เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 25 อายุยืนยาวกว่าต้นสนพันปีแห่งเขาหนานซัน
หลี่กังที่สวมชุดยาวสีน้ำตาลที่ปักอักษร ‘โซ่ว’ สวมรัดเกล้าทรงสูงซึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือช่างดูสง่าน่าเกรงขาม หากแบ่งกันตามอายุแล้วในสถานศึกษาเขาสูงวัยที่สุด หากพูดถึงคุณสมบัติและความรู้ยกให้เขาเป็นพี่ใหญ่ก็สมควรแล้ว ในเมื่อวันนี้ไม่มีคนนอก ตาเฒ่าจึงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ขี้เกียจแม้แต่จะขยับกาย นั่งดูเหล่านักเรียนกำลังยุ่งวุ่นวายอย่างภาคภูมิใจ มีอายุมาจนถึงป่านนี้ก็นับว่าอยู่มานานพอจนมีคุณสมบัติและประสบการณ์ชีวิตที่มากพอ
ในสถานศึกษามีความเคยชินที่ประหลาดอย่างมากอยู่อย่างหนึ่งก็คือการพยายามอย่าใช้คนรับใช้ให้มากที่สุด ในบ้านของอาจารย์หลายๆ คนอย่างมากที่สุดก็จะมีคนรับใช้ที่ภักดีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ซึ่งมีหน้าที่ทำความสะอาดลานบ้าน หาบน้ำและงานหนักอื่นๆ ในสถานศึกษาปลูกต้นไม้น้อยมาก โดยมากจะเป็นผักสวนครัวหรือธัญพืช ซึ่งเจ้าของบ้านลงมือปลูกเอง การปลูกมันฝรั่งมีแนวโน้มการแพร่กระจายมากขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา เหล่าอาจารย์ไปที่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อขอมันฝรั่งสักหนึ่งถึงสองลูกเพื่อนำไปปลูกในสวน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของในการบ่งบอกฐานะไปเสียแล้ว
มันฝรั่งที่ราชนิกูลปลูกเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วมีน้ำหนักหน้าตกใจถึงห้าพันจิน[1]ต่อพื้นที่หนึ่งหมู่[2] ถือได้ว่าได้ทำให้ชื่อที่ว่าเป็นสมบัติมงคลเป็นความจริงขึ้นมาจนได้ ข่าวลือหลายๆ อย่างเกี่ยวกับอวิ๋นเยี่ยในราชสำนักก็ถูกกลบหายเข้ากลีบเมฆทันที ต่างก็พากันปิดปากสนิท ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเป็นคนเลวร้ายหรือไม่แต่ด้วยความสำเร็จเรื่องมันฝรั่งนี้ก็เพียงพอที่จะให้ตระกูลอวิ๋นอยู่เสพสุขความมั่งคั่งได้กว่าร้อยปี ตั้งแต่ในวังตลอดไปจนถึงชาวบ้านทั่วไปไม่มีข้อถกเถียงกันเกี่ยวกับฐานันดรศักดิ์ของตระกูลอวิ๋นเลยแม้แต่น้อย คิดว่าเป็นสิ่งสมควรแล้วที่จะได้รับ แม้แต่คำวิพากวิจารณ์ที่มีต่อราชวงศ์อย่างรุนแรงก็ยังมีพูดกันต่อๆ มาด้วย ตอนนี้ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยพบใครก็ยิ้มทักทาย แสดงท่าทางว่าขอเพียงมีข้าอยู่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
อย่างไรเสียระหว่างการยกย่องและชมเพื่อให้หลงระเริงจนพลาดพลั้งก็ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่ หลี่ซื่อหมินเคยกล่าวไว้ว่าเขาจะไม่พิจารณาเรื่องฐานันดรศักดิ์ของตระกูลอวิ๋นภายในสิบปีนี้ ซึ่งนี่เป็นผลมาจากการที่จั่งซุนเชื่อมโยงเรื่องเข้าหากันอยู่เบื้องหลัง อวิ๋นเยี่ยซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก คนเราควรรู้จักพอ หากละโมภเกินไปหรือหยิ่งผยองเกินควรมักจะไม่ลงเอยด้วยดี ตำแหน่งโหวเจวี๋ยเหมาะกับอวิ๋นเยี่ยที่อายุสิบแปดปีเป็นอย่างมาก หากมีตำแหน่งสูงสุดตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วจะให้ราชนิกูลแต่งตั้งอะไรคุณอีก คงได้แต่นั่งรอนอนรอไปวันๆ จนตายเท่านั้นเอง
แขนของเฉิงฉู่เลี่ยงถูใบข้าวโพดในกระถางดอกไม้เพียงเล็กน้อย ใบหน้าของหลี่กังนั้นก็กระตุกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนกลับมาเป็นใบหน้าที่เมตตาโอบอ้อมอารี ใจดีเป็นที่สุดอีกครั้ง เมื่อฉินซวงเทชาสมุนไพรลงในกระถางดอกไม้อย่างไม่ใส่ใจ เหลาหลี่ก็หน้าบึ้งถมึงตึง คว้าฉินซวงไว้และตำหนิเขาเป็นเวลาสิบห้านาทีเต็มๆ นอกจากนี้ยังให้เขายืนเฝ้าอยู่ข้างต้นข้าวโพดให้ดี หากใครที่กล้าแตะต้องข้าวโพดอีก เขาจะจับฝังดินทำเป็นปุ๋ยให้ข้าวโพดเลย
เมื่อปีที่แล้วเห็นข้าวโพดที่ตระกูลอวิ๋น ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก ไม่เคยเห็นพันธุ์พืชชนิดนี้มาก่อน ข้าวโพดฝักหนึ่งแขวนอยู่ใต้ชายคาบ้านของแม่เฒ่าตระกูลอวิ๋น สีเหลืองอร่ามทั้งยังใช้ผ้าขาวบางปิดเอาไว้ ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง ใครกล้าแตะจะตีให้ขาหักเลย แม้แต่เสี่ยวยาจอมซนที่สุดก็ยังไม่กล้า
จึงวนเวียนวุ่นวายไม่ยอมเลิกราจนได้เมล็ดข้าวโพดมาสิบเมล็ด เริ่มปลูกในกระถางดอกไม้ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ การรดน้ำใส่ปุ๋ยด้วยตนเองทั้งสิ้น เมล็ดพันธุ์ของตระกูลอวิ๋นก็ยอดเยี่ยมดี ต้นกล้าข้าวโพดสิบต้นงอกขึ้นมาจากดิน เพื่อข้าวโพดสิบต้นนี้ยังได้ยกกระถางให้สูงขึ้นอีกเป็นกรณีพิเศษ นอกจากภรรยาเขาจะสามารถรดน้ำได้เมื่อเขาไม่อยู่แล้ว หากใครแตะต้องถึงแก่ความตาย เพราะหลานชายไปจุ้นจ้านจึงถูกเตะไปหลายครั้ง
“เหลาหลี่ นั่นก็แค่พืชพันธุ์ไม่กี่ต้นเองไม่ใช่หรือ เด็กๆ แตะต้องมันโดยไม่ได้ตั้งใจ ว่ากล่าวกันเพียงไม่กี่คำก็พอแล้ว ถึงขั้นจะต้องโกรธจัดในวันมงคลอย่างนี้หรือ” ฉินฉยงเห็นลูกชายของเขายืนตากแดดใต้ดวงอาทิตย์ที่ร้อนมาก รู้สึกน่าสงสารจึงขึ้นมาขอร้อง
“เจ้าจะไปรู้อะไร” ตอนนี้เหลาหลี่วางอำนาจมาก ผู้ปกครองนักเรียนคนหนึ่งจะสามารถไปพูดเล่นกับเขาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน “เครื่องลายคราม ภาพวาดอักษร เครื่องเคลือบและเครื่องหยกที่บ้านหากถูกเด็กๆ ทำเสียหาย แน่นอนว่าข้ายังคงหัวเราะและยิ้มรับได้ ถือเสียว่าเป็นการฟาดเคราะห์ไป ใครจะไปถือสาหาความเอากับเด็กๆ แต่พันธุ์พืชเหล่านี้นั้นไม่เหมือนกัน นี่เป็นพืชพันธุ์ใหม่ที่ได้ยินมาว่าภายหน้าจะมีผลผลิตถึงสิบตั้น[3] เพาะเลี้ยงมากขึ้นอีกหนึ่งต้นภายหน้าก็จะได้มีเมล็ดมากขึ้นด้วย เหล่าชาวบ้านก็จะกินอิ่มปากอิ่มท้องกันเร็วขึ้น เจ้าหาว่าที่ข้าโกรธนั้นผิดหรือ”
ดวงตาของฉินฉยงแทบจะถลนออกจากเบ้า “เหลาหลี่ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ” เขาอยากยืนยันให้แน่ใจมากยิ่งขึ้น
“นี่เป็นสมบัติมงคล ข้านั้นเกลียดมากที่สุดก็คือคำพล่ามกล่าวที่ว่านั่นนี่เป็นสมบัติมงคล แต่มันฝรั่งและข้าวโพด หากบอกว่าทั้งสองอย่างนี้เป็นสมบัติมงคล ข้ายกสองมือและสองเท้ายืนยันเห็นด้วย รอให้ข้าวโพดโตเต็มที่ก่อนและหลังจากที่ข้าได้ประเมินผลผลิตแล้ว จะกล่าวยกย่องเป็นสมบัติมงคลด้วยตนเอง ของที่ดีเช่นนี้หากไม่ได้รับการส่งเสริมให้แพร่หลายไปทั่วหล้า นั่นคือความผิดของทางราชสำนัก”
ฉินฉยงเดินมาที่ด้านหน้ากระถางดอกไม้และมองดูข้าวโพดอย่างละเอียด แตะใบข้าวโพดใหญ่ๆ อย่างเบามือ แล้วจึงลูบศีรษะฉินซวง “เจ้าดูให้ดีนะ ห้ามไม่ให้ใครแตะต้องพันธุ์พืชเหล่านี้ ชีวิตคนทั้งบ้านรวมกันก็ยังไม่มีคุณค่ามากพอเท่ากับพืชนี้”
ฉินซวงได้ยินบิดาพูดดังนี้แล้วก็รีบยืนตัวตรงทันที ฝางอี๋อ้ายเพิ่งจะวิ่งเข้ามา ซึ่งห่างจากข้าวโพดหนึ่งจั้งก็ถูกฉินซวงเตะกระเด็นไปด้านข้าง หลี่กังที่ดูอยู่ก็พอใจเป็นอย่างมากและค่อยรู้สึกวางใจไปสนทนาสัพเพเหระกับสหายเก่าอย่างสบายอกสบายใจ
ตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว โต๊ะอาหารของงานเลี้ยงที่จัดขึ้นใต้เพิงไม้เลื้อยก็ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้วเหลือก็แต่รอให้แขกมาร่วมงาน คนรับใช้ที่ยืมตัวมาจากตระกูลอวิ๋นนั้นคล่องแคล่วว่องไว รู้จักจัดโต๊ะงานเลี้ยงไว้บนพรมหนาๆ เพื่อไม่ให้แขกรู้สึกอึดอัดหากต้องนั่งเป็นเวลานานในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้
ฝางมาถึงแล้ว ตู้หรูฮุ่ยก็มาแล้ว เว่ยเจิงก็มาพร้อมกับไหเหล้าที่ตนเองหมักเองหนึ่งไห ถังเจี่ยนและหลี่ต้าเลี่ยงมาด้วยกันโดยรถม้าคันหนึ่งที่นั่งได้สองคน พลางชื่นชมทัศนียภาพพลางนั่งอย่างสบายอกสบายใจมาตลอดทาง เพียงแต่ของขวัญค่อนข้างแย่ไปเสียหน่อย ท้ออายุยืนที่ทำจากแป้งหมี่หนึ่งตะกร้าและคุ้กกี้วอลนัทอีกหนึ่งตะกร้าซึ่งเป็นน้ำใจทั้งหมดของพวกเขา
“ท่านอาจารย์หลี่อาศัยอยู่ในดินแดนเทพนิยายแห่งนี้ ที่พักอยู่ในอาคารสูง ตื่นขึ้นก็พบกับภูเขาที่มีชื่อเสียง ยามว่างก็เลี้ยงดูลูกหลาน ช่างทำให้ข้ารู้สึกอิจฉาจริงๆ” ตู้หรูฮุ่ยและหลี่กังสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัวเป็นอย่างมาก เพียงแต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสุขภาพไม่ค่อยสู้ดี จึงเริ่มมีความคิดที่อยากจะออกจากราชการกลับบ้านเกิดบ้างแล้ว
“เค่อหมิง เจ้าอายุยังน้อย พูดอะไรท้อใจเช่นนี้ ถ้าข้าจำไม่ผิดเจ้าเพิ่งจะอายุเพียงสี่สิบเอ็ดปีกระมัง ซึ่งกำลังอยู่ในวัยที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง เจ้ากรมกรมยุทธการ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมเป็นอย่างมาก เหตุใดจึงมีใจคิดที่จะออกจากราชการเพื่อเก็บตัว หากสุขภาพร่างการไม่สู้ดีก็มาพักอยู่ที่สถานศึกษาสักสองสามเดือน ให้เหล่าซุนและอวิ๋นเยี่ยได้รักษาปัญหาด้านสุขภาพร่างกายของเจ้า ความเจริญรุ่งเรืองของต้าถังเรากำลังจะเริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว ฝ่าบาทจะขาดบุคคลากรอย่างเจ้าได้อย่างไร เจ้าดูไม่ใกล้ฝั่งอย่างข้าสิยังคงสามารถกินได้นอนหลับ เตรียมเก็บหอมรอมริบตั้งใจจะใช้ชีวิตไปอีกหลายๆ ปีเพื่อรอดูความเจริญรุ่งเรืองของต้าถัง เจ้าจะมาหมดอาลัยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
หลี่กังยังคงชื่นชมความสามารถในการตัดบทสนทนาของตู้หรูฮุ่ยเป็นอย่างมาก
“ผู้น้อยมีปากมีเสียงกับอวิ๋นโหวเพราะเรื่องงานของกรมโยธา หวังว่าอาจารย์หลี่จะช่วยเป็นสื่อกลางให้ด้วย” ในตอนนั้นที่ตู้หรูฮุ่ยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมโยธาธิการ เคยมีความคิดที่อยากจะประชันความสามารถกับอวิ๋นเยี่ยให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยจริงๆ ต่อมาหากไม่เป็นเพราะฮองเฮาออกหน้าคงจะต้องลงเอยเลวร้ายกว่านี้มากนัก ดังนั้นเมื่อคราวนี้มีเรื่องขอความช่วยเหลือจึงลดตัวไม่ค่อยลง แต่สภาพร่างกายนั้นแย่มากแล้วไม่สามารถรอได้อีกต่อไป การที่ฝางเสวียนหลิงพาเขามาคราวนี้ก็มีวัตถุประสงค์จะผูกมิตรกับสถานศึกษา
“ข้าเองก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่งใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี เสวียนหลิง เค่อหมิง พวกเจ้าเป็นเสนาบดีย่อมต้องวางตัวให้เหมาะสม อวิ๋นเยี่ยเจ้าเด็กบ้านั่นกลับไม่รู้จักคิด เป็นคนโง่ที่เจ็บตัวซ้ำซากไม่รู้จักจำ เค่อหมิง เจ้ามาได้ตลอดเวลา ข้าจะจัดการให้เอง ข้าจะแย้งเขาเอง”
เรื่องที่ต้องนั่งตามล้างตามเช็ดให้อวิ๋นเยี่ยเหลาหลี่นั้นทำมานับครั้งไม่ถ้วน ในเมื่อตอนนี้ตู้หรูฮุ่ยต้องการที่จะคืนดีนี่ถือเป็นโอกาสที่ดีซึ่งไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้หลุดมือไป อวิ๋นเยี่ยจอมก่อความหายนะ หากลดศัตรูลงได้สักคนก็ควรทำ เค่อหมิงเองก็ไม่ใช่คนเลวอะไร ไม่ควรที่จะผูกใจเจ็บ
รุ่นเหนียงและอวิ๋นเยี่ยเข็ญกล่องขนาดใหญ่มากเดินเข้ามา ระหว่างทางนั้นกลิ่นหอมหวานของเค้กโชยกลิ่นมาตลอดทาง จนเป็นที่สะดุดตา ใครจะคิดว่าเค้กที่เพิ่งทำเมื่อวานนี้จะถูกวั่งไฉแอบกินไปชิ้นใหญ่ ขณะที่อวิ๋นเยี่ยจับได้นั้นชั้นล่างที่ใหญ่ที่สุดนั้นโดนกินไปครึ่งหนึ่งแล้ว หลังจากไล่ตีวั่งไฉอยู่ในสวนอยู่เป็นเวลานานเขาก็รู้สึกว่าเหมือนวั่งไฉถูกใส่ร้าย วั่งไฉปกตินั้นเชื่องมาก หากไม่มีใครนำมาให้กินจะไม่ถือวิสาสะกินเองอย่างเด็ดขาด ซึ่งนี่เป็นนิสัยที่ดีจนมาถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่เคยทำเหลวไหลมาก่อนเลย
จึงอุ้มเสี่ยวยาขึ้นมาแล้วดมที่ปากนางก็ได้กลิ่นหอมหวานที่แรงมาก เสี่ยวหนานก็เช่นเดียวกัน เสี่ยวซีและเสียวเป่ยก็เป็นเช่นนี้ พบหัวโจกของผู้กระทำผิดแล้ว น้องสาวทั้งสี่คนถูกจับนอนคว่ำบนตักและตีก้นดังเพี๊ยะๆ ชักจะกำเริบเสิบสานแล้ว ตนเองขโมยกินยังพอว่า แต่นี่ยังนำเนยบนเค้กไปป้ายที่ปากของวั่งไฉด้วย การใส่ร้ายผู้อื่นนั่นเป็นนิสัยที่แย่มาก
หลังจากตีพวกนางเสร็จแล้วก็ทิ้งไว้ในสวนเพื่อให้สำนึกผิด นำเค้กด้านบนที่ไม่โดนกินให้ท่านย่า อาหญิง ป้าสะใภ้และบรรดาพี่สาวไปทาน เล่นไพ่นกกระจอกมาตลอดบ่ายก็น่าจะหิวบ้างแล้ว เค้กชั้นที่สองมอบให้กับซินเยวี่ยทั้งหมด นางชอบกินเค้กเป็นอย่างมากและยังมีเสี่ยวชิวอีกคนที่ไม่มีความกังวลว่าจะกินไม่หมดอีกคน
ส่วนชั้นล่างขุดอวิ๋นเยี่ยกินหนึ่งคำก็พลางป้อนวั่งไฉหนึ่งคำ น่าสงสารต้องโดนตีแทนคนอื่น การอ้าปากถกเถียงคนอื่นไม่ได้นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ
เดี๋ยวจะลงมือทำใหม่อีกรอบหนึ่ง คราวนี้จะทำเค้กแยมผลไม้สามชั้นที่ใหญ่กว่าเดิม คิดไม่ถึงว่าตระกูลเฉิงจะมีครีมเปรี้ยว นี่ถือเป็นของดี บวกกับน้ำตาลบนเค้ก ลูกท้ออายุมั่นขวัญยืนขนาดใหญ่ก็ใช้ของสิ่งนี้ จึงตะโกนเรียกคนนวดแป้งที่อยู่บนถนนมาคนหนึ่ง แล้วแต่งครีมเปรี้ยวด้วยสีธรรมชาติเป็นสีต่างๆ ใส่ลงในผ้ากระสอบหนาๆ ที่สะอาดแล้วตัดมุมตรงปลายเป็นรูเล็กๆ ตรงมุมก็สามารถบีบออกมาเป็นดอกไม้สีต่างๆ ได้มากมา เพียงแต่ครีมเปรี้ยวนั้นไม่ค่อยฟูนัก แต่ไม่เป็นไรภายใต้คำแนะนำของอวิ๋นเยี่ย ดอกไม้ที่สวยงามหลายๆ ดอกก็ปรากฏอยู่บนหน้าเค้ก ดอกท้ออายุมั่นขวัญยืนขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบนสุดนั้นเป็นที่สะดุดตามาก สีสันโดดเด่น ล้วนแล้วแต่เป็นพืชพันธุ์ที่ให้สารสีที่ได้มาจากคนนวดแป้งทั้งนั้น ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ทานเข้าไป
ให้เงินสิบเหวินกับคนนวดแป้ง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ เพียงแค่ขอร้องอวิ๋นเยี่ยอย่างถวายชีวิตว่าขอให้เขาได้ทำเช่นนี้อีกในภายหน้า เป็นคนที่ฉลาด นี่คืองานฝีมือของเขาหากจะให้ปฏิเสธก็กระไรอยู่จริงๆ
แววตาของน้องสาวทั้งสี่คนนั้นเป็นประกายอีกแล้ว เกิดความคิดอยากจะกระโจนเข้าไปกินอีกครั้ง คราวที่แล้วบอกว่าเค้กก้อนนั้นทุกคนจะกินเพียงเล็กน้อย ใครจะรู้ว่ากินแล้วมันหยุดไม่อยู่จริงๆ เค้กก้อนกลมๆ ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้เห็นได้ชัดว่าต้องอร่อยกว่าเค้กก้อนที่แล้วอย่างแน่นอน จะไม่ให้กินได้อย่างไรกัน
ได้ยินมาว่านี่เป็นของขวัญวันเกิดของท่านปู่หลี่ แม่หนูตัวน้อยเหล่านี้จึงตัดสินใจว่าจะต้องไปที่บ้านของท่านปู่หลี่เพื่อเยี่ยมท่านย่าหลี่ ทั้งแต่ละคนก็ยังเตรียมของขวัญชิ้นเล็กๆ อีกด้วย รบเร้าให้พ่อบ้านส่งพวกนางไปบ้านของหลี่กังโดยที่ไม่ทานแม้แต่อาหารกลางวัน สมแล้วที่ว่าแสดงเป้าหมายที่แท้จริงอย่างออกนอกหน้า
เมื่อเข้ามาในลานบ้านของหลี่กัง รุ่นเหนียงก็เห็นฉินซวงที่ยืนเหงื่อไหลไคลย้อยคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ข้าวโพด ทิ้งพี่ชายให้อยู่ลำพังอย่างไม่แยแส แล้ววิ่งไปที่ลานหลังบ้านเพื่อขอชากาใหญ่มาและมอบให้ฉินซวง ทำให้อวิ๋นเยี่ยผู้ที่มีอาการคอแห้งกระหายน้ำจ้องมองฉินซวงด้วยแววตาอันดุร้าย
เค้กนั้นวางอยู่บนโต๊ะใต้เผิงไม้ หนูน้อยทั้งสี่จูงมือฮูหยินของหลี่กังและญาติฝ่ายหญิงคนอื่นๆ ที่มาอวยพรวันเกิดอีกด้วย หนูน้อยทั้งสี่ได้เตรียมทั้งช้อนส้อมและจานใส่เค้กไว้เรียบร้อยแล้ว รบเร้าให้หลี่ฮูหยินรีบเตรียมให้ท่านปู่หลี่เป่าเทียน พวกนางจะได้กินเค้กเสียที
หลี่กังหัวเราะอย่างเบิกบานใจและสั่งให้คนรับใช้นำกล่องไม้ที่ใส่เค้กออก เมื่อยกกล่องไม้ขึ้นมากลิ่นหอมหวานของเค้กก็ตลบอบอวลไปทั่วทั้งลานบ้านทันที ลูกท้ออายุมั่นขวัญยืนที่เหมือนจริง ดอกไม้ที่ดูมีชีวิตชีวาดั่งดอกไม้มีชีวิตและยังมีคำว่า “อายุยืนยาวกว่าต้นสนพันปีแห่งเขาหนานซัน” ที่เขียนจากแยมผลไม้อีกด้วย
นี่คือความหวังอันสูงสุดของอวิ๋นเยี่ยที่มีต่อหลี่กัง เขาหวังจริงๆ ว่าชายชราท่านนี้จะมีชีวิตที่ยืนยาว
หลี่กังหัวเราะอ้าปากกว้าง ตาหยีเป็นก้านไม้ขีดแล้ว หลี่สือรีบตวัดพู่กันวาดลงบนกระดาษ เพียงแค่ตวัดพู่กันไม่กี่ครั้งภาพของหลี่กังที่หัวเราะจนแทบหงายท้องก็โลดแล่นอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น
“นี่ช่างเรียกว่ายิ่งอยู่ยิ่งมีความหมายจริงๆ” หลี่กังพูดจบ ก็ทำตามคำแนะนำของอวิ๋นเยี่ยโป่งแก้มและเป่าเทียนสีน้ำเงินแท่งนั้นให้ดับไป แล้วจึงหยิบมีดยาวขึ้นมาแล้วตัดมีดแรกลงไปท่ามกลางสายตาของทุกคนที่รู้สึกเสียดาย
——
[1] จิน หน่วยชั่งตวงของจีน ซึ่งหนึ่งจินเท่ากับห้าร้อยกรัมหรือครึ่งกิโลกรัม
[2] หมู่ หน่วยวัดพื้นที่ของจีน ซึ่งหนึ่งหมู่มีพื้นที่ประมาณ หกร้อยหกสิบหกตารางเมตร
[3] ตั้น หน่วยช่างน้ำหนักของจีน โดยหนึ่งตั้นหนักประมาณ หกสิบกิโลกรัม