เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 19 เรื่องในบ้านที่ซับซ้อน
ชายหนุ่มตกใจจนร้องเสียงหลงแล้วคุกเข่าบนพื้น กางเกงเริ่มมีคราบน้ำเปียก ชายร่างกำยำผู้เป็นหัวหน้าหน่วยดึงชายหนุ่มขึ้นมา จู่ๆ แววตาก็หยุดเพ่งนิ่ง เขาเห็นคราบเลือดบนเสื้อชายหนุ่มและกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นก็ลอยขึ้นมาให้ได้กลิ่น เพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านหลังเห็นว่ามีอะไรผิดปกติ มีดดาบก็ถูกพาดวางอยู่บนคอของชายหนุ่ม พร้อมที่จะฟันทุกเมื่อ
“รอยเปื้อนเลือดบนตัวเจ้ามาจากไหน” แววตาของชายร่างกำยำฉายแววความสงสัย ชายหนุ่มที่ผอมบางคนนี้ไม่น่าจะเป็นฆาตกรได้ หากฆาตกรปัสสาวะรดกางเกงคงเป็นเรื่องตลกน่าดู แต่ประสบการณ์ของการเป็นหน่วยข่าวกรองบอกเขาว่า คนเราไม่ควรวัดที่หน้าตา
ชายหนุ่มชี้นิ้วไปที่สวนหลังบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ ชายร่างใหญ่ที่เหลืออีกสองสามคนก็รีบไปที่สวนหลังบ้าน ไม่มีอะไรเลยนอกจากหมูอ้วนที่กำลังชักกระตุกก่อนตาย
“ในร้านมีเจ้าคนเดียวหรือ” ชายร่างกำยำมองไปรอบๆ แล้วถามชายหนุ่ม
“แม่ของข้าจากโลกนี้ไปแล้ว จึงเหลือข้าเพียงลำพัง ข้าเป็นคนฆ่าหมู”
เหล่าชายร่างกำยำต่างก็ไม่พูดอะไร แต่กลับช่วยชายหนุ่มหามหมูอ้วนใส่ลงในถังไม้ขนาดใหญ่ที่กำลังมีไอร้อนลอยปุดๆ อยู่แล้วจากไป
หลังจากชายร่างกำยำจากไป แม้กระทั่งกางเกงที่เปียกชายหนุ่มก็ไม่เปลี่ยนออก เขาเอาหินภูเขาไฟลงมือถอนขนหมู ผู้คนที่ล้มตายกลาดเกลื่อนอยู่ด้านนอกร้านขายปลาดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นเพียงแค่วัยรุ่นที่ฆ่าหมูเพื่อเลี้ยงชีพเท่านั้น
หลังจากที่ถอนขนหมูเสร็จแล้ว เขาก็แขวนหมูอ้วนตัวหนึ่งหนักสองร้อยจิน[1]ขึ้นไปแขวนบนราวได้อย่างง่ายดาย ด้านล่างวางกะละมังไม้ไว้ เพียงแค่พลิกข้อมือมีดเล็กก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา เพียงแค่เคลื่อนมือไปท้องหมูก็ถูกกรีดเปิดออก ลำไส้และปอดหมูก็หล่นลงไปในกะละมังไม้ดังตุบตับๆ หลังจากหัวใจ ตับและไตถูกตัดออกแล้วเขาจึงหยิบขวานจากหิ้ง จากนั้นกลั้นลมหายและหลับตาแล้วเหวี่ยงขวานลงไปอย่างสุดแรง หลังจากได้ยินเพียงเสียง ฝึด เบาๆ หมูตัวนี้ก็ถูกแยกออกเป็นสองส่วนเท่าๆ กันจากแนวกระดูกสันหลังในทันที
เขาล้างหม้อใบใหญ่จนสะอาด ตักน้ำขึ้นจากบ่อสองสามถังเทลงในหม้อต้ม แล้วโยนฟืนสนสองสามชิ้นเข้าใต้เตา จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่
ไส้หมูถูกเขาล้างสามครั้งซึ่งมันก็สะอาดมากแล้ว แต่เขายังคงใช้แป้งถั่วขาวถูอย่างละเอียดอีกครั้ง งานพวกนี้เดิมควรเป็นหน้าที่ของผู้หญิง คุณหนูชุดลายๆ ของตระกูลอวิ๋นนั้นเหมาะที่จะทำงานนี้เป็นที่สุด มือขาวนวลเหมือนยอดต้นหอม เล็บมือทาด้วยแป้งหอมดอกไม้ สีแดงสดงดงามมาก อย่างไรเสียพี่ชายของนางชอบกินไส้หมูมาก อย่างมากที่สุดต่อไปไส้หมูจะยกให้เขาทั้งหมด ไม่รู้ว่าหากทำเช่นนี้จะได้แต่งงานกับนางหรือไม่
ตลาดสดเปิดขึ้นอีกครั้ง ขบวนเสด็จของฮ่องเต้ก็จากไป เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา การแก้แค้นของเขาเสร็จลงแล้ว เนื้อหมูนั้นอร่อยมาก ขาหมูที่เป็นเนื้อติดมันทั้งสี่ขาเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านในหมู่บ้าน หมูทั้งตัวขายหมดภายในสองชั่วยาม ดูเหมือนว่าคืนนี้จะได้นอนหลับฝันดีแล้ว แต่ว่าสาวน้อยที่สวมชุดลายดอกไม้ไม่ปรากฏตัว หรือว่าวันนี้พี่ชายนางไม่กินไส้หมูแล้ว
อวิ๋นเยี่ยมีหรือจะมีอารมณ์มากินไส้หมู ศพที่น่าสังเวชที่อยู่หน้าร้านขายปลาทำให้เขาอาเจียนออกมาเต็มพื้น มันสมองที่เละเป็นโจ๊กเป็นคราบขาวอยู่เต็มพื้น ดวงตาสองดวงที่กลิ้งไปมาอยู่บนพื้นกระดานในร้านราวกับต้องการบอกบางอย่างกับเขา
เหล่าทหารผ่านศึกสนใจคนอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องใต้หลังคาว่าหนีออกไปได้อย่างไรเป็นอย่างมาก เหล่าเจียงเลียนแบบตามสถานการณ์ในเวลานั้นใหม่อีกครั้ง โดยก่อนอื่นใช้ค้อนทุบลงไปที่รถยิงหน้าไม้คันแรก จากนั้นก็ทุบคันที่สอง พลิกฝ่ามือใช้ค้อนไม้ฟาดเข้าที่ศีรษะของตุ๊กตาเลียนแบบคน แล้วยืนบนพื้นและทุบศีรษะของตุ๊กตาปลอมอีกสองสามครั้ง เงยหน้าขึ้นมองรูที่หลังคา เมื่อย่อตัวกระโดดคว้าแปและบิดปลายเท้าขึ้นและพาดเกี่ยวพลิกตัวขึ้นไป แต่ทันทีที่เขาโผล่ศีรษะขึ้นก็ต้องถูกมือเกาทัณฑ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพบเข้า ทำอยู่หลายครั้งก็ได้ผลลัพธ์เช่นนี้ซึ่งทำให้เขาผิดหวังมาก
“โหวเหยีย บุคคลคนนี้เป็นยอดฝีมือตัวจริง มีไม่กี่คนที่มีทักษะเช่นนี้ในกองทัพเรา อายุไม่เกินสามสิบปี ข้าอายุถึงแล้วร่างกายไม่ปราดเปรียวเหมือนเช่นแต่ก่อน ตอนนี้ไม่สามารถทำงานนี้ได้”
หลังจากฟังเหล่าเจียพูดจบแล้ว อวิ๋นเยี่ยยิ่งเครียดมากขึ้น มีบุคคลอันตรายเช่นนี้อยู่ที่หน้าประตูบ้านจะให้ไม่ร้อนรนได้อย่างไรไหว เช่นนี้ทั้งครอบครัวยังจะออกไปข้างนอกได้อีกหรือ
“โหวเหยีย ไม่ต้องกังวลไป ชายคนนี้จะลงมือเพียงครั้งเดียว การที่เขาลงมือครั้งแรกแล้วไม่สำเร็จก็จะล่าถอยไปให้ไกล ซึ่งมันเป็นความเชื่อของคนพวกนี้ พวกเขาจะไม่ลงมืออีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน ข้าน้อยมั่นใจ”
เมื่อเห็นว่าเหล่าเจียงพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่เลือกที่จะเชื่อเขา อวิ๋นเยี่ยนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเกี่ยวกับเรื่องประหลาดที่ยากแก่การอธิบายเหล่านี้ของคนโบราณ แต่พวกเหล่าเจียงกลับเชื่ออย่างไม่ลังเล แม้แต่ทหารผ่านศึกคนอื่นๆ ก็พูดเช่นเดียวกัน
โต้วเยี่ยนซันไม่เห็นแม้แต่เงา สิบหกคนในร้านขายปลาตายไปแล้วสิบห้าคน มีคนหนึ่งที่หายตัวไป ซึ่งพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อร้ายที่ซ่อนเร้น เขาอดไม่ได้ที่จะต้องปวดขมับ ทางการเริ่มทุ่มเร่งจับกุมโต้วเยี่ยนซันอย่างเต็มกำลัง คาดว่าเขาไม่สามารถอยู่ในแดนกวนจงได้อีกแล้ว ใต้หล้าอันแสนกว้างใหญ่นี้ เขาจะต้องซ่อนอยู่ในมุมมืดแห่งใดแห่งหนึ่งอย่างแน่นอนเพื่อรอการลงมือครั้งต่อไป เขาจะไม่ยอมรามือเด็ดขาด อวิ๋นเยี่ยมั่นใจเป็นอย่างมาก
คนในตระกูลอวิ๋นนั้นอยู่วงนอก ผู้ที่ลงมือคือคนของหน่วยข่าวกรอง ซึ่งเสียชีวิตไปแปดคนแล้ว หงเฉิงเองก็เกือบจะถูกลูกดอกทะลวงจนปักติดกับพื้น จนถึงตอนนี้ยังคงประหวั่นพรั่นพรึงอยู่เลย ลูกดอกที่หนาขนาดแขนเด็กทารกพุ่งผ่านหลังเขาไป เสียง ฟิ้ว ที่อันตรายถึงชีวิตจนถึงตอนนี้ยังคงดังก้องอยู่ในหู เขาไม่ได้กลัวความตายเพราะเขาเห็นความตายมามากมายแล้ว แต่เมื่อเขาเห็นพี่น้องทั้งหกคนของเขาถูกลูกดอกยาวห้าฉื่อ[2] ทะลุติดเข้าด้วยกันนั้น เขาก็รู้สึกเจ็บปวดจากก้นบึ้งหัวใจ มีคนหนึ่งที่ถูกแทงทะลุต้นขาเท่านั้น แต่ยังไม่ทันที่อวิ๋นเยี่ยจะช่วยเขา เขาก็เสียเลือดจนตายไปแต่ต้นแล้ว
ในเมืองหลวงอยู่ไม่ได้แล้ว ปีศาจมารร้ายยิ่งมากขึ้นทุกที ผู้ที่กระโดดจากหน้าผาแล้วไม่ตายตอนนี้สามารถจับได้เป็นกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่นักศึกษาในสำนักศึกษาชอบมากที่สุดก็คือการกระโดดหน้าผา โดยบอกว่าอยากจะลองสัมผัสการลอยตัวในอากาศที่เหมือนเทพเซียน แม้จะลงโทษด้วยการโบยก็ห้ามไม่อยู่ คนที่ถูกโบยจนเดินกะโผลกกะเผลกออกไปโอ้อวดให้คนภายนอกดูมีอยู่เต็มไปหมดซึ่งต่างก็ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นวีรบุรุษ หลิวเซี่ยนสั่งให้มีทหารยามเฝ้าหน้าไว้บนหน้าผาเป็นกรณีพิเศษซึ่งก็เพื่อไม่อนุญาตให้ใครกระโดดหน้าผาได้อีก ล้วนแล้วแต่เป็นพวกคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูปูเสื่อมาอย่างดี หากเสียชีวิตขึ้นมาจะให้ตอบครอบครัวพวกเขาได้อย่างไร
อวิ๋นเยี่ยนอนกรนเอาผ้าชุบน้ำเย็นแปะไว้ที่หน้าผากอยู่ใต้ร่มไม้ เดี๋ยวกรนยาวเดี๋ยวกรนสั้น ซินเย่ว์นั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ ต้ายาสวมกระโปรงสีชมพูลายดอกไม้พาดกิ่งที่นางชอบใส่ที่สุด นางหยิบผ้าชุบน้ำเย็นที่อยู่ในกะละมังน้ำออกมาอีกผืน แล้วแปะไว้บนหน้าผากของพี่ชาย ส่วนเสี่ยวยาที่อายุสิบสามปีที่ผิวขาวนวลชวนให้คนหลงรัก ซึ่งยากนักที่จะมีนิสัยอ่อนโยนสักครั้ง นางเก็บตัวอยู่ในห้องเย็บปักถักร้อยตลอดทั้งวันไม่ออกไปข้างนอก เมื่อเทียบกับนางมารน้อยที่คอยก่อวีรกรรมอย่างเสี่ยวยา ช่างไม่เหมือนพี่น้องกันเลย หากไม่ได้เป็นเพราะอวิ๋นเยี่ยไล่นางไปซื้อไส้หมูให้ตน ชั่วชีวิตนี้จะไม่ยอมก้าวออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว โลกภายนอกสำหรับนางแล้วถือเป็นสิ่งที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างมาก
หมูอ้วนตัวโตก้มหน้าค่อยๆ ดันประตูหลังบ้านให้เปิดออก เสี่ยวยานั่งขี่อยู่บนหลังหมูซึ่งมันฉลาดและเชื่องมาก เสี่ยวยาให้ไปทางตะวันตกก็จะไม่ไปทางทิศตะวันออกอย่างเด็ดขาด มันสะบัดใบหูใหญ่ๆ ของมันหายใจฟุดฟิดวิ่งเข้ามา ต้ายานั้นห้ามไว้ไม่ทัน หมูอ้วนตัวนั้นจึงเอาจมูกเปียกๆ ของมันชนใบหน้าของอวิ๋นเยี่ย ชนไปสองครั้ง อวิ๋นเยี่ยที่กำลังกังวลอยู่เมื่อหันมาแล้วเห็นปากหมูขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะชนตัวเองอีกครั้ง จึงรีบลุกพรวดขึ้นมา ปารองเท้าเพื่อจะจัดการกับเสี่ยวยา
เสี่ยวยาหัวเราะคิกคักและตะโกนว่า “ฮันฮันรีบวิ่งเร็ว ฮันฮันรีบวิ่งเร็ว” หมูอ้วนก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ก็บิดบั้นท้ายอันอ้วนท้วมของมันแล้ววิ่งออกจากประตูโค้งไปในพริบตา ทั้งยังชนสาวใช้สองคนที่หาบน้ำเข้ามาล้มลงกับพื้น หายตัวไปในสวนดอกไม้พร้อมด้วยเสียงหัวเราะของเสี่ยวยา
ซินเย่ว์เก็บรองเท้าที่ปาออกไปของอวิ๋นเยี่ยมาให้ ยกมือป้องปากแอบหัวเราะและพูดเบาๆ ว่า “คืนนี้ห้ามจูบข้านะ เพราะท่านเพิ่งถูกหมูจูบ คราวนี้โหวเหยียช่างไม่เสียหน้าจริงๆ”
อวิ๋นเยี่ยทรุดตัวลงเอนกายนั่งบนเก้าอี้ ต้ายารีบเช็ดหน้าให้พี่ชายของนาง ตอนนี้มีนางเพียงคนเดียวที่ชวนให้คนหลงรัก ส่วนที่เหลือไม่ดีสักคน การเลี้ยงดูด้วยการปล่อยให้อิสระของอวิ๋นเยี่ยนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า
ตอนนี้เสี่ยวตงกลายเป็นทาสเงินไปแล้ว เขาเอาแต่กอดกระปุกเงินนั่งนับจำนวนเงินที่เก็บไว้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น หากเขารู้สึกไม่พอใจกับตัวเลขก็จะดึงเสื้อของพี่ชายและชี้ไปที่กระปุกเงิน หมายถึงต้องการให้อวิ๋นเยี่ยช่วยใส่ให้เต็ม แต่อย่างไรก็ตามทีอวิ๋นเยี่ยช่วยนางเติมจนเต็มไปมากมายหลายกระปุกแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด ตอนนี้นางยังอุ้มกระปุกเงินเปล่าๆ มาขอเงินจากพี่ชายอีก
ทรัพย์สินเงินทองเป็นของนอกกาย แต่ไหนแต่ไรมาโหวเหยียไม่เคยใส่ใจ เงินไม่กี่สิบเหวิน เรื่องเล็กน้อย ถ้าอยากได้ก็จะให้ จนกระทั่งเมื่อวานนี้เสี่ยวตงเริ่มที่จะไม่ต้องการเงินเหรียญทองแดงแล้ว ทั้งยังยัดเยียดเงินกองใหญ่ให้เขาแล้วหยิบแผ่นเงินสองชิ้นจากถุงเงินพี่ชาย ก่อนจะจากไปด้วยความพึงพอใจ ซึ่งนี่ได้ทำให้อวิ๋นเยี่ยเกิดสนใจขึ้นมา
ตอนนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมราคาของแผ่นเงินในตลาดจึงเริ่มเพิ่มสูงขึ้น เรื่องการแลกแผ่นเงินหนึ่งตำลึงได้เงินเหรียญทองแดงหนึ่งพันชิ้นนั้นไม่มีแล้ว ตอนนี้ต้องใช้เงินเหรียญทองแดงหนึ่งพันหนึ่งร้อยชิ้นเพื่อแลกแผ่นเงินหนึ่งตำลึง แม่หนูนี่ไปรู้มาจากที่ไหน หรือจะบอกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมาแต่กำเนิด
เสี่ยวหนานชอบเก็บตัวอยู่ในครัววุ่นวายอยู่กับอาหารการกิน ตั้งแต่พี่ชายของเขาทำขนมแป้งไข่ไก่โรยน้ำตาล ก็สามารถอบขนมแป้งกรอบให้นุ่มลิ้นได้ เมื่อนำไปให้ป้าสะใภ้ทานนางก็ติดใจกับมันมาก อ่อนนุ่มและหอมกรอบ เข้าปากก็ละลาย นี่เป็นขนมหวานที่นางชื่อชอบมากที่สุด แต่พี่ชายนางนั้นขี้เกียจมาก ไม่ยอมทำบ่อยๆ นางขอร้องอยู่เป็นนานถึงสองครั้ง ทั้งยังถูกท่านย่าดุและไม่อนุญาตให้พี่ชายนางเข้าครัวอีก
ด้วยความโกรธจึงทำด้วยตัวเอง ก็เพียงแค่อะไรนะ ขนมแป้งไข่ไก่โรยน้ำตาล แป้งหมี่หรือ ในหนึ่งวันอบไปแปดครั้งอวิ๋นเยี่ยก็ต้องชิมแปดครั้ง กินจนเขาแทบอยากจะต่อยคน ของดีๆ ล้วนแล้วแต่เอาใส่ปากหมูของเสี่ยวยาไปเสียหมด ด้วยความอดทนถึงขีดสุด จึงสอนให้นางอบขนมเค้ก ตอนนี้นางรู้จักที่จะแต่งหน้าเค้กด้วยแยมผลไม้แล้ว ตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่ยอมทานอาหาร เอาแต่ทานขนมเค้กตลอด ปากอันจิ้มลิ้มกินจนเลอะสีแดงไปหมด ตอนนี้อ้วนจนดูไม่ได้แล้ว
เสี่ยวซีและเสียวเป่ยนับว่ายังดี ไม่มีงานอดิเรกอื่นนอกจากชอบการรำกระบี่กระบอง บ้านทั้งบ้านเต็มไปด้วยมีดเล็ก หอกเล็กและคันธนูขนาดเล็กที่เฉิงฉู่มั่วส่งมาให้ วิ่งเล่นอยู่ในสวนกับวั่งไฉตั้งแต่เช้าจนตกดึก ทั้งยังหยิบธนูอันเล็กขึ้นมาฝึกสายตากับปลายก้านธูปอีกด้วย
นี่คือผลกรรมที่เฉิงฉู่มั่วสร้างเอาไว้ ไม่รู้ว่าไปเชิญอาจารย์หญิงที่ไร้สมองมาจากที่ไหน ไม่รู้จักเรียนรู้คำศัพท์ เย็บปักถักร้อย รู้จักแต่ฝึกยุทธ์ สาวน้อยผู้งดงามวันหนึ่งๆ เล่นเสียจนเหมือนเด็กผู้ชายก็ไม่ปาน อวิ๋นเยี่ยแทบจะจำไม่ได้แล้ว
คนที่ทำให้เขาเสียใจมากที่สุดคือรุ่นเหนียง ได้แต่เก็บตัวอยู่ในบ้านตระกูลฉินตลอดทั้งวัน เป็นคุณหนูตระกูลดีกลับไม่รู้จักอายเลย เพียงแค่บอกว่าตระกูลฉินมีแมวป่าสองตัวที่ดูน่ารักมาก อวิ๋นเยี่ยก็ห้ามพูดถึงฉินซวง เมื่อพูดถึงฉินซวงก็เป็นต้องเดือดร้อนแทน แมวป่าเป็นสัตว์ดุร้าย ท่านย่าไม่อนุญาตให้นางพาเข้าบ้าน ทั้งบ้านนั้นมีแต่ผู้หญิงและเด็ก หากทำให้ใครได้รับบาดเจ็บย่อมไม่ดี
อี้เนียงนั้นกำลังศึกษาพิธีรีตอง จนอวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วปวดใจ นางนั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม แม้จะเห็นเหงื่อที่ไหลลงมาก็ห้ามเช็ด เดิมคิดว่าจะเดินเข้าไปแต่กลับถูกป้าสะใภ้กอดเอาไว้แน่นและอ้อนวอนว่า “รู้ว่าเจ้ารักน้องสาวเจ้า แต่ทว่าเด็กผู้หญิงจะต้องผ่านด่านนี้ทุกคน มิฉะนั้นหากแต่งงานไปแล้วคนเขาจะว่าเอาได้ว่าผู้หญิงตระกูลอวิ๋นไม่รู้จักขนบธรรมเนียม ทำให้ตระกูลอวิ๋นเสียหน้า”
“ฮึ ตระกูลอวิ๋นมีข้าที่เป็นหัวโจกแห่งความชั่วร้ายทั้งสามของฉางอัน ยังมีหน้าหลงเหลือให้พูดถึงอีกหรือ น้องสาวข้าควรมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ ใครกล้ารังแกนาง ข้าจะเอาชีวิตมัน”
สุดท้ายอี้เหนียงก็ร้องไห้พลางบอกว่านางทนรับได้ พี่ชายไม่ต้องกังวล อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่ต้องถอนหายใจแล้วเดินไปที่สวนงีบหลับสักงีบ ไม่แน่ว่าเมื่อนอนหลับไปอาจจะไม่มีปัญหาให้ปวดหัวอีก
——
[1] จิน หน่วยชั่งตวงของจีน โดย 1 จิน เท่ากับ 500 กรัม
[2] ฉื่อ หน่วยวัดของจีน ซึ่งเทียบความยาวได้ประมาณ 33 เซนติเมตร