เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 7 หลี่เค่อผู้เดือดร้อนอย่างรุนแรง
หลี่ไท่ที่อายุสิบสี่ปีกำลังทำการเลือกที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของเขา หลี่เค่อที่อายุสิบสี่ปีครึ่งกำลังตรวจเยี่ยมอาคารที่เขาสร้างขึ้น อาคารเล็กๆ แต่ละอาคารถูกทาเป็นสีขาวตั้งอยู่ภายใต้ต้นสนและต้นไซเปรสที่เขียวชอุ่มซึ่งดูสง่างามเป็นพิเศษ บนหลังคาของอาคารปูด้วยกระเบื้องสีแดงซึ่งแตกต่างจากพระราชวังที่มีแต่สีเทาอึมครึม ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะอาคารหนึ่งปูด้วยกระเบื้องสีแดงและโบกปูน อีกอาคารหนึ่งปูด้วยกระเบื้องสีเทาซึ่งแน่นอนว่าต้องแตกต่างกันเป็นธรรมดา
คนเรามักจะชอบของใหม่เบื่อของเก่ากันทั้งนั้น อาคารหมายเลขหนึ่งถูกไท่ซั่งหวงหลี่หยวนใช้อำนาจยึดครองไปแล้วโดยไม่ชำระเงินแม้แต่แดงเดียว พูดเพียงประโยคเดียวคือเจ้าหนุ่มนั่นยังเป็นหนี้ทองคำไม่ได้ชดใช้ให้ข้า ยังกล้าที่จะเก็บค่าอาคารจากข้าอีกหรือ อวิ๋นเยี่ยได้บอกหลี่เค่อไว้แต่แรกแล้วว่าทุกคนในบ้านเขาหากต้องการอาคารไหนก็สามารถให้ได้เลยเพียงแต่ต้องชำระเงิน มิฉะนั้นหลี่เค่อต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า
หลี่เค่อกำลังจะกลุ้มใจตายอยู่แล้ว อวิ๋นเยี่ยใกล้จะกลับมาแล้ว เพิ่งจะได้ค่าอาคารกลับมาได้เพียงหกส่วน ไม่นับรวมอาจารย์ที่อยู่ในสำนักศึกษา เพราะเดิมนั้นอาคารเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อพวกเขา อาจารย์หลี่กังได้ย้ายครอบครัวจากเมืองหลวงเข้าอยู่ในอาคารหมายเลขสิบของสำนักศึกษาหลังจากที่อาคารสร้างเสร็จเพียงสองเดือน ซึ่งนั่นเป็นอาคารที่สวยที่สุดหลังหนึ่ง ภายในอาคารปูด้วยกระเบื้องเคลือบและพื้นปูด้วยแผ่นกระดานไม้สนเคลือบเงาถึงหกครั้ง ประตูและหน้าต่างที่แกะสลักนั้นเรียบง่ายแต่ดูหรูหรา เพดานแขวนโคมระย้า เมื่อตกดึกใช้เครื่องกว้านเพื่อปล่อยโคมระย้าลงมาแล้วจุดตะเกียงน้ำมัน ในห้องก็จะส่องสว่างทั่วห้อง ควันจากน้ำมันยังไม่ทำให้คนสำลักควันอีกด้วย คนตระกูลกงซูคิดวิธีที่ดีได้อย่างหนึ่งคือการเพิ่มปล่องไฟขนาดเล็ก ควันจากน้ำมันถูกดูดออกสู่ด้านนอกจนหมดสิ้น เครื่องเรือนนั้นเรียบง่ายมากเพียงแต่ไม่ได้มีไว้สำหรับให้เจ้าของบ้านใช้ แต่มีไว้เพื่อการแลกเปลี่ยน ไม่ว่าใครหากเห็นบ้านที่งดงามเพียงนี้แต่เครื่องเรือนภายในดูเก่าๆ โทรมๆ พวกเขาจะไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนของเหล่านั้นทิ้งแน่นอน หากใช้เครื่องเรือนเหล่านี้ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ถ้าหากต้องการเปลี่ยนเครื่องเรือนก็จำเป็นต้องจ่ายเงินเพิ่มต่างหาก
พ่อค้ายิ้มตาหยีมาเยือนถึงหน้าบ้านถือภาพวาดสวยๆ ที่ซ้อนกันเป็นปึกใหญ่ให้เจ้าบ้านเลือก ถ้าไม่มั่นใจก็มีห้องตัวอย่างที่ตกแต่งเป็นพิเศษเพื่อให้เจ้าบ้านได้เยี่ยมชมอีกด้วย เก้าอี้ไม้ไร้ที่พักแขนที่ปูเบาะยัดขนแกะหนาๆ ทำจากวัสดุไม้ที่ล้ำค่าหรือเก้าอี้สตูล พรมที่นำเข้าจากซีอวี้ โต๊ะทำงานที่ดูแปลกๆ เป็นเอกลักษณ์ พ่อค้าที่ละเอียดอ่อนยังได้เตรียมเตียงไม้แกะสลักไว้อีกด้วย
ใครก็ตามที่เห็นบ้านหลังนี้ต้องอิจฉา ครอบครัวของอาจารย์หลี่กังทั้งหมดได้เหมาซื้อหมดเลยจึงได้ตกแต่งบ้านใหม่เสร็จ ค่าตกแต่งบ้านนั้นยังแพงกว่าตัวบ้านมากนัก เมื่ออาจารย์เฒ่านอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้นุ่มอย่างเป็นที่พอใจและมองไปที่ทิวทัศน์ภูเขาด้านนอกหน้าต่าง ทันใดนั้นเขาก็กระโดดขึ้นและตะโกนเสียงดัง “หลงกลแล้ว” ทำให้ภรรยาที่นั่งเย็บปักถักร้อยอยู่หน้าเตาผิงใต้กำแพงตกใจจนเกือบตกพื้น จึงบ่นชายชราไม่ยอมหยุด “แก่ปูนนี้แล้วยังไม่ทำตัวให้เหมือนคนแก่เลยสักนิด ตื่นเต้นโวยวาย เอะอะมะเทิ่ง”
จึงถูกหลี่กังตำหนิเข้าให้ “พวกผู้หญิงอย่างเจ้าจะรู้อะไร ค่าใช้จ่ายของอาคารนี้ประมาณสามร้อยก้วน แต่ข้าซื้อข้าวของเครื่องเรือนเข้าบ้านถึงเจ็ดร้อยก้วนเต็มๆ อวิ๋นเยี่ยเจ้าเด็กคนนี้ ถ้าได้กำไรไม่ถึงสองเท่าจะทำหรือ พูดอีกอย่างก็คือเขาได้กำไรเงินทุนที่ใช้สร้างอาคารรวมถึงราคาเครื่องเรือนกลับไปหมดเลย ไม่แน่ว่าอาจมีส่วนเกินด้วย ทั้งยังทำให้ข้ารู้สึกว่าเขาได้ทุ่มเทเลือดเนื้อเพื่อสำนักศึกษา เดิมทีของเหล่านี้ควรเป็นของข้า กำไรเงินของข้าทั้งยังทำให้ข้าต้องซาบซึ้งใจในตัวเขา ไอ้เจ้าจอมวายร้ายแต่กำเนิด น่าสงสารที่เงินเก็บส่วนตัวทั้งชีวิตของข้าต้องถูกกลืนเข้าปากเสือ”
หลี่ฮูหยินมองพรมหนาๆ ที่ปูอยู่บนพื้น แล้วมองไปที่โคมระย้าอันงดงามเหนือศีรษะ แล้วเหลือบมองไปที่เตียงธรรมดาในอาคารเรือนนั้น มีสิ่งไหนบ้างที่ไม่ต้องใช้เงินก้อนโตจึงจะซื้อได้ เจ็ดร้อยก้วนนี้ยังเป็นราคาพิเศษที่พ่อบ้านตระกูลอวิ๋นเสนอให้เพราะเห็นแก่ที่เป็นผู้บริหารของสำนักศึกษา หลี่ฮูหยินคิดว่ามันคุ้มค่ามากมายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเตียงแกะสลักเตียงนั้น เมื่อนอนบนนั้นเหมือนนอนอยู่บนปุยเมฆ เตียงแข็งๆ ที่บ้านมันควรจะถูกโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว จึงเบะปาก รู้สึกว่านิสัยตระหนี่ขี้เหนียวของตาเฒ่ากำเริบอีกแล้ว
“พอแล้ว พอแล้ว รอให้อวิ๋นโหวกลับมาเจ้าค่อยสอนเขาดีๆ ก็ได้ เขายังเด็กค่อยๆ แก้นิสัยก็พอแล้ว” หลี่ฮูหยินปลอบใจผู้เฒ่าหลี่กัง เฒ่าทารก เฒ่าทารกนี่นาจึงต้องปลอบใจเสียหน่อยจึงจะทำให้เขาสงบลงได้ แม้ว่าปากของเขาจะพูดอย่างโหดเ**้ยมว่าจะให้อวิ๋นเยี่ยได้เห็นดีกัน แต่รอยยิ้มกลับปรากฏให้เห็นบนใบหน้า
การสร้างอาคารใกล้ๆ น้ำตกนั้นเป็นความคิดห่วยๆ ของหลี่เค่อ ที่ดินที่เชิงเขานั้นไม่เพียงพอแล้วจริงๆ แต่ยังมีวัสดุก่อสร้างมากมายเหลืออยู่ ดังนั้นเขาจึงถือวิสาสะสร้างอาคารหนึ่งหลังตรงพื้นที่โล่งบริเวณข้างน้ำตก
ยืนอยู่ด้านนอกอาคารได้ยินเสียงน้ำดังซู่ๆ อย่างกึกก้อง หลี่เค่อจึงเขกศีรษะตัวเองเข้าให้ มีใครอยากฟังเสียงรบกวนดังๆ ทุกวัน คิดถึงคำพูดอวิ๋นเยี่ยที่บอกว่าในฐานะพ่อค้าอสังหาริมทรัพย์ อาคารที่ขายไม่ออกสุดท้ายก็ได้แต่ขายให้กับตัวเอง นี่คือหลักการอย่างหนึ่ง เมื่อหลี่เค่อคิดถึงว่าต้องในช่วงสองปีที่เขาอยู่ในสำนักศึกษาแล้วต้องฟังเสียงรบกวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็ชวนให้ปวดศีรษะแล้ว ฉวยโอกาสที่ท่านทูตเดินทางไปที่ทุ่งหญ้า จึงเล่าเกี่ยวกับความกังวลของเขาให้อวิ๋นเยี่ยฟังจนหมดสิ้นเพราะตนเองอยากฟังความคิดเห็นของเขา
จดหมายตอบได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็ว ผู้ส่งสารจากทุ่งหญ้าถึงฉางอันยังคงทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย อวิ๋นเยี่ยบอกเขาในจดหมายว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่ต้องทำการห่อเท่านั้น หลี่เค่อต้องบอกกับทุกคนว่า “หอฟังน้ำตก” เป็นอาคารที่มีระดับที่สุดในบรรดาอาคารทั้งหมดที่มี ที่นี่มีภูเขาที่อยู่ห่างไกล ใกล้ๆ มีต้นไม้ มีน้ำตกสาดกระเซ็น ในช่วงเช้ามองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ตกดึกได้ยินเสียงที่ไหลริน มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครและหายากในใต้หล้านี้ หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป แม้เดินทั่วเมืองฉางอันก็หาไม่มีอาคารที่มีทัศนียภาพที่งดงามเช่นนี้ได้ ทันทีที่เปิดประตูก็จะเห็นน้ำตกสาดกระเซ็น สัมผัสได้ถึงความงามของน้ำตกจากระยะใกล้และระยะไกล ดังคำกล่าวที่ว่าผู้มีปัญญาย่อมมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลดุจสายน้ำ ผู้มีการุณยธรรมย่อมมีเมตตาตั้งมั่นในคุณธรรมดุจขุนเขา อาคารหลังนี้จะขายให้กับบุคคลผู้ซึ่งประสบความสำเร็จและเพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและมีการุณยธรรม ผู้ที่คุณสมบัติไม่ผ่านเกณฑ์จะไม่ขายให้ และจะต้องปรับเพิ่มราคาบ้านหลังนี้เป็นสองเท่า
เมื่อเห็นจดหมายตอบกลับของอวิ๋นเยี่ย หลี่เค่อรู้สึกว่ามุมมองการประเมินค่าของตัวเองนั้นพังทลายไม่เป็นท่า รู้สึกหน้ามืดตาลาย วิงเวียนเห็นดาวเต็มไปหมด หรือจะบอกว่าทุกสิ่งที่อาจารย์สอนตนเองนั้นล้วนผิดทั้งสิ้น มันเป็นไปไม่ได้! เขาให้กำลังใจตัวเองในการประเมินค่าอยู่ในใจ หวังว่าจะไม่ทำลายมันลงด้วยเรื่องนี้
สุดท้ายแล้ว ในการประมูล อาคารหลังอื่นๆ ก็เปิดราคาซื้อขายเสร็จสมบูรณ์อย่างเรียบร้อย มีเพียง “หอฟังน้ำตก” หลังนี้เท่านั้นที่ถูกแย่งกันอย่างรุนแรง มีผู้คนจำนวนมากที่อ้างว่าบุคคลผู้ซึ่งประสบความสำเร็จและเพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและมีการุณยธรรมแย่งกันจะซื้ออาคารเพียงหลังเดียวที่ได้รับการตั้งชื่อ ช่วงชิงที่จะเสนอราคา การแข่งขันที่ดุเดือดเผ็ดมันมาก มีท่านอ๋องของตระกูลหลี่ กั๋วกงของแต่ละท้องที่ สำหรับระดับโหวเหยียนั้นล้วนแล้วแต่ถูกไล่กลับทั้งสิ้น แม้แต่โหวเหยียตัวเล็กๆ ก็ควรได้รับการเรียกขานว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือ สำหรับพ่อค้าที่ร่ำรวยในเมืองฉางอันแม้แต่ความกล้าที่จะเริ่มต้นเสนอราคายังไม่มีเลย สุดท้ายอาคารหลังนี้ก็ถูกอวี้ฉือจอมซื่อบื้อใช้กำปั้นช่วงชิงมาจากหลี่เซี่ยวกง ราคาอาคารในเวลานี้มากกว่าราคาที่หลี่เค่อคาดไว้ถึงหกเท่า!
เมื่อเห็นผลลัพธ์แล้ว หลี่เค่อนั้นสีหน้าซีดเซียวอย่างมาก สองมือออกแรงจับราวรั้วจึงรักษาสมดุลร่างกายเอาไว้ได้ อาจารย์ ท่านผิดพลาดแล้วจริงๆ! พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคนโง่และคนบ้า เพียงแค่คำพูดหนึ่งประโยคมีค่าถึงสามพันก้วน เงินสามพันก้วนสามารถซื้อคฤหาสน์หรูในเมืองฉางอันได้เลยทีเดียว
จึงตัดสินใจที่จะไปพบเสด็จพ่อที่สามารถทำได้ทุกอย่างของเขาเพื่อระบายข้อสงสัยในใจเขา
“ถ้าหากเจ้าไม่พูดต้นสายปลายเหตุของเรื่อง พ่อเองก็ต้องการอาคารหลังนี้” นี่เป็นประโยคแรกหลังจากที่หลี่ซื่อหมินฟังคำพูดของหลี่เค่อ เมื่อได้ยินประโยคนี้หลี่เค่อนั้นไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ ก้มกราบลงบนพื้นทันใด ที่นี่มีภูเขาที่อยู่ห่างไกล ใกล้ๆ มีต้นไม้ มีน้ำตกสาดกระเซ็น ในช่วงเช้ามองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ตกดึกได้ยินเสียงที่ไหลริน “ที่นี่มีภูเขาที่อยู่ห่างไกล ใกล้ๆ มีต้นไม้ มีน้ำตกสาดกระเซ็น ในช่วงเช้ามองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น ตกดึกได้ยินเสียงที่ไหลริน หากไม่คิดให้ดีๆ คนส่วนใหญ่จะไม่คิดว่าเสียงดังกึกก้องของน้ำตกนั้นหนวกหูเพียงใด ประสาอะไรกับเด็กคนนี้นำชื่อมาชวนเชื่อเพื่อขายมัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้” หลี่ซื่อหมินพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
“แต่อาจารย์พูดว่า… ” หลี่เค่อยังคิดที่จะทักท้วงอีกสักหน่อย
“ในเวลาเช่นนี้อย่าได้เอ่ยถึงท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ถือเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่ราชนิกุลหรือพ่อค้า คิดดูแล้วก็ไม่อยู่ในจำพวกเดียวกับอวิ๋นเยี่ย เขาเอาคานหามขนาดใหญ่เช่นนี้ให้เจ้าแบกรับ เจ้ายังไม่เข้าใจเจตนาที่แอบแฝงอีกหรือ ในฐานะที่เป็นอาจารย์นั้นอวิ๋นยี่ยถือว่ามีคุณสมบัติ ในฐานะข้ารับใช้ถือว่าเขาให้เกียรติ เพื่ออบรมสั่งสอนให้เจ้ามีความสามารถ เราเชื่อว่าเงินที่ผ่านมือเจ้าในครั้งนี้มีมากกว่าสามหมื่นก้วน เจ้าต้องรู้ว่า เสด็จพ่อเจ้าก็ไม่มีทางมอบเงินจำนวนมากถึงเพียงนี้ให้เจ้าดูแลควบคุมตามใจชอบอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ไปหาคนอื่น แต่ตั้งใจมาหาเจ้าที่เป็นเด็กที่ใกล้จะเป็นผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ประการแรกคือต้องการอบรมบ่มเพาะให้เจ้าเป็นคนที่ดูแลทรัพย์สินของต้าถังเราได้ในอนาคต เขาพบว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในด้านนี้ ประการที่สองคือต้องการที่จะบอกเราว่าการกระทำของเขาเป็นเพียงการทำเพื่อหาเงินกำไรมาชดเชยค่าใช้จ่ายของสำนักศึกษาเท่านั้น เปิดเผยทุกอย่างไว้เบื้องหน้าเรา ไม่เพียงแต่โปร่งใส แต่ยังแสดงออกถึงความสะอาดเถรตรงของเขาอีกด้วย เจ้าเข้าใจไหม เขากลับมาคราวนี้ แม้กระทั่งเสด็จพ่อของเจ้าก็จะไม่เตะเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกอีกแล้ว ทั้งราชสำนักไม่มีใครกล้าที่จะดูถูกเขาอีก หลานเถียนโหวจะกลายเป็นขุนนางชั้นสูงที่อยู่สูงสุดของต้าถังเราอย่างแท้จริง”
เมื่อหลี่ซื่อหมินพูดมาถึงตรงนี้น้ำเสียงก็ปกปิดความเสียใจที่ซ่อนเร้นไว้ไม่อยู่ หากเด็กคนนี้เป็นบุตรชายของเขาเอง ความมั่งคั่งรุ่งเรืองของราชวงศ์ถังนับร้อยปีก็มีความหวังแล้ว
หลี่เค่อลังเลอยู่เป็นนานก่อนที่จะพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “เสด็จพ่อ อวิ๋นโหวสร้างอาคารในครั้งนี้จำนวนเงินที่ผ่านมือลูกมีมากกว่าเจ็ดหมื่นก้วน แต่ลูกสร้างอาคารโดยใช้เงินไม่ถึงสองหมื่นก้วน ซึ่งมีอาคารสี่สิบสองหลังที่มอบให้กับสำนักศึกษาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ยังมีอาคารอีกห้าสิบเอ็ดหลังที่ซึ่งต้นทุนในการสร้างแต่ละหลังไม่ถึงสี่ร้อยก้วน ซึ่งกำไรของเตาเผาปูนซีเมนต์ก็รวมอยู่ในนี้ด้วย ถ้าหากลบออกไป ต้นทุนในการสร้างอาคารแต่ละหลังจะน้อยกว่าสามร้อยก้วน ก่อนที่อาคารจะถูกสร้างขึ้นก็ได้รับจำนวนเงินที่สั่งจองอาคารรวมเป็นเงินถึงหนึ่งหมื่นก้วน ดังนั้นอวิ๋นโหวจึงสร้างอาคารเหล่านี้โดยใช้เงินตัวเองเพียงหนึ่งหมื่นแปดพันก้วนเท่านั้น สำหรับอาคารห้าสิบสองหลังราคาที่ถูกที่สุดขายได้ถึงหนึ่งพันก้วน ส่วนที่เหมือนหอฟังน้ำตกนั้นขายได้ถึงสี่พันก้วน ดังนั้นตอนนี้ในมือลูกจึงมีเงินอยู่เจ็ดหมื่นก้วนและยังมีอีกสองหมื่นก้วนที่ยังเก็บกลับมาไม่ได้”
ถ้วยชาของหลี่ซื่อหมินนั้นสั่นเล็กน้อยจนน้ำชาทะลักออกมาจากถ้วยชา แม้ฝันเขายังไม่เคยคิดเลยว่าอวิ๋นเยี่ยจะสร้างอาคารจำนวนหนึ่งป่าเขาที่ห่างไกลก็จะได้กำไรมากมายถึงเพียงนี้ ภาษีตลอดปีของเมืองหยางโจวก็เพียงแค่หนึ่งแสนก้วน ซึ่งนี่ก็เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองที่มีอยู่น้อยมาก
น่าเสียดายที่เงินเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองเลย เขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการทำศึก ท้องพระคลังที่ว่างเปล่าจนให้ม้าวิ่งได้ แม้ว่าจะเป็นเขาก็รู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง
“จ่ายภาษีกันทั้งหมดแล้วหรือยัง” นี่เป็นสิ่งเดียวที่หลี่ซื่อหมินสามารถถามเพิ่มเติมได้
“ชำระมาแล้ว ทุกยอดที่ทำธุรกรรมสำเร็จ สิ่งแรกที่ลูกทำก็คือเก็บภาษี เจ้าหน้าที่เก็บภาษีของเมืองฉางอันได้ติดตามลูกโดยตลอด อวิ๋นโหวบอกกับลูกว่าหลังการทำธุรกรรมเสร็จสิ้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือการเก็บภาษี มิฉะนั้นจะสูญเสียเป้าหมายหลักในการทำเงินไป”
“เป้าหมายหลักในการทำเงิน หมายความว่าอย่างไร” หลี่ซื่อหมินรู้สึกงงงวยเล็กน้อย สงสัยว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงมองว่าการเก็บภาษีมีความสำคัญถึงเพียงนี้ ตระกูลใหญ่ๆ ในฉางอันมีใครบ้างที่ไม่ได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อหลบเลี่ยงภาษี มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่เห็นเรื่องนี้เป็นรากฐานในการวางตัว
หลี่เค่ออึกอักอยู่เป็นนานจึงได้พูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “เสด็จพ่อ ลูกไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น เพียงแต่ได้ยินอวิ๋นโหวพูดว่าเมื่อถึงวันที่เสด็จพ่อเริ่มเก็บภาษีแล้ว เขาจึงจะบอกสาเหตุที่แฝงอยู่ให้ลูกรู้ บอกว่าบอกให้รู้ตอนนี้รังแต่จะเป็นภัยไม่มีผลดีต่อลูก”
“ตอนนี้เจ้าเด็กคนนี้มาถึงที่ไหนแล้ว” หลี่ซื่อหมินถามองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง