เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 24 สายลมทางใต้ค่อยๆ เริ่มพัดผ่าน
โบราณว่าไว้หากพ้นช่วงเจ็ดสิบสามและแปดสิบสี่ได้ ยมบาลจะไม่เรียกตัวไปพบ หลี่กังได้ผ่านพ้นช่วงอายุเจ็ดสิบสามปีที่ยากจะผ่านไปได้แล้ว พรุ่งนี้เตรียมที่จะฉลองวันเกิดครั้งใหญ่ แต่เนื่องจากไม่ใช่วันเกิดฉลองครบรอบแปดสิบปี เขาจึงเตรียมจะเชิญญาติสนิทมิตรสหายมาดื่มกินกันเท่านั้นเอง ลูกชายและลูกสะใภ้ต่างก็ออกตรวจราชการอยู่ต่างเมือง ข้างกายมีเพียงภรรยาและหลานชายที่เป็นญาติห่างๆ รู้สึกว้าเหว่เป็นอย่างมาก
บางครั้งอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกผิดมาก มักคิดว่าตนกักขังชายชราอายุเจ็ดสิบกว่าปีไว้ในสถานศึกษาจนไม่ได้อยู่กับลูกอย่างพร้อมหน้า ซึ่งเป็นการกระทำที่โหดร้ายมากอย่างหนึ่ง อยากจะขอให้เขาหยุดพักสักช่วงหนึ่ง อย่างน้อยก็กลับบ้านเยี่ยมเยียนกันบ้าง ใครจะคิดว่าเมื่อหลี่กังได้ยินกลับหัวเราะอย่างมีความสุขและบอกว่าเขาลำบากตรากตรำมาชั่วชีวิตแต่ก็ไม่มีผลงานอะไร กว่าจะมีโอกาสฝากชื่อไว้ให้ชนรุ่นหลังรู้จักนับพันปีไม่ใช่เรื่องง่าย หากเพราะความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อลูกๆ แล้วต้องพลาดโอกาสไปนั่นจึงจะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุดแห่งยุคเลย
อวิ๋นเยี่ยเป็นคนที่ความคิดหยาบกระด้าง ในเมื่อเหลาหลี่เองยังไม่ใส่ใจ แน่นอนว่าเขาจึงยิ่งไม่สนใจ ในยุคปัจจุบันได้เห็นคนชราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นปกติ เหลาหลี่มีภรรยาและหลานชายอยู่เป็นเพื่อนนับว่าดีมากแล้ว หลานชายเขาไม่ใช่คนที่ว่องไวปราดเปรียวอะไร ภรรยาหลานก็เป็นลูกสาวของครอบครัวเล็กๆ ทั้งคู่รู้เพียงแต่ว่าต้องดูแลเหลาหลี่สองสามีภรรยาให้ดี ชั่วชีวิตนี้พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้ชีวิตแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามทำอย่างเต็มที่ซึ่งเหลาหลี่ก็พอใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่ในตอนต้นเดือนของแต่ละเดือนเหลาหลี่จะนั่งเพียงลำพังอยู่ในเรือนเล็กอย่างอ้างว้าง ไม่ยอมพบใครและยังอารมณ์เสียง่ายด้วย ทั้งหลานชายและหลานสะใภ้ก็จะอยู่ห่างๆ ไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่มย่ามกับเขา
หลังจากนำเค้กเข้าเตาอบ อวิ๋นเยี่ยก็แบกจอบเดินไปที่สวน ก่อนที่เขาจะเดินทางไปที่ทุ่งหญ้านั้น เขาฝังไหเหล้าหมักไว้ใต้ต้นเหมย คิดอยากจะพัฒนาตนเองให้ดูเหมือนผู้มีความรู้กับเขาบ้าง ก็ไม่รู้ว่าทำได้มากน้อยสักเท่าไหร่ จึงขุดขึ้นมาดู พรุ่งนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของเหลาหลี่ อย่างไรก็คงต้องมีของขวัญมอบให้เสียหน่อย จะได้ไม่ถูกพวกเขาหัวเราะเยาะเอา
ผีหลอกกลางวัน ขุดอยู่เป็นนานก็ไม่เจอไหเหล้า ขุดหลุมขนาดใหญ่เพียงนี้แล้วก็ยังไม่เจออีก “ใครขโมยเหล้าข้าไป?”
เมื่อเห็นโหวเยี๋ยร้องโวยวายอยู่ในสวนดอกไม้ เหล่าคนรับใช้และสาวใช้ต่างก็สั่นเทาไม่หยุดหย่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ของหายไปในบ้านตระกูลอวิ๋น ซินเยวี่ยพยุงท่านย่าเดินออกมาจากในห้อง เห็นอวิ๋นเยี่ยที่กำลังเกรี้ยวกราดอย่างมากคว้าคอเสื้อคนรับใช้ถามความซึ่งดูไม่เหมาะสมเอาเสียจริงๆ
“เยี่ยเอ๋อร์ มีอะไรหายไป ถึงขั้นที่จะเสียอารมณ์มากมายเพียงนี้หรือ ในเมื่อมันหายไป ก็ช่างเถอะ ย่าชดใช้ให้เจ้าเอง” แม่เฒ่าปลอบโยนอวิ๋นเยี่ยด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังโอ๋เขาเหมือนเด็กเล็กด้วย ซินเยวี่ยที่อยู่ด้านข้างหัวเราะจนจะท้องแข็งอยู่แล้ว
“เมื่อปีที่แล้วก่อนที่ข้าจะจากไปได้ฝังไหเหล้าไว้ใต้ต้นไม้นี้ แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ข้าเตรียมไว้เป็นของวันเกิดของอาจารย์หลี่” อวิ๋นเยี่ยไม่ยอมเลิกรา หากวันนี้ไม่ถามให้รู้ความสาบานได้เลยว่าจะไม่ยอมรามือ
“โธ่เอ๋ย หลานรัก เช่นนั้นเจ้าก็ถามผิดคนแล้ว มันไม่เกี่ยวกับคนรับใช้ เจ้าควรมาถามย่าจึงจะถูก เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าสวนดอกไม้แตกต่างไปจากตอนที่เจ้าจากไปหรือ ต้นเหมยที่เจ้ากำลังขุดอยู่นั้นเป็นต้นที่เพิ่งปลูกใหม่เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิ ที่นั่นจะมีไหเหล้าฝังอยู่ได้อย่างไรกัน”
เมื่อมองไปรอบๆ ก็ดูเหมือนว่ามันแตกต่างไปจากเมื่อก่อนจริงๆ มีต้นไม้ดอกไม้เพิ่มขึ้นมากมาย เพียงแค่ต้นเหมยก็เพิ่มมาหลายต้น เมื่อก่อนดูเหมือนว่าทั่วทั้งสวนจะมีเพียงแค่หนึ่งต้น ทั้งตำแหน่งก็เปลี่ยนไป คราวนี้แย่แล้ว เว้นแต่ว่าขุดให้ทั่วทั้งสวนนี้ ไม่เช่นนั้นคงหาไม่พบแน่
ช่างเถอะ ไม่หาแล้ว ต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้เป็นพันธุ์แปลกประหลาดที่หายากที่ท่านย่าตั้งใจหามาเป็นพิเศษ หากขุดทั้งหมดมันก็ค่อนข้างจะได้ไม่คุ้มเสีย หาของขวัญชิ้นใหม่แทนก็แล้วกัน คิดๆ ดู เหล้าองุ่นหมักก็ไม่เลว กองคาราวานของตระกูลเฉิงคบค้ากับซีอวี้มานานปี จะหาของดีๆ ชั้นเลิศสักชิ้นสองชิ้นไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร
อารมณ์เสียจนเกือบจะลืมเค้กในเตาเลย คิดว่าน่าจะอบได้เวลาที่พอเหมาะแล้ว
จึงได้หยิบเค้กที่อบเสร็จแล้วออกมา ไม่เลว ยังใช้ได้ อบไปทั้งหมดสองชิ้นใหญ่และสามชิ้นเล็ก ตัดส่วนที่อบแล้วไหม้ด้านนอกออก ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียดายของ น้องสาวแต่ละคนต่างก็อ้าปากรอเป็นเวลานานแล้ว พวกนางล้วนแล้วแต่ชอบกินบริเวณด้านนอกที่ไหม้ จากนั้นนำเค้กก้อนเล็กๆ วางบนเค้กก้อนใหญ่ ๆ ระหว่างกลางทั้งสองก้อนปาดน้ำผึ้งไว้บางๆ ก็จะติดหนึบอยู่ด้านบนของเค้กชิ้นใหญ่ เค้กสามชั้นก้อนใหญ่ก็พร้อมแล้ว แยมผลไม้ยังไม่ควรทาในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นมันจะไม่สดใหม่ รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ที่จะมอบให้ก่อนจึงค่อยทา แล้วนำไปอบในเตาอีกครั้ง รสชาติจะต้องถูกอกถูกใจของผู้ที่ชิมแน่นอน
ใช้ผ้าขาวบางที่ชุบน้ำหมาดๆ ปิดเค้กเอาไว้และเตือนบรรดาน้องสาวจอมตะกละทั้งหลายไม่ให้ขโมยกิน จากนั้นก็เตรียมจะพ่วงรถม้าไว้ที่วั่งไฉ ตั้งใจไปตระกูลเฉิงเพื่อปล้นทรัพย์เสียหน่อย วั่งไฉเริ่มอ้วนขึ้นมากจนอ้วนกลมไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าวันหนึ่งๆ กินอาหารมากแค่ไหน ม้าตัวผู้ของคนอื่นต่างก็ถึงฤดูผสมพันธุ์แล้ว มีเพียงมันตัวเดียวที่ยังคงเที่ยวกินอย่างเอ้อระเหยลอยชาย หรือเป็นเพราะมันแตกจากฝูงม้าเร็วเกินไปจึงทำให้สูญเสียสมรรถนะด้านนี้ไป จึงก้มตัวลงมองที่อวัยวะสืบพันธุ์ของวั่งไฉ ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรนี่ ก็เจริญเติบโตสมบูรณ์ตามวัย นอกจากที่อ้วนเกินไปแล้วก็ไม่มีปัญหาใดๆ เมื่อวานยังเห็นมันเดินก้มหน้าดมของสิ่งนั้นไปทั่วตลาดอย่างหน้าไม่อาย แล้วทำไมจึงไม่สนใจม้าเพศเมีย เพื่อเรื่องทายาทของมัน อวิ๋นเยี่ยตั้งใจขังวั่งไฉไว้กับม้าเพศเมียหลายๆ ตัว ตามที่คนเลี้ยงม้ามารายงาน ม้าเพศเมียนั้นเดินเข้าหา แต่วั่งไฉกลับไม่สนใจเลย ทั้งยังถูกม้าเพศเมียเหล่านั้นกินอาหารค่ำของมันจนหมดด้วย
โรคอ้วนจะทำให้สูญเสียความต้องการในการผสมพันธุ์หรือ นี่มันร้ายแรงมาก วั่งไฉจำเป็นต้องลดน้ำหนักแล้วก็ต้องทำโดยด่วนด้วย ต่อลงไปเมื่อออกไปข้างนอกต้องให้มันลากรถ ห้ามปล่อยให้มันทำอะไรตามอำเภอใจอีก
ทว่าหลังจากพ่วงรถม้าเสร็จแล้ว วั่งไฉก็เอาหัวมุดดันที่หน้าอกอวิ๋นเยี่ยด้วยท่าทีที่น่าสงสารราวกับเด็กที่ถูกรังแก แล้วมาฟ้องผู้ใหญ่ ขาดก็เพียงแค่ร้องไห้แล้ว สุดจะทนกับท่าทางเช่นนี้ของมันจริงๆ หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ทำไม่ลงจนยอมปลดตัวรถออกมา เพียงแค่ปลดตัวรถออกมาก็กลับมานิสัยเสียเหมือนเดิม กัดเสื้ออวิ๋นเยี่ยเพื่อชวนออกไปข้างนอก…
จึงขี่ม้าอีกตัวหนึ่งแทนแล้วทิ้งวั่งไฉไว้ด้านหลัง มุ่งหน้าตรงไปยังตระกูลเฉิง
ตอนนี้ตระกูลเฉิงก็ไม่ชอบอาศัยอยู่ในเมืองฉางอันแล้ว ในตอนนี้เกือบทุกตระกูลใหญ่เริ่มไม่ชอบอาศัยอยู่ในเมือง ขอเพียงแค่ไม่ต้องเข้าประชุม ปกติจะพักอยู่นอกเมือง กฎระเบียบในเมืองยิ่งไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป
การจะเข้าบ้านตระกูลเฉิงแต่ไหนแต่ไรมาไม่จำเป็นต้องรายงาน คนเฝ้าประตูก็จะโค้งคำนับและเรียกคุณชาย เหมือนกับที่เรียกเฉิงฉู่มั่วไม่มีผิดเพี้ยน ล้วนแล้วแต่สนิทชิดเชื้อกันแล้วจึงนำม้าที่อวิ๋นเยี่ยขี่มาเข้าไปในคอกม้า และเชิญองครักษ์เข้าไปดื่มชาด้านใน สำหรับวั่งไฉนั้นมันเป็น ‘ท่านชาย’ ในตระกูลอวิ๋น ตระกูลเฉิง ตระกูลหนิว ทั้งสามตระกูลนี้มันสามารถเดินเข้านอกออกในตามสบาย เดินอย่างคุ้นเคยกับเส้นทางไปหาหญิงที่มักจะให้ขนมมันกินแล้ว
มีสถานที่หลายๆ แห่งที่วั่งไฉสามารถไปได้ แต่อวิ๋นเยี่ยนั้นกลับไม่สะดวกเอาเสียมากๆ เช่น ที่พักของจิ่วอีซึ่งไม่ได้พบกันมานานแล้ว ตอนนี้หญิงสาวที่ระหกระเหินในวันเก่าก่อนซึ่งตอนนี้ได้แต่งงานเข้ามาในตระกูลใหญ่แล้ว แม้นางจะเป็นเพียงอนุภรรยาแต่ก็เป็นคนที่มีระดับ ตามกฎตำแหน่งในตระกูลเฉิง นางอยู่ในฐานะฮูหยินขั้นเก้าแล้ว ท้องของนางเองก็เป็นใจด้วยเป็นอย่างมาก นางได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรกให้แก่เฉิงฉู่มั่วนานแล้ว ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าหากให้กำเนิดลูกชายและเมื่อองค์หญิงอภิเษกเข้ามาในตระกูล ด้วยนิสัยขององค์หญิงชิงเหอหลี่จิ้ง นางคงได้ไปเกิดใหม่ตั้งนานแล้ว
ลูกสาวเพิ่งจะอายุได้เพียงหนึ่งขวบ ซึ่งกำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนท้องของเฉิงฉู่มั่ว ขยับขึ้นลงตามท้องของเฉิงฉู่มั่ว ราวกับกำลังไกวเปล จิ่วอีนั่งอยู่ข้างๆ คอยใช้พัดโบกลมให้กับสองพ่อและลูก พลางไล่แมลงวันไปด้วย แววตาเอ่อล้นไปด้วยความสุข
วั่งไฉเดินเตาะแตะเข้ามา ซึ่งนี่คือลางบอกเหตุว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังจะมา จิ่วอีจัดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมตัวต้อนรับอวิ๋นเยี่ย อนุภรรยาของบ้านอื่นนั้นจะไม่รับแขก ประการแรกคือไม่มีฐานะเช่นนั้น และอีกประการคือจะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
กฎเกณฑ์ของคนทั่วไปไม่มีอยู่ระหว่างอวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่ว เฉิงฉู่มั่วสามารถให้เสี่ยวยาขี่คอกระโดดโลดเต้นได้ในบ้านตระกูลอวิ๋น ทั้งสองสามารถเล่นบนกระดานหมากรุกตลอดทั้งวันกับท่านย่า ซินเยวี่ยนั่งทานอาหารที่โต๊ะโดยไม่ยึดติดธรรมเนียมใดๆ พี่น้องร่วมอุทรยังไม่ทำเช่นนี้เลย
บางทีอาจเป็นเพราะน้ำนมบนร่างสาวน้อยตัวเล็กๆ นั้นมีกลิ่นหอม วั่งไฉจึงแลบลิ้นเลียก้นของสาวน้อยตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้สวมอะไรไว้ คิดว่ารสชาติคงไม่ดีนัก จึงสะบัดลิ้นและจามหนึ่งทีจนน้ำลายกระเด็นเต็มหน้าเฉิงฉู่มั่ว
“ฝนตกหรือ” เฉิงฉู่มั่วตกใจตื่นขึ้นมองดูรอบๆ อย่างงุนงง เห็นหัวใหญ่ๆ ของวั่งไฉอยู่เบื้องหน้าก็ผลักหัวใหญ่นั้นออกไปด้วยความหงุดหงิด “ไสหัวไปไกลๆ เพิ่งจะหลับไป เจ้าก็เข้ามาก่อความวุ่นวาย”
อุ้มลูกสาวแล้วลุกขึ้นมาก็เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินผ่านประตูโค้งเข้ามา จึงหัวเราะขึ้นในทันใด ระยะนี้สองพี่น้องแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลย เฉิงฉู่มั่วถูกฮ่องเต้แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยเวรพระราชฐานฝ่ายใน ปฏิบัติงานอยู่ในวังตลอดทั้งวัน แน่นอนว่าจึงไม่มีเวลาไปที่เขาอวี้ซันมากนัก ตอนนี้เมื่อได้พบกันจึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าได้ยินยามเฝ้าบ้านบอกว่าเจ้าได้หยุดพักในวันนี้ เป็นอย่างไรบ้าง งานหน่วยลาดตระเวนพอไหวหรือไม่”
“ยังจะมีแบ่งดีกับไม่ดีอีกหรือ พวกหน่วยเวรพระราชฐานฝ่ายในล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานขุนนางที่สร้างความชอบ เวลาเข้าเวรก็จะคุยโว เมื่อออกเวรก็ไปเที่ยวหอคณิกากินดื่มและเล่นการพนันกัน แม้ว่าจะมีบางอย่างผิดปกติภายในระยะหนึ่งกิโลเมตร เรื่องก็มาไม่ถึงพวกเราที่จะไปจัดการได้ คนของหน่วยข่าวกรองก็จะยื่นมือเข้ามาและจัดการเอง ข้าเป็นพวกที่ใส่เสื้อเกราะหนากว่าคนอื่นแล้วยืนอยู่ด้านนอกประตูตำหนักเป็นท่อนไม้ แม้ว่าจะต้องสวมชุดเกราะที่เปล่งประกายไปทั้งตัว แต่ว่าของก็คุ้มราคาจริงๆ ข้าจะลองใส่ให้เจ้าดู” พูดพลางส่งลูกสาวให้กับจิ่วอี เตรียมจะสวมเสื้อเกราะโอ้อวดให้อวิ๋นเยี่ยดูสักหน่อย
“พอแล้ว นิสัยเก็บอะไรไว้ไม่อยู่เช่นเจ้า ใช่ว่าไม่เคยเห็น จะโอ้อวดทำอะไรของเจ้า เจ้าช่วยหาเหล้าองุ่นหมักที่ดีที่สุดมาให้ข้าที ข้าจะนำมันกลับไปด้วย พรุ่งนี้เป็นวันเกิดอาจารย์หลี่ ข้าตั้งใจมาเอาเหล้าโดยเฉพาะ”
“ฮ่าๆ เจ้าเองก็น่าจะรู้ โดยปกติแล้วเหล้าที่ดีที่สุดมักจะต้องตกถึงท้องก่อนเสมอ แต่ว่าในห้องคลังของท่านพ่อน่าจะยังมีเหล้าชั้นเยี่ยมอยู่สองถัง หากท่านพ่อกลับมาแล้วรู้ว่าข้าดื่มมันคงต้องถลกหนังข้าแน่ แต่ถ้าหากเป็นเจ้าเอาไปเขาจะต้องไม่ว่าอะไรแน่ ไม่รู้ว่าระหว่างเราสองคนใครเป็นลูกในไส้ของเขา ได้ยินว่าอวี้ฉือจอมโง่ตั้งใจลาพักโดยเฉพาะเพื่อเตรียมตัวไปเขาอวี้ซันสักครั้ง โดยบอกว่าจะไปหาหนังเสือมาผืนหนึ่งเพื่อมอบให้อาจารย์หลี่ เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เสือนั้นจะมีเพียงในพื้นที่ล่าสัตว์ของราชนิกูลเท่านั้น ไม่รู้ว่าเขาจะไปจับเสือมาถลกหนังได้อย่างไร”
ข้อมูลข่าวสารระหว่างเหล่าคุณชายจอมเสเพลนั้นรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ อวิ๋นเยี่ยเองก็เพิ่งจะรู้ในตอนเช้า ใครจะคิดว่าเฉิงฉู่มั่วรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว
“เขาไปกับต้วนเหมิ่ง อุทยานหลวงนั้นคนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ พวกเขาทั้งสองคงจะมีวิธีอยู่ เพียงแค่จับเสือหนึ่งตัวเท่านั้น ไม่มีอะไรมากมาย” ทั้งสองคนพูดคุยกันและปล่อยให้วั่งไฉยืนอย่างเดียวดายอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่ามันรอมานานแล้วแต่ก็ไม่มีใครให้ขนมมันกินเลย จึงเอาหัวดันจิ่วอีด้วยความรำคาญเร่งนางให้รีบๆ หน่อย จิ่วอียิ้มแล้วพาวั่งไฉไปที่สวนหลังบ้าน ทุกๆ ครั้งวั่งไฉจะนำความสุขที่หายากมาฝากนาง ท่าทางที่ดูซื่อบื้อของวั่งไฉขณะกินขนมนั้นน่าขันมาก
“เตรียมคนที่บ้านให้มากขึ้นอีกหน่อย หลายวันนี้เตรียมตัวเดินทางไปทางใต้ จะให้ดีก็ขอให้เป็นคนทางใต้ ว่ายน้ำเป็น ข้าเตรียมจะก่อตั้งการค้าให้พวกเราสองสามตระกูลอีกแห่งทางตอนใต้ การหารายได้จากเมืองฉางอันมันช้าเกินไปจริงๆ”
สถานศึกษาเพียงแค่รับนักเรียนเพิ่มมาเพียงสามสี่ร้อยคนเท่านั้น เห็นทีว่าอาคารเรียนจะไม่เพียงพอ ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ความต้องการของเหล่าอาจารย์ก็เพิ่มมากขึ้น จ้าวเอี๋ยนหลิงต้องการหอดูดาว หลิวเซี่ยนเรียกรองว่าต้องมีสนามฝึกยุทธ์ที่ดีที่สุด ห้องฝึกยุทธ์ที่ปูพื้นไม้ตอนนี้มีขนาดเล็กเกินไปแล้ว ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการฝึกซ้อมของนักเรียน ซุนซือเหมี่ยวกำลังเตรียมสร้างโรงพยาบาลตามจินตนาการของเขา เทียบยอดยุทธ์ได้ถูกแจกออกไปหมดแล้ว พวกที่อยากจะประลองพิสูจน์ความสามารถจากทั่วทุกทิศไม่นานนักก็จะมาถึงยังสถานศึกษา ซึ่งทั้งหมดนี้สถานศึกษาจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
รู้ว่านี่เป็นความคิดแผลงๆ ของพวกหลี่กัง ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงกลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะมีเงินเป็นกอบเป็นกำอยู่ในมือของเขานัก ขอเพียงแค่สถานศึกษาเก็บสะสมเงินได้จำนวนหนึ่ง เขาจะต้องหาทางใช้เงินเหล่านั้นออกไปให้หมดให้ได้เพราะอยากที่จะควบคุมให้อวิ๋นเยี่ยตั้งใจอยู่กับการหารายได้ จะได้ลดโอกาสในการโต้แย้งระหว่างอวิ๋นเยี่ยกับเหล่าขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักให้น้อยลง ซึ่งเหตุการณ์ช่วงก่อนคงทำให้พวกเขาตกใจกลัวเป็นอย่างมาก