เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 13 แผนการในการป้องกัน
ถึงเอาชนะเจ้าไม่ได้ แล้วยังเอาชนะลูกชายเจ้าไม่ได้อีกงั้นหรือ ในที่สุดเสียงร้องโอดครวญของหลี่ไท่ก็ได้ปลอบโยนหัวใจที่บาดเจ็บของอวิ๋นเยี่ยให้สงบลงได้
หลังจากสงครามผ่านไปความสงบสุขจะเกิดขึ้นเสมอ อวิ๋นเยี่ยช่วยหลี่ไท่เกล้าผมที่ยุ่งเหยิงของเขาอย่างระมัดระวัง นำมงกุฎทองคำที่กระเด็นไปด้านข้างสวมใส่ที่ศีรษะให้เขาดังเดิม จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอยดำบนหน้าให้หมดไปและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จึงค่อยหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เสี่ยวเยี่ย เจ้ากลัวว่าพ่อของข้าจะพบว่าเจ้าต่อยข้า จึงได้ช่วยข้าจัดเสื้อผ้าล่ะสิ” หลี่ไท่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่ง
“เสี่ยวเยี่ยเจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถูกเจ้าต่อยแล้วยังไม่ค่อยรู้สึกโกรธสักเท่าไร” ใบหน้าเล็กๆ ที่ขาวสะอาดของหลี่ไท่ปรากฏรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์ขึ้น
“ไม่รู้ แต่ข้ามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ไม่แน่ว่าพ่อของเจ้าอาจจะต่อยข้าก็ได้ ข้ารู้สึกได้ เมื่อก่อนตอนเขาตีข้าก็เหมือนแมวไล่จับหนูอย่างนี้เหมือนกัน” อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกหงุดหงิดมาก นึกไม่ออกจริงๆ ว่าตนเองทำอะไรผิดไปจึงต้องถูกตีด้วย
“เดี๋ยวเจ้าจะได้รู้ ข้ารับประกัน การลงมือของเจ้าครั้งนี้นั้นไม่เบาเลย ดังนั้นข้าจึงใจกว้างให้อภัยเจ้าเรื่องที่เจ้าต่อยข้า อย่างไรเสียเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายที่จะย่ำแย่กว่าข้า ข้าก็มีคุณสมบัติพอที่จะให้อภัย”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น หลี่ซื่อหมินเดินหน้าดำทมิฬออกมาจากประตู ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้ค่ายกลประตูของสำนักศึกษาได้ แม้ว่าเขาจะเดินช้ามากแต่เขาก็ยังคงล้มเหลวในการเผชิญหน้ากับแรงเฉื่อยทางกายภาพที่แข็งแกร่ง
“เสด็จพ่อ เหตุใดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ต้องให้ท่านทรงลงมือเองด้วย ให้ลูกจัดการก็พอแล้ว พระราชกรณียกิจของท่านมากมายอยู่ทุกวัน หากมาเสียเวลาอยู่กับของสิ่งนี้มันจะไม่เป็นผลดีต่อไพร่ฟ้า ให้ลูกลงมือเองก็พอ เพียงกลภาพลวงตาเล็กน้อยเท่านั้น หากมองออกก็จะจัดการได้”
อวิ๋นเยี่ยประหลาดใจมาก เขาไม่เคยสอนศิลปะการสนทนาเช่นนี้ให้หลี่ไท่มาก่อน เด็กคนนี้ไม่มีอาจารย์แต่กลับเรียนรู้ด้วยตนเอง ฝึกฝนมาไม่น้อยนะ
แน่นอนว่าหลี่ซื่อหมินมีสีหน้าเบิกบานเป็นอย่างมาก จึงตบด้านหลังศีรษะลูกชายเบาๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจมุ่งมั่นกล้าหาญในการศึกษา พยายามฝึกเพื่อวันที่จะอยู่เหนืออวิ๋นเยี่ยให้ได้โดยเร็วที่สุด จากนั้นจึงค่อยสบประมาทเขา
น่าแปลกมาก ขอเพียงแค่พ่อตบหลังศีรษะลูกชายเบาๆ เพื่อแสดงความใกล้ชิด เด็กโง่ก็จะอ้าปากกว้างหัวเราะเหมือนคนโง่ไร้เดียงสา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไหนก็ล้วนแล้วแต่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวยากไร้จนถึงตระกูลของชนชั้นสูงก็ไม่แตกต่างกัน
หลี่ไท่ผู้ที่ได้รับแรงกระตุ้นทางจิตใจก็วิ่งนำหน้าเข้าไปในค่ายกลก่อนเพื่อน หลี่ซื่อหมินเดินตามอยู่ข้างหลังด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน อู๋เสอก็ก้าวเข้าสู่ประตูใหญ่อีกครั้ง ได้แต่ถอนหายใจแล้วอวิ๋นเยี่ยก็เดินเข้าประตูข้างไป
หลี่ไท่มองข้ามค่ายกลทั้งหมดและสาวก้าวเดินไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าเบื้องหน้าไม่มีทางให้เดินแล้ว แต่เมื่อข้ามกำแพงที่แตกหักด้านหลังกลับมีทางเดินปรากฏออกมาอีก เห็นชัดๆ ว่าทุ่งดอกไม้เต็มไปด้วยหนามแหลม แต่หลี่ไท่กลับไม่หวาดกลัวต่อหนามที่ทิ่มแทงเข้าบนร่างกายราวกับว่าไม่มีอะไรเลย หลี่ซื่อหมินสัมผัสกับปลายแหลมของหนามอย่างระมัดระวัง แต่กลับพบว่าหนามแหลมนั้นอ่อนนุ่มและไม่มีภัยคุกคามเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ามีบึงน้ำอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับเหยียบบนผิวน้ำและลุยน้ำข้ามไป ทั้งยังอธิบายให้พ่อฟังถึงตำแหน่งของตอไม้ใต้น้ำนี้ว่าเป็นการเรียงตัวแบบดาวเหนือเจ็ดดวง ขอให้ระวังด้วยอย่าไปเหยียบถูกที่ว่างเข้า คราวก่อนแม่ทัพหลี่จิ้งก็ได้ก้าวพลาดตกลงไปในบึงน้ำนี้
นี่เป็นสิ่งที่ตาเฒ่ากงซูมู่ปรับปรุงเพิ่มเติมในภายหลัง ถ้าหากทำไว้เช่นนี้ตั้งแต่แรกอวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่สามารถข้ามไปได้ ถ้าเขาทำสิ่งนี้ในตอนแรก หลี่จิ้งอวดอ้างว่าตัวเองเป็นนักการทหารที่เก่งกาจ หนีมาพักร้อนที่สำนักศึกษา ตอนที่ก้าวมาถึงตำแหน่งนี้เขาลืมว่าดาวอัลไคด์หนึ่งในดาวทั้งเจ็ดเป็นดาวที่อับแสง ด้วยเหตุนี้เขาจึงตกลงไปในบึงน้ำสกปรกนี้ ท่าทางดูไม่จืดเลยแต่กลับตะโกนเสียงดังว่าสะใจยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อได้ยินว่าหลี่จิ้งโชคร้าย หลี่ซื่อหมินจึงยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้น ในไม่ช้าก็มาถึงด้านหน้าของกำแพงเงา หลี่ไท่เคลื่อนย้ายตัวเลขเรียงตามลำดับหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดอย่างคล่องแคล่ว ทันใดนั้นกำแพงเงาก็เปิดออกทันที เขาก็ผลักพ่อของเขาออกไปด้านข้าง ส่วนตนเองก็ย่อตัวลง เงาสีขาวกลุ่มหนึ่งส่งเสียงดังพุ่งตรงมาที่ด้านหน้าของอู๋เสอ อู๋เสอเองก็ไม่ตื่นตระหนก รีบยกมือตั้งฉากเหมือนดาบฟาดลงไปที่กลุ่มเงาสีขาวนั้น
เสียง ฟุบ ดังขึ้น เงาสีขาวแตกกระจาย ผงแป้งสีขาวกระจัดกระจายลอยฟ่องไปทั่วอากาศ อู๋เสอยืนป้องกันหลี่ซื่อหมิน เมื่อสะบัดแขนเสื้อของเขาก็เกิดลมแรงจนผงสีขาวถูกพัดหายไป ก้าวขึ้นมาข้างหน้าด้วยท่าทีราวกับเสือรอตะครุบเหยื่อ ไม่หลงเหลือท่าทีขันทีจอมเจ้าเล่ห์เลยแม้แต่น้อย ท่าทางองอาจสง่าผ่าเผย ท่วงท่าของยอดฝีมือปรากฏออกมาอย่างชัดแจ้ง
หลี่ซื่อหมินกระแอมทีหนึ่งแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยที่กำลังเดินเข้ามาว่า “นี่คือสิ่งที่เจ้าจัดเตรียมไว้หรือ อยากดูเรื่องน่าขำของเราหรือ” จากนั้นก็จับผงแป้งสีขาวที่ติดอยู่บนร่างกายดูพบว่ามันเป็นแป้งหมี่ หลี่ซื่อหมินคลายสีหน้าลงพลางถามอวิ๋นเยี่ย
“ต่อให้กระหม่อมมีหนึ่งพันหัวก็ไม่กล้าหยอกล้อฝ่าบาทเช่นนี้ สำหรับเรื่องนี้นั้น พระองค์ทรงตรัสถามโอรสของท่านจะดีกว่า” อวิ๋นเยี่ยทรยศหลี่ไท่อย่างไม่ลังเล สีหน้าของหลี่ไท่เริ่มบึ้งตึง ก้มหน้าเงียบไม่พูดอะไร
อวิ๋นเยี่ยกล่าวต่อไปว่า “เสี่ยวไท่ไม่ต้องการให้แม่ทัพหลี่ทำลายค่ายกลได้ง่ายเกินไป ดังนั้นเขาจึงเพิ่มถุงแป้งหมี่เข้าไป เตรียมที่จะทำให้แม่ทัพหลี่ต้องเสียหน้ากันสักหน่อย” หลี่ไท่มองอวิ๋นเยี่ยด้วยความตกใจ ตนเองมีความคิดที่จะจัดการกับหลี่จิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เห็นได้ชัดว่าตนเองลำพองใจอยู่ชั่วขณะหนึ่งจนลืมไปว่ามีกลไกอันนี้อยู่
หลี่ซื่อหมินก็มีความสุขขึ้นมาทันทีและตบไหล่ของหลี่ไท่แล้วพูดว่า “เด็กดี มีไหวพริบดีมาก แม้เป็นแค่แป้งหมี่อย่างไรเสียก็ถือเป็นเสบียง มันน่าเสียดายที่จะต้องใช้อย่างสิ้นเปลือง คราวหน้าเปลี่ยนเป็นหินปูน” เมื่อพูดจบก็สลับสับเปลี่ยนรหัสผ่านเล่นอย่างมีความสุขมาก อู๋เสอก็ปัดแป้งหมี่ที่เลอะอยู่บนกายออกและกลับไปยืนอยู่ข้างหลังหลี่ซื่อหมินโดยไม่พูดอะไรราวกับว่ายอดฝีมือแห่งยุคคนเมื่อครู่นั้นไม่ใช่เขาก็ไม่ปาน
อวิ๋นเยี่ยส่งแววตาให้หลี่ไท่ราวโดยสื่อว่าเจ้าเป็นหนี้น้ำใจข้าอีกครั้งแล้วนะ จากนั้นก็เริ่มจับตาดูอู๋เสอเตรียมที่จะดูยอดฝีมือแห่งยุคที่แท้จริง ซึ่งก็จ้องมองจนอู๋เสอรู้สึกอึดอัด
รอจนหลี่ซื่อหมินเล่นสนุกจนพอ ทั้งสี่คนก็ออกมาจากกำแพงลับจนมาถึงสวนของสำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยมองกำแพงลับที่ค่อยๆ ปิดตัวลงอย่างช้าๆ และถามหลี่ซื่อหมินพลางขบคิดว่า “ฝ่าบาทยังทรงจำตัวเลขที่เมื่อครู่ทรงจัดเรียงได้หรือไม่”
“เราก็เรียงไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้สนใจจำ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” หลี่ซื่อหมินถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ประตูใหญ่ของสำนักศึกษาจะไม่สามารถเปิดได้อีกต่อไป เว้นแต่เสี่ยวไท่จะสามารถถอดรหัสตัวเลขที่เมื่อครู่ฝ่าบาททรงตั้งโดยไม่ได้ใส่ใจได้สำเร็จ หรือเสี่ยวไท่จะยอมจ่ายเงินเพื่อรื้อกำแพงลับทั้งหมดทิ้งและสร้างขึ้นใหม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฝ่าบาททรงพอพระทัยก็พอแล้ว ทั้งหมดนี้ให้เสี่ยวไท่เป็นคนจัดการ”
หลี่ซื่อหมินลูบๆ จมูกของเขารู้สึกไม่ดีเล็กน้อยที่ทำให้ลูกชายตนต้องเสียเงินและเสียเวลาขบคิดอีก ดูท่าแล้วสำนักศึกษาจะไม่ยอมควักเงินแม้แต่แดงเดียว ไม่ได้ยินหรือว่าอวิ๋นเยี่ยเรียกเสี่ยวไท่ทุกคำอย่างร่าเริง
ต้นเอล์มในสวนดอกไม้นั้นเริ่มเขียวชอุ่มหมดแล้ว เพียงแต่ยังแลดูเตี้ยไปเสียหน่อย ปลูกแนวคันนาเหมือนกำแพงเตี้ยๆ ยืนบนที่สูงหลี่ซื่อหมินชี้ไปที่แบบแปลนแปลกๆ ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของกำแพงต้นไม้และถามอวิ๋นเยี่ยว่า “กำแพงต้นไม้เหล่านี้ก็มีกลไกด้วยหรือ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ในอีกหลายปีข้างหน้าเมื่อกำแพงต้นไม้เติบโตสูงได้ประมาณสามเมตรก็จะกลายเป็นเขาวงกตอีกแห่ง สำนักศึกษาจะปลูกเถาวัลย์พิษที่มีหนามไว้ในกำแพงต้นไม้ ทั้งยังจะเลี้ยงตัวต่อสายพันธุ์ที่ค่อนข้างตัวใหญ่ ไม่ทราบฝ่าบาททรงเห็นเป็นเช่นไร”
อวิ๋นเยี่ยสอบถามความเห็นฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง แต่กลับพบว่าฮ่องเต้มองเขาด้วยแววตาอย่างหนึ่งที่ดูแปลกประหลาด แม้อู๋เสอเองก็มองอย่างประหลาดมาก
“ฝ่าบาท กระหม่อมพบว่าอู๋เสอขันทีฝ่ายนั้นวรยุทธ์สูงส่งมาก เมื่อรอจนกำแพงต้นไม้โตขึ้นแล้วจึงขอให้เขาทดสอบพลังของเขาวงกตดู ถ้าหากง่ายเกินไป กระหม่อมได้ยินว่ามีมดแดงขนาดใหญ่อยู่สายพันธุ์หนึ่งที่สามารถพ่นน้ำกรดได้โดยเฉพาะอยู่ในดินแดนแถบซีอวี้ซึ่งพวกมันชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน กระหม่อมกำลังเตรียมจะนำมาบางส่วนเพื่อเพาะเลี้ยงในลานชีววิทยาหลังจากที่ฝึกฝนจนใช้ได้แล้วจะปล่อยพวกมันไว้บนกำแพงต้นไม้ ท่านทรงเห็นควรหรือไม่”
อู๋เสอสั่นเทาไปทั้งร่างและมองฮ่องเต้ด้วยแววตาอันอ้อนวอนด้วยความกลัวว่าฮ่องเต้จะนึกสนุกเพียงชั่วครู่และรับคำขอที่ไม่สมเหตุผลของอวิ๋นเยี่ยเข้า หลี่ไท่นั้นกระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้น ขาดก็เพียงแต่ปรบมือด้วยความดีใจเท่านั้น
หลี่ซื่อหมินตบท้ายทอยอวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่อย่างแรงคนละทีแล้วกล่าวว่า “ไร้สาระ อู๋เสอเป็นองครักษ์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของราชวงศ์ จะให้เขามาทดสอบฝ่าค่ายกลที่ถึงแก่ชีวิตเหล่านี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร สำนักศึกษาเป็นแหล่งถ่ายทอดวิชาความรู้ ทำไมถึงจึงมีค่ายกลที่โหดเ**้ยมเช่นนี้ “
อู๋เสอซาบซึ้งจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว รู้สึกปลาบปลื้มและภาคภูมิใจในการตัดสินใจอันชาญฉลาดของฮ่องเต้อย่างสุดซึ้ง อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่กลับผิดหวังเป็นอย่างมาก การที่ไม่ได้เห็นฉากอู๋เสอพิชิตด่านฝูงผึ้งและฝูงมดช่างทำให้รู้สึกน่าเศร้าใจเป็นอย่างมาก
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ง่ายมาก วัตถุประสงค์ของการทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันสถาบันการวิจัยที่สำคัญหลายๆ แห่งของราชวงศ์เรา กลวิธีใหม่และความรู้ใหม่ของสำนักศึกษาได้เพิ่มพูนไม่มีที่สิ้นสุด กังหันน้ำของเสี่ยวไท่เองก็มาถึงจุดสำคัญแล้วเช่นกัน เมื่อการทดสอบประสบความสำเร็จ ประสิทธิภาพในการถลุงเหล็กและสร้างชุดเกราะของต้าถังเราก็จะเพิ่มขึ้นถึงสิบกว่ายี่สิบเท่า ความสามารถในการสร้างเกราะจะเพิ่มขึ้นเป็นสิบหรือยี่สิบครั้ง กระหม่อมไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้ตกอยู่ในมือคนนอกหรือนำออกไปใช้ในประเทศ ถ้าหากใครต้องการขโมยไป ไม่ว่ามาเท่าไรกระหม่อมก็จจะฆ่าเท่านั้น จะไม่มืออ่อนแม้แต่นิดเดียวอย่างเด็ดขาด”
หลี่ซื่อหมินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ในเมื่อเจ้ามีความคิดเช่นนี้ เช่นนั้นก็จงทำไปเถอะ ถึงตอนนั้นจะมีคนมาทดสอบความน่าเชื่อถือของกลไกเหล่านี้ให้เจ้าแน่ เจ้าก็เลิกพุ่งเป้าหมายมาที่อู๋เสอได้แล้วเขาก็เพียงแค่ไม่เคารพต่อเจ้า คิดวางแผนหาเรื่องกับขันทีอย่างเขาไปทุกเรื่อง ไม่รู้สึกว่ามันน่ารังเกียจหรือ”
เรื่องนี้หลี่ซื่อหมินต้องหาโอกาสคุยกับอวิ๋นเยี่ยให้ละเอียดอย่างแน่นอน ตอนนี้ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะพูดคุยอวิ๋นเยี่ยเองก็ปิดปากไม่พูดถึงการวางแผนกลไกลับเหล่านี้แล้ว ปล่อยให้หลี่ซื่อหมินเดินเยี่ยมชมสำนักศึกษาตามใจชอบ
ดวงอาทิตย์อยู่ทางทิศตะวันตกแล้ว กงซูมู่ที่ขี้เกียจจนต้องให้ออกคำสั่งวันนี้กลับยอมบรรยายคาบเรียน ทั้งยังสอนถึงทักษะที่แท้จริงเรื่องตัวต่อหลู่ปันสิบหกชิ้น นี่เป็นวิธีการที่คิดค้นขึ้นมาซึ่งเป็นวิชาเฉพาะด้านประจำตระกูลของเขา ทำไมจึงยอมที่จะนำออกมาโอ้อวด
นักเรียนทั้งที่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ยี่สิบกว่าคนต่างทำกันจนเหงื่อไหลไคลย้อย จากหกชิ้นจนถึงสิบหกชิ้น ความยากเพิ่มขึ้นโดยตลอด เด็กนักเรียนเหล่านี้ช่างวาสนาดี เพียงแต่เมื่อเห็นฉากกั้นขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังห้องเรียน อวิ๋นเยี่ยก็รู้ทันทีว่าทำไมวันนี้ตาเฒ่าถึงใจกว้างและขยันขันแข็ง หยางเฟยและอินเฟยนั่งอยู่หลังฉากกั้น พวกนางเองก็ทำจนเหงื่อไหลไคลย้อยเช่นกัน นางกำนัลข้างกายคอยใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้เจ้านายตนเป็นระยะๆ และขันทีทั้งสองกำลังโบกพัดอย่างสุดแรง
ตาเฒ่ากำลังพร่ำสอนจนน้ำลายกระเด็นอย่างน้ำไหลไฟดับ “นี่เป็นทฤษฎีที่น่าอัศจรรย์ซึ่งตระกูลกงซูค้นพบโดยบังเอิญและสืบทอดกันมาหลายพันปี เป็นผลผลิตของบรรพบุรุษของข้าที่ได้ศึกษาค้นคว้ากลวิธีต่างๆ ของกลไกหลายๆ ประเภทแล้วจึงได้มา แม้แต่อวิ๋นโหวเองยังชมไม่ขาดปาก แต่ที่ยิ่งน่าขันกว่าก็คือเขาได้ทำตัวต่อไม้ขึ้นชุดหนึ่ง ผลก็คือเหลนชายของข้าที่อายุเพิ่งครบหนึ่งขวบนั่งทับลงไปก็สามารถปลดล็อกได้ทันที หากจะพูดถึงว่าเป็นสายตรงของแท้อย่างไรก็ต้องถือของตระกูลกงซูข้าเป็นหลัก”
พูดอย่างนี้ช่างไร้ยางอาย ตนเองหมกมุ่นอยู่กับการปลดล็อกเป็นเวลานานสุดท้ายก็หาทางแก้อะไรไม่ได้ แค่บังเอิญถูกเหลนชายนั่งทับจนปลดล็อกโดยไม่ตั้งใจ ยังมีหน้ากล้านำมาอวดอ้างอีก อวิ๋นเยี่ยได้มุมมองใหม่เกี่ยวกับระดับความไร้ยางอายของตาเฒ่าคนนี้แล้ว
หลี่ซื่อหมินมาสำนักศึกษาอย่างลับๆ แม้แต่สนมทั้งสองก็ไม่รู้ เมื่อเห็นภรรยาตนเองเล่นอยู่อย่างสนุกสนานเขาก็คันไม้คันมือ ไล่อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ออกไป แล้วเข้าไปในห้องเรียนพร้อมกับอู๋เสอ
“ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะกล้ามาเอาอกเอาใจภรรยาตัวเองในห้องเรียน!” อวิ๋นเยี่ยเดินออกจากที่นั่นพร้อมด้วยคำสาปแช่งที่ไม่รู้จบ จะว่าไปแล้วเขาอยากจะพุ่งเข้าเพื่อเปิดโปงคำโกหกของกงซูมู่จริงๆ เพื่อให้ความจริงกระจ่างต่อใต้หล้าคืนความเป็นธรรมให้ตนเอง ตอนนี้กลับถูกหลี่ซื่อหมินไล่ออกไป ถูกใส่ร้ายแต่ฟ้องร้องใครไม่ได้ ข้อกล่าวหาที่ว่าตนเองไร้ความสามารถนั้นถูกตราหน้าไปแล้วอย่างแน่นอน