคนหนึ่ง หากมองจากตำแหน่งแล้วก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย ถ้าหากรู้ว่าอู๋เสอเป็นขันทีคนสนิทอันดับหนึ่งของหลี่ซื่อหมินแล้วยังกล้าที่จะอ้าปากด่าทอแล้ว จุ๊ๆๆ ไม่รู้ว่าโหวเหยียท่านนี้ทานยาผิดหรือไม่ โชคดีที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขามากนัก ยังสามารถมาร่วมงานแต่งงานต่อไปได้ งานเลี้ยงยังสามารถจัดเลี้ยงได้ตามใจชอบ สิบกว่าวันที่ผ่านมานี้ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ทำให้เหล่าจอมเสเพลชอบเที่ยวเตร่ทั้งหนุ่มและชราอึดอัดไปตามๆ กัน
“ก่อความวุ่นวายเสร็จแล้วหรือ” หลี่ซื่อหมินถามอู๋เสอที่เพิ่งกลับวัง
“กราบทูลฝ่าบาท ตามที่ฝ่าบาททรงรับสั่ง กระหม่อมได้ทำสิ่งที่สมควรทำทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อู๋เสอยังคงปั้นหน้าตายตอบคำถาม
“เขาไม่พอใจ?” หลี่ซื่อหมินที่ถือม้วนหนังสือไม่เงยหน้าขึ้น
“เขาดีใจ?” หลี่ซื่อหมินที่ไม่ได้ยินคำตอบวางหนังสือลงแล้วถามอีกครั้ง
“อวิ๋นเยี่ยต่อว่ากระหม่อมยกใหญ่ ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธมากพ่ะย่ะค่ะ”
“เขายังมีหน้าโกรธอีกหรือ เปิดโปงเรื่องออกมาแล้วก็ถอนตัวหนีไป ให้องค์หญิงเป็นผู้รับความดีความชอบ ทำให้เราอับอาย ถ้าหากทำเพื่อแต่งงานกับองค์หญิงเราจะไม่โกรธเลย อย่างไรเสียอันหลานก็เป็นธิดาของเรา อวิ๋นเยี่ยถือได้ว่าเป็นอัจฉริยบุคคลแห่งยุค พอจะฝืนรับว่าคู่ควรกับอันหลานได้อยู่ ใครจะรู้ว่าเขาแก้ไขปัญหาข้อนี้แล้วกลับหนีกลับเขาอวี้ซันเพื่อแต่งงานกับหญิงอื่น ทำให้เรากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฮองเฮาเองก็บ่นครวญอยู่ไม่น้อย ทั้งยังว่าความคิดของเรานั้นไม่ดี ฮึ”
“ความรักที่ฝ่าบาททรงมีต่อองค์หญิงอันหลานฟ้าดินเป็นพยานได้ ผู้อื่นไม่เข้าใจความยากลำบากใจของพระองค์ แต่มีหรือที่ฮองเฮาและกระหม่อมจะไม่รู้ เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นโหวทำอะไรมักจะเหนือความคาดหมายเสมอ กระหม่อมอยู่ที่จวนของเขาก็โดนกลอกตาใส่ด้วยความรำคาญอยู่ไม่น้อย”
ฮองเฮาที่ทรงครรภ์ท้องใหญ่เดินออกมาจากหลังผ้าม่านและพูดกับอู๋เสอว่า “เจ้าอย่าได้ใส่ใจ ไม่รู้ว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงมักจะเห็นว่าพวกขันทีขวางหูขวางตาของเขา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกัน”
“กระหม่อมดูออกว่าอวิ๋นโหวไม่ได้ดูถูกความไม่สมบูรณ์ทางด้านร่างกายของกระหม่อม แต่ไม่ชอบวิธีการทำงานของกระหม่อมต่างหาก คิดว่าเขาจะน่ารังเกียจว่ากระหม่อมทำอะไรอ่อนนุ่มนิ่มจนเกินไป” อู๋เสอในวังและอู๋เสอในจวนอวิ๋นนั้นแตกต่างกันราวกับคนละคน คนหนึ่งเป็นคนมีเหตุผล ฉลาดปราดเปรียว อีกคนหนึ่งวางอำนาจไม่เคยเห็นใครในสายตา ทำอะไรชั่วช้าโหดเ**้ยม
สภาพร่างกายที่บกพร่องมาเป็นเวลานานปีได้ทำให้เกิดการแบ่งแยกบุคลิกภาพภายใต้จิตใต้สำนึกของเขา อู๋เสอถอยหลังก้าวออกจากตำหนักไป หลี่ซื่อหมินก็เข้ามาพยุงให้จั่งซุนนั่งลง ท้องของจั่งซุนนับวันยิ่งใหญ่ขึ้นการเดินเหินจึงค่อนข้างยากลำบาก “รอให้จัดการเรื่องของหญ้าลืมทุกข์เสร็จแล้ว ข้าจะไปพักอยู่นอกเมืองเป็นเพื่อนเจ้าสักระยะหนึ่ง รอจนเจ้าคลอดแล้วพวกเราค่อยกลับมา” เมื่ออยู่เบื้องหน้าจั่งซุนหลี่ซื่อหมินก็จะกลายเป็นสามีที่ดีและพ่อที่ดีคนหนึ่ง
“อย่าจะดีกว่า เอ้อร์หลาง ตอนนี้ภายนอกนั้นไม่ปลอดภัย มีพวกคนชั่วช้าจ้องจะเอาชีวิตท่านอยู่ หม่อมฉันยินดีจะอยู่เป็นเพื่อนท่านในวังมากกว่าออกไปภายนอก ที่จริงแล้วหม่อมฉันชอบอาคารเล็กๆ เรือนนั้นบนเขาอวี้ซันจริงๆ แม้ว่าบางทีทิวทัศน์ที่นั่นอาจจะเทียบกับพระราชฐานที่หนานซันไม่ได้ สถานที่อาจจะคับแคบไปบ้าง แต่หม่อมฉันพักอยู่ที่นั่นกลับมีความสุขเป็นอย่างมาก เอ้อร์หลาง ท่านรู้หรือไม่ชิงเชวี่ยและเค่อเอ๋อร์แบกน้ำที่ดีที่สุดและสะอาดที่สุดมาให้หม่อมฉันทุกวัน ห้องครัวของที่นั่นก็จะอาหารเล็กๆ น้อยๆ ที่แสนอร่อยทุกวัน เมื่อเห็นชิงเชวี่ยตักมาให้หม่อมฉันก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ ที่จริงแล้วสำนักศึกษาถือเป็นสถานที่ที่วิเศษมากแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงที่นั่น ได้ยินเสียงการท่องอ่านหนังสือของเหล่าคุณชายจอมเสเพลหม่อมฉันก็รู้สึกชอบมันจากใจจริง การบรรยายของเหลาหลี่กังนั้นแปลจากลึกซึ้งให้ง่ายต่อการเข้าใจ ไพเราะเสนาะจับใจ ไม่เสียทีที่เป็นอาจารย์ของรัชทายาทถึงสามสมัย ยังมีการต้มชาของจ้าวเหยียนหลิงที่ดื่มเพียงแค่คำเดียวก็ยากจะลืมรสชาตินั้นได้ ปลาหลีฮื้อเผาของอวิ๋นเยี่ยก็ไม่มีกลิ่นคาวแม้แต่น้อย หม่อมฉันเลยตัดใจลงโทษเขาไม่ลง”
“ปลาหลีฮื้อรึ เจ้าสารเลวนี่ไม่มีความรู้ความสามารถอะไร เห็นกฎหมายต้าถังของเราเป็นของไร้ค่า คราวหน้าหากเราไปสำนักศึกษาจะดูเสียหน่อยว่าเขากล้านำปลาหลีฮื้อมาถวายให้แก่เราทานหรือไม่ ได้ยินว่าอาจารย์หลีสือสามารถข้ามขีดจำกัดในการศึกษาได้แล้ว ตอนนี้ในสำนักศึกษาก็มีปรมาจารย์ด้านการศึกษาถึงสองท่านแล้ว หอหงเหวินก่วนยังไม่มีอาจารย์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้เลย ทั้งยังมีตระกูลกงซูที่ถึงกับยอมรับใช้เขา เมื่อปีที่แล้วเราเพิ่งจะกล่าวไปว่า ‘วีรบุรุษที่เก่งกล้าใต้หล้าทุกคนล้วนแล้วแต่มารวมตัวกันที่ฉางอัน’ เขาก็สรรหายอดบุคลากรจากบ้านป่าแดนเถื่อนออกมาได้นับจำนวนไม่ถ้วน ทำให้เราต้องอับอายขายหน้า ตอนนี้ยังมีประโยคที่ว่ากระหม่อมมาพูดกับเราอย่างนอบน้อม ทุกครั้งที่ได้ยินเขาเรียกเราก็จะหน้าแดงหนึ่งครั้ง รู้สึกว่าเจ้าขุนนางท่านนั้นกำลังลบหลู่ดูหมิ่นต่อหน้าเรา เราแทบจะคิดฆ่าคนเสียด้วยซ้ำ”
ขณะที่สองสามีภรรยากำลังนั่งกระซิบคุยกันอยู่ด้านหลังผ้าม่าน กลับไม่ได้สัมผัสถึงเลยว่าเมืองฉางอันกำลังจะรอต้อนรับค่ำคืนที่เลวร้ายที่สุด โต้วเยี่ยนซันที่ดวงตาแดงก่ำกำลังทำเครื่องหมายบนแผนที่ของเมืองฉางอัน ทุกครั้งที่ทำเครื่องหมาย ความดุร้ายบนใบหน้าของเขาก็เด่นชัดขึ้นอีกส่วน ชายร่างใหญ่ห้าสิบคนยืนอยู่ด้านนอกประตู ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าหลากสี บ้างก็ดูคล้ายพ่อค้า บ้างก็ดูคล้ายเกษตรกร บ้างก็ดูคล้ายหนอนหนังสือที่มีแต่ความรู้ท่วมหัว เพียงแต่ว่าทุกคนสะพายย่ามหลากสีสัน ย่ามของเกษตรกรนั้นไม่ใช่อาหารแห้งและไม่ใช่ของที่ซื้อใหม่ แต่มันคือสิ่งไวไฟประเภทกำมะถันและดินประสิว ตะกร้าหนังสือที่เหล่านักศึกษาแบกไว้ก็ไม่ใช่หนังสือ ล้วนแล้วแต่เป็นของประเภทน้ำมันติดไฟ บรรดาพ่อค้าก็ไม่ได้ขายสินค้า ค่ำคืนนี้พวกเขาขายความตาย
วันนี้เป็นวันที่ดี กลางวันยาวนานราวกับกลางคืน ในปฏิทินจันทรคติเรียกว่าชุนเฟิน อินหยางสมดุลเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับสรรพสิ่งที่จะเจริญเติบโต ในฤดูที่ใบต้นเอล์มร่วงลงสู่พื้น ดอกหวยฮวาออกดอกตูมอันงดงามเช่นนี้ ในที่สุดโต้วเยี่ยนซันก็ได้รับข่าวร้าย แผนการหญ้าลืมทุกข์ที่ไร้ช่องโหว่นั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า องค์หญิงหลี่อันหลานอ่านแผนการการล้างแค้นที่สมบูรณ์แบบของเขาออกอย่างชัดแจ้ง พวกของราชาแดนเถื่อนถูกควบคุมตัวแล้ว การสารภาพว่าชายหนุ่มผู้ที่มอบหญ้าลืมทุกข์ให้พวกเขาคือใครเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นเอง โต้วเยี่ยนซันรู้ว่าเขาถูกพบเข้าแล้ว เขาเตรียมจะออกจากเมืองก่อนพระอาทิตย์ตกดินและก่อนที่จะจากเมืองที่ทำให้เขาเคียดแค้นนี้ เขาต้องการที่จะมอบอะไรไว้ให้เป็นอนุสรณ์สักเล็กน้อย อย่างเช่นเพลิงใหญ่สักครั้ง บ้านไม้ย่อมถูกเผาไหม้ได้ง่าย หากค่ำคืนนี้มีลมช่วยพัด ความทรงจำนี้จะได้ฝังลึกเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย พวกคนเขลาที่บุกเข้าบ้านตระกูลโต้วเพื่อจุดไฟเผาในคืนที่เกิดการจลาจลจะไม่ชดใช้อะไรเลยได้อย่างไรกัน
เหล่าทหารยามที่ออกลาดตระเวนยามดึกย่อมมีบางส่วนที่เกิดความขี้เกียจขึ้นบ้าง คืนนี้พวกเขาจะได้พบคนดีที่จะเลี้ยงพวกเขาดื่มสักจอกหรือได้ค้างคืนที่บ้านของหญิงหม้ายที่แง้มประตูบ้านอยู่ พวกที่อาศัยอำนาจผู้อื่นก่อเรื่องชั่วมักจะมีหนทางเสมอ
แม้ตระกูลโต้วจบสิ้นแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่ากำลังของตระกูลโต้วที่สั่งสมไว้จะหายไป คนที่ได้รับบุญคุณจากตระกูลโต้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย เป็นคนสนิทที่ตายแทนได้ แม้ว่าคนสนิทคนนี้จะพาทุกคนให้สูญสิ้นไปพร้อมๆ กันก็ตาม คนในลานบ้านได้แยกย้ายกันออกไปแล้ว แต่ละคนจะมีแผ่นกระดาษหนึ่งแผ่น สถานที่แห่งหนึ่ง หรือไม่ก็คือตลาดบนถนน หรือสถานที่ราชการ ยังมีคลังเสบียง คลังอาวุธซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทั้งสิ้น มีวงกลมขนาดใหญ่วงไว้บนบ้านเก่าของตระกูลอวิ๋น และมีเพียงสี่เส้นตรงที่ชี้จุดหมายมายังที่นี่
โต้วเยี่ยนซันนำแผนที่ทิ้งในเตาไฟเผาให้มันกลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นจึงสวมเสื้อผ้าป่านที่โจวต้าฝูเตรียมไว้ให้ น้ำขิงสีเหลืองหนึ่งชามได้เปลี่ยนใบหน้าสีขาวของเขาให้กลายเป็นหน้าซีดเหลืองเหมือนคนป่วย ส่งเสียงไอเบาๆ สองสามครั้งแล้วติดหนวดเคราไว้ที่คาง คุณชายผู้สง่าผ่าเผยแห่งตระกูลโต้วก็ได้หายตัวไปอย่างสิ้นเชิง ที่หลงโส่วหยวนมีวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง โต้วเยี่ยนซันก็ได้ยืนอยู่ในศาลาเล็กๆ นั้น โดยเบื้องหน้ามีอาหารเตรียมไว้และถือจอกเหล้าไว้ในมือ เขามองดูเมืองฉางอันยามกลางคืนจากระยะไกล เขานั่งอยู่ที่นี่นังตั้งแต่ที่ฟ้าเริ่มมืดลง ไม่ได้ดื่มเหล้าแม้แต่จอกเดียว เขาไม่ชอบดื่มเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีกับแกล้มอันแสนอร่อย เหล้าดีกรีแรงของตระกูลอวิ๋นที่เมื่อเข้าปากดั่งมีดกรีด กลืนลงท้องดั่งไฟเผาจะให้ดื่มได้อย่างไรกัน เมืองฉางอันที่ดำทมิฬภายใต้แสงจันทร์ดูราวกับพยัคฆ์ร้ายที่กำลังหลับใหล ราวกับว่าพร้อมที่จะเลือกใครสักคนจับกินได้ตลอดเวลา เมื่อเปลวไฟแรกส่องสว่างขึ้น โต้วเยี่ยนซันก็ดื่มเหล้าในจอกจนหมด คืนนี้เขาตั้งใจจะเมามายให้เต็มที่ เมืองฉางอันตื่นขึ้นแล้ว เสียงฆ้องและกลองดังไม่ขาดสาย รถดับเพลิงขับเคลื่อนเข้ามาไม่ขาดสาย ตลาดซีซื่อเกิดเพลิงไหม้ ควันไฟลอยคละคลุ้ง ในตรอกที่ปิดตายมีคนหนีตายอลหม่านจากกลุ่มควันไฟ ส่งเสียงโหยหวนอวดครวญให้ได้ยิน
แต่ตระกูลอวิ๋นในตรอกจิ้งอันฟางกลับผ่อนคลายมากขึ้น พ่อบ้านและคนรับใช้หอบเสื้อผ้าและผ้าห่มที่เนื้อบางละเอียด ยืนชี้นั่นชี้นี่มองดูบ้านหลังนี้ถูกเปลวไฟลุกโชนเผากลายเป็นกองขี้เถ้าก็ไม่รู้สึกสะทกสะท้าน องครักษ์ของที่บ้านกำลังตามหาคนที่วางเพลิงแต่ไม่พบอะไรเลย จึงได้แต่ต้องกลับมาด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ท่านอาหลิวพ่อบ้านมาที่บ้านตระกูลอวิ๋นเป็นเวลาสองปีแล้ว ถือได้ว่าเป็นคนเก่าแก่ เขาสั่งให้คนรับใช้วางเสื้อผ้าและผ้าห่มที่เนื้อเบาละเอียด ลากม้าและวัวออกจากลานด้านหลัง ของในบ้านส่วนใหญ่ได้ถูกส่งกลับไปที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้ว โหวเหยียกำลังจะแต่งงาน แม่เฒ่าจึงมีคำสั่งว่าบ้านในเมืองไม่มีคนอยู่ จะเก็บของเหล่านั้นไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์ แม่เฒ่าไม่ชอบบ้านเก่าหลังนี้ มักจะพูดว่าบ้านเก่าหลังนี้มีกลิ่นแห่งความโชคร้าย ทั้งยังมีคนตายเป็นว่าเล่นอยู่เสมอ ช่างอัปมงคลนัก ตอนนี้ดีเลยที่บ้านโดนเผาแล้ว ท่านอาหลิวรู้สึกอดชื่นชมการมองการณ์ไกลของแม่เฒ่าไม่ได้จริงๆ มองดูบ้านที่ถูกเผาไหม้เหมือนกับคบเพลิง หากหลายวันก่อนไม่ขนย้ายทุกอย่างออกจากบ้านไป เกรงว่าจะต้องสูญเสียไม่น้อยแน่นอน ประตูตรอกได้ถูกเจ้าหน้าที่เปิดออก ก่อนที่รถดับเพลิงจะเข้ามา ท่านอาหลิวก็รีบพูดกับทหารผู้มาช่วยดับเพลิงว่า “บ้านตระกูลอวิ๋นคงช่วยไว้ไม่ได้แล้ว รีบช่วยเหลือคนอื่นก่อน ครอบครัวเล็กๆ ของชาวบ้านหากประสบภัย เกรงว่าจะมีชีวิตอยู่กันอย่างยากลำบาก”
เหล่าทหารที่มาช่วยยกนิ้วหัวแม่มือให้จากนั้นก็รีบไปยังตรอกจิ้งอันฟางเพื่อช่วยดับไฟ ในตอนแรกก็มีเพลิงไหม้เพียงหนึ่งหรือสองแห่ง ทางการคิดว่ามันเป็นภัยธรรมชาติ ทว่าเมื่อที่ว่าการเขตของเมืองฉางอันเองก็เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้น ทหารจินอู่เว่ยจึงออกโรงจัดการเอง ทั่วทุกแห่งหนของเมืองฉางอันในเวลานี้เต็มไปด้วยเปลวเพลิงและควันไฟ กองทัพไม่มีเวลาในการตามจับคนร้ายเพราะสิ่งแรกที่ต้องทำคือการช่วยกันดับเพลิง แม้ว่าที่ว่าการจะถูกไฟไหม้แต่นายอำเภอจั่วขุยก็ไม่กริ่งเกรงใดๆ สวมชุดนอนยืนสั่งการในการดับเพลิงและถึงกับลงมาดับเพลิงด้วยตนเอง ถูกควันไฟลอยห่อหุ้มราวกับวิญญาณล่องลอย หนวดเคราที่โดยปกติรู้สึกภาคภูมิใจหนักหนาก็ถูกไฟเผาจนหยิกหย็อยดูไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เขาเข่าอ่อนก็คือ เพลิงไหม้ในตรอกอู้เปิ่นฟาง ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่เก็บเสบียงของราชวงศ์ แม้จะบอกว่าเรื่องยังมาไม่ถึงตาเขาที่จะต้องเป็นผู้จัดการมัน แต่ในฐานะขุนนางและประชาชนจะปัดความรับผิดชอบไปได้อย่างไร ได้แต่ยืนร่างโงนเงนตกตะลึงอยู่เบื้องหน้าเปลวไฟ สวรรค์พังทลายลงมาแล้ว เขาผลักทหารที่ว่าการที่เข้ามาดึงตัวเขาไว้ให้ออกไปแล้วเดินตรงเข้าไปที่กองไฟซึ่งเป็นที่ทำงานของเขา เมื่อเข้าไปแล้วก็ลงกลอนประตูแล้วนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ที่ว่าความ ก้อนอิฐรอบตัวเขาก็หล่นลงมาเป็นระยะๆ จั่วขุยหยิบไม้เคาะเตือนในศาลเคาะอย่างแรงหนึ่งครั้งแล้วตะโกนว่า “โจรชั่ว” จากนั้นห้องโถงที่ว่าความก็พังทลายล้มครืนลงมา ค่ำคืนนี้เมืองฉางอันเกิดเพลิงไหม้แล้ว