เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 57 รอดูเรื่องตลก
โต้วซันถูกห้อยติดไว้บนกิ่งไม้ มีบาดแผลเต็มทั่วร่าง มือและเท้าชักกระตุกโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังมีเลือดไหลออกมารวมกันอยู่ใต้เท้าของเขาจนกลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ หลังจากกลบหลุมเล็กๆ จนเต็มแล้วเนื่องจากแรงดึงผิวนั้นรุนแรงมากซึ่งสูงกว่าเนินดินทั้งสี่ด้าน ภายใต้แสงไฟสลัวๆ ได้เกิดแสงประหลาดเจิดจ้าขึ้น
เลือดยังคงหยดลงสู่พื้น จนในที่สุดก็ทะลุชั้นผิวหนังออกมาราวกับงูสีแดงตัวหนึ่งเลื้อยคลานลงมา หงเฉิงยืนอยู่ที่นั่นปล่อยให้งูเลือดตัวนี้กัดรองเท้าของเขาตามใจชอบ เขาเอาแต่จ้องดูโต้วซันเพียงอย่างเดียว เขาก็ไม่ใช่คนที่เข้มแข็งแกร่งอะไร เมื่อถอดเล็บเขาออกก็ร้องไห้โวยวาย คร่ำครวญโหยหวน อุจจาระและปัสสาวะไหลออกมาพร้อมกัน แต่เขาก็ไม่ยอมปริปาก การแสดงออกของผู้อ่อนแอนอกจากการร้องขอชีวิตแล้วเขาก็ทำทุกอย่าง หงเฉิงมักรู้สึกว่าจะทำลายแนวรับสุดท้ายของเขาได้แล้ว แต่เขากลับเอาแต่ร้องไห้โวยวาย คร่ำครวญโหยหวน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเปิดปากพูด
หลายปีที่ผ่านมาหงเฉิงฆ่าคนไปมากมายหลายคนและทรมานคนไปจำนวนไม่น้อย มีคนจำนวนมากมายที่ขณะอยู่ในเมืองดูเป็นชายแข็งแกร่งอาจหาญแต่เมื่ออยู่ในมือเขาก็เหมือนดินโคลน โต้วซันที่อยู่เบื้องหน้านี้ได้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกนับถือขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ จากนั้นก็สลายหายสิ้นไปในพริบตา เมื่อคิดถึงพระพักตร์ที่ดำทมิฬดุจเหล็กกล้าของฝ่าบาทแล้วเขาก็สั่นเทาไปทั่วร่าง หากไม่สามารถทำตามพระบัญชาของฝ่าบาทได้ เขาไม่กล้านึกถึงผลที่ตามมาเลยจริงๆ
การลอบโจมตีอย่างกะทันหันในครั้งนี้หน่วยข่าวกรองกลับไม่รู้ข่าวสารใดๆ เลยจนกระทั่งถึงวินาทีที่เกิดเพลิงไหม้ขึ้น เขายังรู้สึกว่าโชคดีที่ตนเองไม่เดือดร้อน ยังคงคิดว่านี่เป็นภัยธรรมชาติทั้งยังสามารถทำให้เขาได้เห็นเรื่องเสียหน้าของทหารจินอู่เว่ยอีกด้วย แต่คิดไม่ถึวว่าเปลวไฟจะลุกเพิ่มขึ้นมากขึ้นทุกทีๆ ถ้าหากตอนนี้เขายังไม่เข้าใจว่านี่เป็นการถูกลอบโจมตี ฝ่าบาทก็คงจะทรงสั่งประหารเขาไปนานแล้ว
สิ่งแรกเลยก็คือการปกป้องพระราชวัง สายลับของหน่วยข่าวกรองถูกวางตัวไว้ทั่วเมือง สิ่งแรกที่หงเฉิงทำเลยก็คือรีบเข้ามารับผิด เขาไม่ได้นอนตลอดคืน ไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด ถามโต้วซันอีกครั้งด้วยเสียงที่แหบห้าว “เจ้าเป็นใคร ใครเป็นคนบงการเรื่องนี้ เจ้ารับคำสั่งมาจากใคร รีบบอกมาแล้วข้าจะให้เจ้าได้ตายสบาย ไม่ต้องทนทรมานกับโทษเป็นที่แสนทรมานนี้”
โต้วซันก้มศีรษะไม่พูดอะไรเลย การลงโทษอย่างหนักเมื่อครู่นี้ได้ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนล้าหมดแรง ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า มือและเท้ามีแต่ความรู้สึกแสบร้อน ในหูมีแต่เสียงอื้ออึงราวกับมีผึ้งหลายพันตัวเริงระบำอยู่ในหูของเขา
น้ำเย็นหนึ่งถังสาดกระเซ็นใส่ศีรษะของเขาทำให้หนาวสั่นไปทั่วร่าง ยกคอที่บวมขึ้นและหรี่ตามองหงเฉิงที่อยู่เบื้องหน้า ปากก็ร้องขอด้วยเสียงอู้อี้ฟังไม่เป็นคำว่า “ฆ่าข้าเถิด ฆ่าข้าเถิด”
ต้องแนบหูเข้าไปใกล้ๆ ปากของโต้วซันหงเฉิงจึงจะได้ยินทั้งสามคำนี้อย่างชัดเจน ในใจก็อดรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งไม่ได้ ร้องขอเพื่อตายแต่ไม่ร้องขอชีวิต ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบและกระซิบข้างหูเขาเบาๆ สองประโยค ดวงตาของหงเฉิงก็เบิกกว้างสุกสว่างขึ้นทันทีและมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
เขาใช้ด้ามแส้ช้อนศีรษะของโต้วซันขึ้นมาแล้วยิ้มพูดว่า “โต้วซัน เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่พูดแล้ว หน่วยข่าวกรองจะไม่รู้หรือว่าเจ้าเป็นใคร ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือเจ้ายังมีภรรยาและลูกอาศัยอยู่นอกเมือง ข้าจะให้คนไปเชิญพวกเขามา เจ้าไม่พูดไม่เป็นไรแต่ไม่รู้ว่าพวกนางสองแม่ลูกจะพอรู้หรือไม่”
ร่างของโต้วซันสั่นเทาอย่างรุนแรงขึ้น เขาปิดบังภรรยาและลูกก็เพื่อจะเหลือเงินจำนวนมากไว้ให้พวกเขา เพื่อที่ลูกหลานของเขาหลุดพ้นจากการเป็นทาส แม้ว่าลูกของเขาจะอายุเพียงห้าขวบแต่ก็ฉลาดเฉลียว เพียงแค่ยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่างของคุณชายน้อยของที่บ้านก็สามารถจำบทกวีได้จำนวนมากถึงเพียงนั้น แม้แต่อาจารย์ผู้สอนยังรู้สึกเสียดายแทนเขา เสียดายที่เป็นเพียงทาส หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปแม้จะเป็นลูกคนยากจน เขาก็จะรับเป็นศิษย์ มีความหวังที่จะเชิดหน้าชูตาให้กับตระกูลในภายหน้าได้ เป็นครั้งแรกที่โต้วซันซึ่งมีชีวิตมืดมัวมาค่อนชีวิตได้รู้สึกสะอิดสะเอียนสุดจะกล่าวกับฐานะทาสที่มีโอกาสได้กินอิ่มนอนหลับของตนเอง
โต้วจงเจ้าบ้านคนใหม่ปฏิเสธความต้องการที่จะไถ่ถอนลูกชายของเขา ทั้งยังนำเงินออมเป็นเวลาหลายปีของเขาไปด้วย ประโยคที่ว่าทาสก็ย่อมเป็นทาส หากอยากจะเป็นไทก็รอชาติหน้าเถอะ คำพูดประโยคนี้ทำให้ความหวังอันงดงามทั้งหมดของเขาถูกทำลายจนแหลกสลาย จนกระทั่งการมาถึงของคุณชาย
สหายเก่าของตระกูลโต้วท่านหนึ่งสนใจในตัวของลูกชายโต้วซัน ทั้งยังช่วยไถ่ตัวภรรยาของโต้วซันกลับมาให้และนำชื่อไปขึ้นทะเบียนราษฎร์ใหม่อีกด้วย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ได้ทำให้โต้วซันเห็นด้วยตาตนเองและสุดท้ายคุณชายได้มอบเงินสามสิบก้วนเอาไว้ให้เขาดูแลครอบครัว เมื่อเขาเห็นลูกชายคารวะอาจารย์ฝากตัวเป็นศิษย์เขาก็คิดว่าตนเองพร้อมที่จะตายแล้ว ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
ตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างกลับไปที่จุดเริ่มต้นหลังจากที่อ้อมวนไปหนึ่งรอบ ซึ่งสิ่งนี้น่ากลัวกว่าความตายเสียอีก เขาร้องตะโกนและพูดว่า “ได้โปรด อย่าไปหาพวกนางเลย ขอให้พวกเขามีชีวิตที่ดีอยู่ต่อไปด้วย พวกนางไม่รู้อะไรเลย หากเจ้าอยากรู้อะไร ข้าจะบอกเจ้า”
หงเฉิงหัวเราะและถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก เป็นคนย่อมต้องมีจุดอ่อน ทหารพลีชีพไม่สนใจชีวิตของตัวเอง แต่กลับใส่ใจชีวิตคนอื่น อย่างเช่น คนในครอบครัว นี่ช่างเป็นเรื่องที่ดูประชดประชันกันจริงๆ
“กฎหมายต้าถังไม่ได้มีกฎว่าต้องฆ่าภรรยาและลูกของเจ้า อยากมากที่สุดก็ถูกสั่งให้เป็นทาส หากเจ้ายอมสารภาพออกมาทั้งหมดแต่โดยดี ข้าจะนำภรรยาและลูกของเจ้าไปขึ้นทะเบียนราษฎร์ให้ เจ้าลองไปสอบถามคนอื่นดูได้ ข้าเหล่าหงพูดคำไหนคำนั้น พูดแล้วจะไม่คืนคำเด็ดขาด เจ้านั้นต้องตายแน่นอนแล้ว แม้เทวดาก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ ข้าให้สัญญากับเจ้าได้เพียงเท่านี้ เจ้าตัดสินใจเองก็แล้วกัน”
สุดท้ายแล้วโต้วซันก็พูดออกมาจนหมด แม้กระทั่งการคาดเดาของตัวเองก็พูดออกมา หลังจากประทับลายนิ้วมือเสร็จแล้ว หงเฉิงจึงได้รู้สึกตัวว่าทั้งเหนื่อย ทั้งหิวและกระหายน้ำ แต่เขากลับไม่กล้าที่จะทำการล่าช้าแม้เพียงเล็กน้อย รีบร้อนมุ่งหน้าไปยังตำหนักไท่จี๋
“ผู้บงการคือโต้วเยี่ยนซัน เขาไม่ได้ตายไปแล้วหรือ” หลี่ซื่อหมินมองไปที่คำรับสารภาพ เห็นหงเฉิงเอาแต่โขกศีรษะแต่ไม่กล้าพูดอะไร
ทันใดนั้นก็ถามขึ้นอีก “ตระกูลอวิ๋นก็ถูกเผาด้วยเช่นกัน”
“กราบทูลฝ่าบาท ตระกูลอวิ๋นอยู่ในพื้นที่ประสบภัยขั้นรุนแรง มีคนสี่คนขว้างคบเพลิงใส่บ้านของเขา ทั้งยังมีน้ำมัน กำมะถัน ดินประสิว ถูกเพลิงไหม้เลวร้ายที่สุด เหลือเพียงคอกม้าสองคอกเท่านั้น แต่ระหว่างเกิดเพลิงไหม้ตระกูลอวิ๋นวางตัวได้ดี พ่อบ้านให้รถดับเพลิงไปช่วยเหลือครอบครัวเล็กๆ ก่อนและสุดท้ายจึงค่อยมาช่วยตระกูลอวิ๋น” เมื่อรู้ว่าผู้บงการก็คือโต้วเยี่ยนซันหงเฉิงก็รู้ว่าการที่ตระกูลอวิ๋นถูกเผานั้นก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว
“เกรงว่าเจ้าหนุ่มนี่น่าจะเดาได้ว่าโต้วเยี่ยนซันยังมีชีวิตอยู่ เค่อเอ๋อร์มารายงานว่าขณะที่เขากำลังจัดการบ้านเก่าของตระกูลโต้วอยู่นั้น เขาพบห้องลับซึ่งด้านในมีรอยเล็บอยู่นับไม่ถ้วน หลังจากอวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็รีบกลับไปที่เขาอวี้ซันและก้าวเข้ามา จากนั้นก็ไม่ปลีกตัวจากตระกูลอวิ๋นแม้แต่ครึ่งก้าว
สิ่งของทุกอย่างในบ้านที่อยู่ในเมืองก็ถูกย้ายกลับไปทั้งหมดภายใต้ข้ออ้างที่ว่าจะใช้ในงานแต่งงาน คิดว่าคงเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งนี้แต่เนิ่นๆ แล้ว ทั้งยังขุดได้สมบัติจำนวนมากจากซากปรักหักพังของบ้านตระกูลโต้ว เจ้าหนุ่ม เจ้ารอดูเรื่องน่าขันของเรา เช่นนั้นเราก็จะนั่งดูเรื่องน่าขันของเจ้าสักครั้ง เรามีสวรรค์คอยช่วยเหลือ ฝนตกลงมาอย่างหนัก ดับเพลิงไหม้ไปจนหมดสิ้น แล้วเจ้าจะใช้วิธีไหนในการจัดการกับโต้วเยี่ยนซัน ตระกูลโต้วจะยอมละเว้นตัวการแห่งภัยพิบัติเช่นเจ้าหรือ”
เมื่อหลี่ซื่อหมินพูดจบก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังขึ้นและพูดกับหงเฉิงว่า “ห้ามเจ้าไปรายงานข่าวเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกลงโทษสามข้อหาพร้อมกัน”
เมื่อหงเฉิงออกมาจากตำหนักไท่จี๋ ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นสูงมากแล้ว เบื้องหน้ารู้สึกพร่ามัวเล็กน้อย จึงเข้าไปที่ครัวหลวงขอโจ๊กชามใหญ่หนึ่งชาม ไก่สองตัว นั่งยองๆ อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์และกินอย่างมูมมาม เมื่อกินไปกว่าครึ่งจึงเงยหน้ามองดวงอาทิตย์แล้วพูดว่า “น้องชาย ไม่ใช่พี่ชายไม่ช่วย แต่เป็นพระบัญชายากขัดขืน เทพเจ้าอย่างพวกเจ้าประมือกัน คนโง่เช่นข้าไม่สามารถสอดแทรกเข้าไปได้จริงๆ เจ้ารักษาตัวด้วย”
หลังจากพูดออกไปแล้วก็ดูเหมือนจะรู้สึกดีขึ้นมากแล้วจึงตะโกนไปที่ห้องครัวว่า “เอาเหล้ามาให้ข้าหนึ่งกา”
ท่านอาหลิวนั่งบนรถม้าที่หมู่บ้านส่งมารับและบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้พ่อบ้านใหญ่เฉียนทงฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกประการ หลังจากเฉียนทงได้ฟังสิ่งที่ท่านหลิวเล่าแล้วตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า “เหล่าหลิว เจ้าเก่งกาจจริงๆ ไม่เสียทีที่ข้าแนะนำเจ้าให้แม่เฒ่าที่บ้าน เรื่องนี้เจ้าจัดการได้ดีมาก เมื่อกลับไปแล้วข้าจะขอรางวัลจากท่านแม่เฒ่าให้เจ้า”
เหล่าหลิวหัวเราะจนพูดอะไรไม่ถูกแล้ว แต่ไหนแต่ไรมารางวัลของตระกูลอวิ๋นนั้นมากมายนัก พ่อบ้านใหญ่เฉียนทงตอนนี้ได้รับการเลิกทาสมานานแล้ว ภรรยาและลูกรวมถึงคนในบ้านก็ไม่ใช่แล้ว เขาเป็นเจ้าของที่ดินหลายหมื่นตารางเมตรและยังมีผู้เช่าที่นาอีกหลายคน ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ตัวเขากลับยืนกรานจะเปลี่ยนสถานะให้เป็นทาสให้ได้ แม่เฒ่าเร่งให้เขาไปเปลี่ยนสถานะกลับมาอยู่หลายครั้ง ทั้งยังทำเป็นสัญญาที่ไม่สามารถไถ่ถอนได้อีก ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะไม่ไปจากบ้านตระกูลอวิ๋นแล้ว
ซึ่งจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในตระกูลอื่นเป็นแน่ ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนรับใช้ตระกูลอื่นก็คือการได้เป็นคนธรรมดา มีเพียงคนรับใช้ของตระกูลอวิ๋นเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องนี้ ตอนนี้มีชีวิตที่สุขสบายกว่าพวกคนธรรมดาที่ต้องเสียภาษีเป็นไหนๆ คนที่ไม่มีความสามารถอะไรถึงจะคิดก้าวออกไปเพื่อหาความทุกข์ยากใส่ตัว
หลายวันก่อนสาวใช้ในบ้านหลายคนอายุถึงวัยออกเรือนแล้ว ต่างก็ได้แต่งงานกับครอบครัวมีฐานะในหมู่บ้าน ไม่มีใครกล้าดูถูกพวกนาง ต่างก็ได้รับการดูแลประหนึ่งนายหญิงน้อย ไม่ใช่เพราะอื่นใด เพราะสาวใช้หลายคนนั้นคุ้นเคยกับคุณหนู นายหญิงและแม่เฒ่าอย่างสนิทชิดเชื้อ พวกนางมักจะได้รับงานบางส่วนจากจวนมาทำ เมื่อนับดูแล้วมันคุ้มค่ากว่าการเก็บเกี่ยวเสบียงอาหารในไร่นาตลอดทั้งปีเสียอีก นอกจากนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกนางต่างก็เป็นสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ละคนที่ได้แต่งงานด้วยต่างก็ยิ้มแก้มปริกันหมด
บนเส้นทางนี้ไม่ได้มีแต่พวกเขาเท่านั้น สาวใช้ของตระกูลอวิ๋นที่อยู่ในเมืองฉางอันนั่งอยู่บนเกวียนเทียมวัวด้วยอาการตื่นเต้นมาก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดคุยเสียงดังเกินไปเสียหน่อย ล้วนแล้วแต่ถูกขังอยู่ในเมืองฉางอันจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว ตอนนี้สามารถได้ไปที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋น แต่ละคนจึงพูดคุยกันถึงเรื่องที่ว่าพวกนางจะถูกส่งไปรับใช้นายท่านคนไหนกันแน่
อันที่จริงแล้วเจ้านายของตระกูลอวิ๋นไม่จำเป็นต้องเลือก ไม่มีใครปฏิบัติต่อพวกนางอย่างโหดเ**้ยม ขอเพียงแค่ไม่ต้องไปรับใช้คุณหนูเล็กก็ถือเป็นวาสนาแล้ว ชื่อเสียงของคุณหนูเล็กนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเลี้ยงหมูตัวโตหนึ่งตัว ทั้งยังเห็นมันเป็นแก้วตาดวงใจ หากจะบอกว่าไปรับใช้คุณหนูไม่สู้บอกว่าถูกส่งไปรับใช้หมูอ้วนตัวนั้นจะดีกว่า ดังนั้นบรรดาสาวใช้จึงต่างไม่เต็มใจที่จะติดตามนาง สาวใช้ของคุณหนูเล็กเองก็ถูกเปลี่ยนอยู่เสมอ ได้ยินว่าหมูตัวนั้นชอบแกล้งคนที่สุดและเมื่อแกล้งแล้วก็จะแกล้งให้ถึงที่สุด
ขณะที่พวกเขากำลังพูดถึงตระกูลอวิ๋นกันอยู่นั้นไม่ได้สังเกตว่า ด้านหลังมีเกวียนเทียมวัวคันหนึ่งตามมาอยู่ไม่ไกลนัก คนที่เร่งรีบขับเกวียนมานั้นเป็นชายอายุสามสิบกว่าคนหนึ่ง สวมหมวกสานปีกกว้างกำลังนั่งคุมบังเ**ยนอยู่ ดูเหมือนกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการเร่งรีบขับเกวียน
ราคาห้าร้อยก้วนคือรางวัลสำหรับการฆ่าอวิ๋นเยี่ย นักดาบพเนจรในเมืองฉางอัน รวมถึงยังมีชายอีกกลุ่มหนึ่งที่ชอบทำการซื้อขายโดยไม่ลงทุนต่างก็กำลังแย่งชิงกันลงมือ ขอเพียงแค่สามารถสังหารเจ้านายของตระกูลอวิ๋นได้สักคนก็จะได้เงินรางวัลหนึ่งร้อยก้วน
ซึ่งผู้ที่กำลังเร่งขับเกวียนท่านนี้ก็คือนักดาบพเนจรท่านหนึ่ง ได้รับเงินมัดจำห้าสิบก้วนก็รีบขับเกวียนเทียมวัวไปที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อลองเสี่ยงโชคดู ตอนนี้ในขบวนไม่มีเจ้านายของตระกูลอวิ๋น คนที่ใหญ่ที่สุดก็เป็นเพียงแค่พ่อบ้าน ใครจะยอมจ่ายเงินหนึ่งร้อยก้วนเพื่อไปข้าพ่อบ้านคนหนึ่งกันบ้าง ดังนั้นเขาจึงตามเกวียนเทียมวัวของตระกูลอวิ๋นอยู่ด้านหลังโดยไม่ให้รู้ตัวเพื่อรอโอกาส
เขาวิ่งได้เร็วที่สุดจึงได้รับสมญานามจากคนอื่นว่า อี๋เจิ้นเฟิง ซึ่งแปลว่าเร็วดั่งลมกรด เมื่อทำงานสำเร็จ เขามักคิดว่าตนเองสามารถหนีจากการสถานการณ์ที่เลวร้ายได้เสมอ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเรื่องเช่นนี้และไม่เคยผิดพลาดมาก่อน
ระหว่างทางไปตระกูลอวิ๋นมีร้านขายน้ำชาเล็กๆ อยู่ ผู้ที่ขายน้ำชาเป็นแม่เฒ่าตาบอดคนหนึ่ง ตระกูลอวิ๋นสอนวิธีในการชงชาให้แม่เฒ่าที่ตาบอดและลูกชายของนาง ลูกชายของนางเป็นเด็กหนุ่มที่กระตือรือร้น หากไม่เป็นเพราะมีแม่ชราที่ตาบอดต้องคอยดูแล คงได้ออกไปเผชิญชีวิตในโลกกว้างนานแล้ว
จากใบหน้าที่แดงระเรื่อของเหล่าสาวใช้ก็เห็นได้ว่าเด็กหนุ่มที่เป็นคนสะอาดสะอ้านแต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นที่นิยมของหญิงสาวมากเพียงไร
“โก่วจื่อ รินน้ำชามาหน่อย กระหายมากเลย” เฉียนทงทักทายเด็กหนุ่มอย่างเสียงดัง เด็กหนุ่มเดินยิ้มเห็นฟันขาวๆ พร้อมทั้งถือกาน้ำชาเข้ามาหา