เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 56 ความทุกข์และความสุขที่แตกต่างกัน
โต้วเยี่ยนซันที่อยู่ในศาลาเล็กเริ่มมีอาการเมาเหล้าไปแล้วเจ็ดส่วน การได้ลิ้มรสอาหารอร่อยและดื่มเหล้าอย่างสะใจถือเป็นความสุขสูงสุดในใต้หล้านี้จริงๆ เหล้าแต่ละจอกก็เหมือนดั่งเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้จิตใจเขา จึงถอดเสื้อออกยกจอกเหล้าขึ้น เชื้อเชิญดวงจันทร์มาดื่มด้วยกัน ตัวคนเดียวเพียงลำพังแต่เงาสับสนวุ่นวาย ความรู้สึกที่อยากแก้แค้นไม่ได้สะใจสมดังหวังอย่างที่เขาจินตนาการไว้ เหล้าของตระกูลอวิ๋นยังคงเผ็ดร้อน เมื่อเหล้าตกสู่ท้องก็เสมือนหนึ่งเปลวไฟและดาบที่เฉือนกรีดความคิดที่ละเอียดรอบคอบจนแตกกระเจิงในพริบตา ทำให้เขาหมดแรงที่จะชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของเมืองฉางอันหลังจากเกิดเพลิงไหม้แล้ว สำหรับโต้วเยี่ยนซันผู้ที่ดื่มเหล้าดีกรีแรงจนเคยชินแล้ว การสั่งให้โจวต้าฝูไปตลาดหาซื้อเหล้าที่ดีกรีแรงที่สุดมาดื่มเพื่อให้เข้ากับอารมณ์ของเขา ถือเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่งจริงๆ
หลังจากเขาใช้สติสัมปชัญญะสุดท้ายที่เหลืออยู่สาปแช่งอวิ๋นเยี่ยแล้ว ก็ล้มดังโครมตกลงไปในพุ่มดอกโบตั๋น กิ่งที่เพิ่งจะออกดอกตูมมาถูกร่างกายของเขากดทับจนหักอย่างไร้ปรานี ดอกหล่นเกลื่อนกลาดเต็มพื้นสีแดงฉานราวกับเลือด
ผู้ที่ถูกเหล้าทำให้เสียงานนั้นโต้วเยี่ยนซันก็ไม่ใช่คนแรก ในใต้หล้านี้เต็มไปด้วยปัจจัยที่คาดคิดไม่ถึงเสมอ สัญญาณของการล่าถอยที่อยู่นอกเมืองฉางอันไม่สามารถส่งสัญญาณได้ ทหารพลีชีพในเมืองฉางอันก็กลายเป็นคนตายอย่างแท้จริง ทหารพลีชีพที่มองไม่เห็นสัญญาณล่าถอย เมื่อใช้เชื้อเพลิงในมือจนหมดแล้วก็เริ่มมองหาทุกสิ่งที่ติดไฟได้มาก่อเพลิงกองใหม่ขึ้น เมื่อไม่สามารถปกปิดซ่อนตัวได้อีกต่อไป ก็ยากจะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดได้ เมื่อถูกจับได้การจะถูกประหารทั้งชั่วโคตรก็ย่อมเป็นไปได้ หากก้าวรุกล้ำขีดความอดทนสุดท้ายของหลี่ซื่อหมิน บทบัญญัติทางกฎหมายที่ยังมีเมตตาเหล่านั้นก็จะไม่บังเกิดผลใดๆ เมื่อมีกฎย่อมต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจึงจะศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหลี่ซื่อหมินมีคุณสมบัตินี้
โต้วซันเป็นลูกชายสายตรงของตระกูลโต้ว การสูญสิ้นของตระกูลโต้วได้รับการยกเว้นจากการลงโทษ เพราะโต้วจงได้ส่งมอบงานตรวจค้นที่อุดมสมบูรณ์ให้กับคนสนิทของเขาจัดการ จึงได้สั่งย้ายโต้วซันไปเป็นเกษตรกรที่หมู่บ้าน ยึดทรัพย์สินทุกอย่างของเขาเข้าเป็นของหลวง
โต้วซันที่ไม่มีอะไรเหลือเลยเมื่อได้พบเจ้านายเก่าจึงสาบานว่าจะจงรักภักดี เขาไม่เคยมีประสบการณ์เป็นทหารพลีชีพ แต่ความเกลียดชังในใจของเขาได้ส่งเสริมให้เขาวางเพลิง วางเพลิงและวางเพลิง
เมื่อถูกทหารจินอู่เว่ยออกลาดตระเวนจับเขากดลงกับพื้นจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะฆ่าตัวตาย แต่น่าเสียดายที่เมื่อครู่เพื่อที่จะวางเพลิงเพิงหญ้าที่ถูกเจ้าของสาดด้วยน้ำ เขาจึงถอดเสื้อของเขาโยนเข้าไป เพิงหญ้าจึงได้ติดไฟขึ้นก่อเกิดเปลวไฟพ่นควันกลุ่มใหญ่และเปลวไฟมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น เพียงแต่เมื่อไม่มีเสื้อแล้ว ยาพิษที่ซ่อนอยู่ในชายเสื้อก็ถูกเปลวไฟกลืนกินเข้าไปด้วย โต้วซันที่เพิ่งจะคิดได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์จึงทำได้แค่แผดเสียงร้องเสียงหลงเหมือนหมาป่า
เมืองฉางอันได้ถูกจุดให้สว่างไสวโดยคนห้าสิบคนนี้ กลายเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล เปลวไฟสีแดงเข้มพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศราวกับปีศาจกำลังอาละวาดอย่างดุดันกลืนกินอาคารเรือนแล้วเรือนเล่า ประตูตรอกนั้นปิดตาย พวกว่างงานที่ปรากฏตัวบนท้องถนนต่างก็ถูกจับตัวไว้ เหล่าทหารจินอู่เว่ยได้แต่ยืนอยู่บนถนนจูเชวี่ยที่กว้างใหญ่เพื่อฟังเสียงร้องคร่ำครวญของชาวเมืองในบริเวณโดยรอบ
ไม่ใช่ครั้งหรือสองครั้งแล้วที่สวรรค์ช่วยเหลือหลี่ซื่อหมิน เขาดูเหมือนจะเป็นโอรสสวรรค์จริงๆ ขณะที่รถดับเพลิงไม่สามารถควบคุมเปลวไฟไว้ได้นั้น ห่าฝนครั้งแรกของฤดูใบไม้ผลิก็ตกลงมา ผู้ที่มาช่วยดับเพลิงทุกคนต่างก็คุกเข่าอยู่ในน้ำโคลนคารวะกราบไหว้ฟ้าดินอย่างนอบน้อม โต้วเยี่ยนซันเองก็ตื่นขึ้นเพราะสายฝนนี้ เขาเคยออกคำสั่งอย่างเข้มงวดว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเขาได้นอนฝันหวานอย่างมีความสุขที่สุดอยู่ในดงดอกไม้เขาหันกลับมามองที่ฉางอัน เห็นเพียงว่าก่อนที่จะเมาจนล้มลงยังคงอยู่ในเมืองที่ถูกเผาไหม้จนลุกโชน แต่ในตอนนี้ค่ำคืนที่ดำมืดกว่าสีหมึกได้มลายหายไปสิ้น เห็นเพียงแสงไฟเป็นจุดๆ เคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องราวกับเปลวไฟปีศาจที่ลอยได้
โต้วเยี่ยนซันบีบผมที่เปียกปอนแล้วจึงมองเมืองฉางอันที่เงียบสงบแล้วจึงเปิดประตูลานเล็กๆ แล้วเดินออกมา โจวต้าฝูร้อนรนไม่เป็นสุขเหมือนมดเดินอยู่บนหม้อไฟ เมื่อเห็นโต้วเยี่ยนซันที่เปียกปอนทั้งร่างเดินออกมาก็รีบก้าวไปช่วยพยุงเจ้านายที่เดินโงนเงนโซเซและกล่าวว่า “นายท่าน เพียงแค่ทหารพลีชีพจำนวนหนึ่งที่ไม่มีนัยสำคัญอะไร นายท่านไม่จำเป็นต้องเศร้าโศก คนประเภทนี้เรารับสมัครใหม่อีกครั้งก็ได้แล้ว ข้าน้อยก็รู้ว่าห่าฝนครั้งนี้ทำให้พวกเราล้มเหลวไม่เป็นท่าเห็นได้ว่าสวรรค์ไม่เข้าข้างพวกเรา คราวหน้าพวกเราค่อยลงมือใหม่อีกครั้งข้าน้อยไม่เชื่อว่าตระกูลหลี่ของเขาจะได้รับการเมตตาช่วยเหลือจากสวรรค์ได้ทุกครั้งไป การที่ท่านไม่ได้ออกคำสั่งให้ทหารพลีชีพเหล่านั้นซ่อนตัวไว้ถือว่าทำถูกแล้ว การจะทำงานใหญ่ก็ต้องลั่นกลองรบเพื่อสร้างความฮึกเหิมจึงจะประสบความสำเร็จ หากปราศจากความบ้าคลั่งของทหารพลีชีพในเวลาต่อมาพวกเราก็จะไม่สามารถสร้างความทรงจำอันหนักหน่วงเช่นนี้ไว้ให้ตระกูลหลี่ได้”
โต้วเยี่ยนซันเอามือลูบหน้าผากด้วยความโศกเศร้า และพูดว่า “ข้ายืนอยู่บนที่สูง คาดหวังให้พวกเขาต่อสู้แลกชีวิตอยู่ในเมืองในใจก็เจ็บปวดเหมือนมีดกรีด แต่น่าเสียดายห่าฝนครั้งนี้ได้ทำลายผลงานของพวกเขาและก็ได้ทำลายความโชคดีครั้งสุดท้ายในใจข้าด้วย การจะต่อกรกับตระกูลหลี่จะต้องทำการวางแผนให้รัดกุมก่อนจึงค่อยลงมือ มิฉะนั้นจะล้มเหลวไม่เป็นท่า การสูญเสียกำลังคนคราวนี้เป็นความผิดของข้าเอง ท่านอาโจว ได้โปรดช่วยข้าทำความปรารถนาเรื่องสุดท้ายของท่านปู่ให้เป็นจริงด้วย ทำให้ลูกหลานตระกูลหลี่อยู่ไม่สุขตลอดไป”
ท่านอาโจวเพียงคำเดียวทำให้โจวต้าฝูรู้สึกว่าการทุ่มเทที่ผ่านมาทั้งหมดของเขาได้รับการตอบรับแล้ว แม้ว่าจะให้เขาลงสู่สนามรบด้วยตนเองก็ตามถึงต้องตายก็ไม่มีวันเสียใจอย่างเด็ดขาด ตนเองเป็นเพียงพ่อครัวคนหนึ่งที่ชีวิตระหกระเหินอยู่ในเมืองฉางอัน ได้รับบุญคุณจากตระกูลโต้วมาหลายชั่วอายุคน บัดนี้ได้ยินคุณชายที่เมื่อก่อนเป็นผู้ที่ถือตนเรียกว่าท่านอาก็คุ้มค่ามากมายนักที่จะมอบชีวิตที่แก่ชรานี้ให้กับตระกูลโต้ว
“นายท่านโปรดวางใจ ข้าน้อยขอสาบานว่าจะติดตามรับใช้ท่านจนตัวตาย จะไม่มีวันปล่อยให้ตระกูลหลี่ได้อยู่อย่างสุขสงบ”
เมื่อเห็นเปลวไฟในเมืองถูกห่าฝนดับไป หลี่ซื่อหมินจึงค่อยหันหลังกลับตำหนักไท่จี๋ ซึ่งแตกต่างจากโต้วเยี่ยนซัน หลังจากที่เปลวไฟอันแรกได้ลุกโชนขึ้นเขาก็ยืนอยู่ด้านหน้าบันไดหยกของตำหนักไท่จี๋ นอกจากหลงโส่วหยวนแล้วที่นี่คือจุดที่สูงที่สุดของเมืองฉางอัน เขานั่งบนเก้าอี้และมองดูเมืองที่เต็มไปด้วยควันไฟทั่วทุกหัวระแหงอย่างไม่ยี่หระ เมื่อขันทีมารายงานข่าวว่าตระกูลอวิ๋นเกิดเพลิงไหม้ขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนจุดไฟในครั้งนี้ หงเฉิงหมอบกราบใบหน้าแนบกับพื้นแต่ไม่กล้าที่จะขยับแม้เพียงเล็กน้อย
สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำแต่ไม่สามารถนำมาใช้เป็นน้ำได้ เมืองฉางอันซึ่งแห้งแล้งในฤดูใบไม้ผลิเป็นสภาพอากาศที่เหมาะที่สุดสำหรับการวางเพลิง สภาพอากาศแห้งแล้งสิ่งของติดไฟง่าย เสียงบอกระวังฟืนไฟไม่เคยหยุดหายไป แต่ละปีจะมีอัคคีภัยเกิดอยู่หลายครั้งหลายครา ยากแก่การป้องกันยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เมฆปกคลุมดวงจันทร์ เมื่อถึงช่วงที่ท้องฟ้ามืดสนิท หลี่ซื่อหมินแหงนหน้า มองฟ้า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ในที่สุดฝนก็ตกลงมาซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับว่ารีบมาดับอัคคีภัยในครั้งนี้ ฝนเม็ดใหญ่และตกลงมาอย่างหนาแน่น กระทบร่างกายแล้วรู้สึกเจ็บ หงเฉิงประสบด้วยตัวเอง ตอนนี้อย่าว่าแต่ฝนกำลังตก แม้เป็นมีดตกลงมาเขาก็ไม่กล้าขยับ เมื่อมองด้วยหางตาเขาพบว่า ใบหน้าที่เย็นชาของฮ่องเต้เริ่มขยับเขยื้อนเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เป็นสัญญาณที่ดีนะ หวังว่าห่าฝนนี้จะสามารถดับเพลิงครั้งนี้ให้หมดไปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ชีวิตน้อยๆ ก็อาจจะรักษาไว้ได้
เมื่อฝนหยุดฟ้าเปิด ไก่ขันไปแล้วหนึ่งรอบ หากยืนอยู่ที่ตำหนักไท่จี๋ยังพอจะเห็นแสงอรุณจางๆ บนท้องฟ้าได้บ้าง หงเฉิงยังคงหมอบอยู่บนพื้น ไม่กล้าลุกขึ้น หลี่ซื่อหมินไม่อยู่เขาก็ยิ่งหมอบอย่างเคารพนบนอบมากกว่าเดิม เสียงของหลี่ซื่อหมินดังออกมาจากด้านในตำหนักราวกับดังมาจากขุมนรกที่หนาวเหน็บและไร้ความปรานี “ลุกขึ้นเถอะ ไปทำงานของเจ้า หากทำไม่ได้ดีก็ไม่ต้องกลับมา”
ทั่วทั้งเมืองฉางอันต่างก็โอดครวญกับอัคคีภัยครั้งนี้กันทั้งสิ้น มีเพียงคนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นเท่านั้นที่กำลังใช้ไม้ท่อนใหญ่กระทุ้งตัวเรือนที่ยังไม่ทรุดตัวลงให้พังลงทีละหลัง คนรับใช้พึมพำเกี่ยวกับเพลิงไหม้ที่แปลกประหลาดครั้งนี้อย่างระมัดระวัง หรือว่าจะมีใครล่วงเกินเทพเจ้าเตาจึงได้ถูกท่านเจตนาลงโทษด้วยเพลิงไหม้ แต่บ้านของพวกเราไม่น่าจะถูกลงโทษปกติแม่เฒ่าเป็นผู้ใจดีมีเมตตา แม้ว่าโหวเหยียจะล้างผลาญไปเสียหน่อยแต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่จะทำให้เทพเจ้าพิโรธได้ บ้านของพวกเราจะต้องเดือดร้อนเพราะบ้านอื่นๆ อย่างแน่นอน เมื่อมีคนถามขึ้นก็จะพูดเช่นนี้ตระกูลอวิ๋นไม่เคยทำอะไรผิดศีลธรรม
แต่สิ่งที่น่าโกรธเคืองที่สุดก็คือห่าฝนครั้งนี้ ของทุกอย่างในบ้านได้เคลื่อนย้ายออกมาหมดแล้ว บ้านนั้นพวกเราไม่ต้องการแล้ว โหวเหยียพร่ำบ่นว่าจะสร้างบ้านใหม่มานานแล้ว เมื่อเพลิงนี้เผาบ้านไม่มีเหลือพวกเราก็ไปอาศัยอยู่ในบ้านหรูๆ ที่หมู่บ้าน ใครอยากอยู่ในเมืองกัน เมื่อฟ้าเริ่มมืดลงก็ต้องเข้านอน ซื้อของอะไรบางอย่างก็ต้องเดินทางค่อนเมืองฉางอัน ท่านอาหลิวบอกว่าในหมู่บ้านนั้นเมื่อก้าวพ้นประตูก็จะมีตลาดซึ่งคึกคักมากมายนัก ยังได้ยินอีกว่าที่เขาอวี้ซันมีแพไม้ไผ่ที่ล่องในแม่น้ำตงหยางที่งดงามเพียงไร เมื่อได้หยุดหนึ่งวันก็สามารถล่องแพอยู่บนแม่น้ำได้ตลอดวัน อากาศเย็นสบาย สุขกายสบายใจกว่าเทพเจ้าเสียอีก ไม่เหมือนกับในเมืองเพื่อเติมน้ำให้เต็มหลังอาบน้ำ ยังต้องตักน้ำกว่าค่อนวันเพื่อเติมน้ำให้เต็ม สุดท้ายก็เหงื่อไหลไคลย้อยอีกครั้ง ช่างเป็นการอาบน้ำที่เสียเปล่า
หลังคาเจ้ากรรมเหตุใดไม่ไหม้ให้หมด กระเบื้องก็ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย ศีรษะของอวิ๋นจิ่วก็ถูกกระแทกใส่จนปูดบวม สิ่งของที่ย้ายออกมาก็แช่อยู่ในน้ำฝน ท่านอาหลิวด่าว่าอยู่เป็นเวลานาน เกิดเพลิงไหม้แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บก็ไม่ถือเป็นภัยพิบัติ แต่ห่าฝนในครั้งนี้ต่างหากที่ทำให้ตระกูลอวิ๋นประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่อย่างแท้จริง ไม้คุณภาพดีที่โหวเหยียนำกลับมาทำเครื่องเรือนเปียกน้ำจนหมด หากบริเวณรอยต่อลิ่มถูกน้ำเข้า แม้ตากให้แห้งก็จะต้องมีรอยแตกแน่นอน น่าเสียดายอย่างที่สุด
คนของทางการมามากมายหลายครั้งเพื่อสอบถามเกี่ยวกับความเสียหายของที่บ้าน ท่านอาหลิวร้องไห้คร่ำครวญน้ำมูกน้ำตาไหลพลางบอกว่าที่บ้านได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติอย่างรุนแรง บ้านทั้งหลังถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น เหลือเพียงคอกม้าอยู่ไม่กี่คอกเท่านั้น ของส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ย้ายออกมา เพียงแค่จุดนี้เขาก็รู้สึกผิดต่อแม่เฒ่าที่ให้เขาดูแลบ้านและก็ผิดต่อโหวเหยียที่เชื่อถือในตัวเขามาโดยตลอด แต่ตระกูลอวิ๋นยังสามารถรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้ได้ ดังนั้นจึงได้ให้รถดับเพลิงให้ช่วยเหลือครอบครัวอื่นก่อน เพราะเกรงว่าครอบครัวเล็กๆ จะแบกรับความเสียหายไม่ไหว ไม่คุ้มค่าเลยที่จะสละชีวิตเพื่อบ้านหลังหนึ่ง
ตระกูลอวิ๋นนั้นเป็นผู้ที่มีคุณธรรมน้ำใสสูงมาโดยตลอด ทำให้เจ้าหน้าที่เมื่อได้ยินแล้วก็รีบประสานมือคารวะอย่างนอบน้อมในทันใด ทั้งยังบอกอีกว่าจะทำป้ายมาแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้านตระกูลอวิ๋น ทั้งยังมีเพื่อนบ้านบางคนที่ประสบภัยและได้รับการช่วยเหลือจากรถดับเพลิงต่างตั้งใจพากันวิ่งมาคุกเข่าและโขกศีรษะที่หน้าบ้านตระกูลอวิ๋น ทีละครอบครัวๆ จนทำให้ท่านอาหลิวร้องไห้น้ำมูกไหลตามไปด้วย
ประตูใหญ่ยังอยู่ดีไม่เสียหาย เมื่อปิดประตูท่านอาหลิวก็ยืนท่ามกลางสายตาที่เคารพเลื่อมใสของคนรับใช้และทหารยาม เขานั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่เคาะขาตีจังหวะและฮัมเพลงในลำคออยู่สองท่อนซึ่งร้องได้ไม่น่าฟังเอาเสียมากๆ แต่กลับดูน่ารักดี
นายอำเภอเสียชีวิตไปหนึ่งคนและชาวบ้านหนึ่งร้อยแปดสิบหกคน ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกยาพิษตายหลายสิบคน ทางการบอกว่าคนที่ถูกยาพิษตายนั้นล้วนเป็นฆาตกรแต่กลับไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นใครและเป็นคนที่ไหน ใครเป็นผู้ก่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้
คนที่ตายมากที่สุดคือคนแถบตลาดซีซื่อ พวกคนโลภมากเพื่อเงินแล้วยอมทิ้งแม้กระทั่งชีวิต รอบกายก็เต็มไปด้วยเปลวเพลิงแล้วยังจะพุ่งเข้าไปที่กองไฟอีกเพื่อขนย้ายของออกมา ดังนั้นผู้ที่ถูกไฟคลอกตายจึงมีจำนวนมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีร้านหนึ่งที่ขายหญิงชาวเผ่าหูโดยเฉพาะ ด้านในขังหญิงชาวเผ่าหูไว้ยี่สิบกว่าคนซึ่งไม่มีใครหนีออกมาได้เลย
ตลาดซีซื่อก็ถูกไฟไหม้จนไม่เหลือสภาพดีเช่นกัน บ้านของเหอเซ่ารอดพ้นจากภัยนี้จึงรีบรุดมาดูสภาพบ้านที่น่าอนาถของตระกูลอวิ๋นตั้งแต่ฟ้าสาง ซึ่งขณะนั้นได้ดับไฟเสร็จแล้ว คว้าคอเสื้อของเจ้าหน้าที่จะพาตัวไปเข้าเฝ้าโดยบอกว่าจวนโหวเหยียแท้ๆ เพื่อไม่ให้บ้านของประชาชนต้องประสบภัยจึงปฏิเสธรถดับเพลิง ทำเรื่องที่มีคุณธรรมน้ำใจสูงส่งเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องน่าชื่นชมและเศร้าจริงๆ ทางการกลับไม่แสดงออกอะไรเลยแม้เพียงนิด จึงต้องการไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อขอความเป็นธรรม
แต่เมื่อจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เข้าจริงๆ ก็ทำให้เหอเซ่าหวาดกลัวจนปัสสาวะรดกางเกง ใครจะรู้ว่าตอนนี้ฮ่องเต้ต้องการจะฆ่าใครสักคนสองคนเพื่อระบายความโกรธหรือไม่ จนกระทั่งนายอำเภอฉางอันคนใหม่ ได้ไหว้วานขอให้ตระกูลอวิ๋นและตระกูลเหอทำการบูรณะซ่อมแซมตลาดซีซื่อทั้งหมดจึงได้ยอมเลิกรา เมื่อกลับมาถึงตระกูลอวิ๋นก็มอบหยกเขียวมรกตให้ท่านอาหลิวเป็นรางวัล จากนั้นก็ขี่ม้าไปหาหลี่เค่อพูดคุยว่าจะทำเช่นไรเพื่อให้ตระกูลเหอสามารถตั้งตัวอยู่ที่ตลาดซีซื่อได้