เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 33 เบี่ยงเบนสายตา
“ฝ่าบาทในนี้มีพวกเราทั้งหมดสี่คน ข้าน้อยก็นับว่าเป็นลูกศิษย์เหนียงเหนียงเมื่อรวมเรื่องอันหลานแล้วจะเรียกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันก็ไม่เกินเลย ท่านมีเรื่องอะไรจะบอกก็พูดให้ชัดเจนดีกว่าเดาไปเดามาให้เกิดการเข้าใจผิด สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์เป็นเรื่องสำคัญ ข้าน้อยไม่ถนัดที่จะใช้ภาษาราชสำนักพูดกับท่าน ความต้องการของท่านเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกข้าน้อยเข้าใจดี ท่านมีเป้าหมายไปถึงไหนทำอะไรได้เท่าไหนขอให้สั่งการลงมาเลยข้าน้อยจะถือปฏิบัติตาม ข้าน้อยรู้ว่าการพูดเช่นนี้ไร้เหตุผลถ้าท่านจะลงโทษทัณฑ์ก็ขอให้เบามือหน่อยเพิ่งจะโดนตีมา ข้าน้อยรับไม่ไหวอีกแล้วจริงๆ”
อวิ๋นเยี่ยหงุดหงิดเต็มทนสู้พูดเรื่องจริงตรงๆไปเลยดีกว่ามัวแต่เดากันไปเดากันมาเหมือนคนโง่เง่าสองคน ทั้งๆที่พูดคำเดียวก็เข้าใจกันได้แต่กลับต้องอ้อมกันไปอีกรอบใหญ่ ใบหน้าที่แข็งเกร็งของฮ่องเต้คลายลงทันทีฮองเฮาหัวเราะจนตัวโยน หลี่เฉิงเฉียนชูนิ้วโป้งให้อวิ๋นเยี่ย มีอวิ๋นเยี่ยคนเดียวเท่านั้นที่กล้าพูดเช่นนี้กับเสด็จพ่อของเขา
“ไม่รู้ว่าอาจารย์เจ้าสอนเจ้ามาอย่างไรทั้งกะล่อนทั้งไม่อยู่กับร่องกับรอย พูดให้ชัดเจน? ได้เลย เจ้าคงรู้ว่าเราอยู่นอกกำแพงฟังเรื่องที่พวกเจ้าคุยกันแล้ว รู้ได้อย่างไรกัน พูดเรื่องรักชาติรักเกียรติบ้าบอคอแตกมากมาย อยากให้คนตีเจ้าอีกสามสิบไม้จริงๆ” การแอบฟังข้างกำแพงกลายเป็นเรื่องสง่าผ่าเผยในคำพูดของฮ่องเต้
“ฝ่าบาทเรื่องเช่นนี้เห็นชัดว่าท่านไม่มีประสบการณ์ ท่านยืนอยู่ใต้ต้นไม้ทำให้จักจั่นกลัวจนไม่กล้าร้อง หากข้าน้อยยังไม่รู้อีกว่ามีคนกลุ่มใหญ่แอบฟังอยู่ข้างนอกก็เท่ากับกระทำผิดต่อคำสั่งสอนของอาจารย์”
เพิ่งพูดจบฮองเฮาก็หัวเราะลั่นอีก คราวนี้ยังใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากไม่กลัวหายใจไม่ออกตาย ใบหน้าฮ่องเต้กลายเป็นสีม่วง จอมทัพที่เคยนำทัพมานานปีทำผิดเช่นนี้ได้ทำให้น่าขายหน้าแท้ๆ
หลี่เฉิงเฉียนไม่เคยเห็นเสด็จพ่อเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน อยากหัวเราะก็ไม่กล้า ได้แต่ทำหน้ายู่ยี่นวดท้องอยู่ ท่าทางคงขำจนท้องเป็นตะคริว
“ฮึ่ม นับว่าครั้งนี้เราพลาดไป เจ้านี่ เรื่องอันหลานเจ้าจะจัดการอย่างไร ในฐานะฝั่งราชวงศ์จะไม่ยอมให้มีการสถาปนาอ๋องที่หลิ่งหนานอีกเป็นอันขาด ส่วนเรื่องได้ทรัพย์สินบ้างเราไม่ขัดข้อง”
หลิ่นหนานคงเป็นชนักปักอกฮ่องเต้มาตลอดเวลา การเป็นฮ่องเต้แต่ไม่สามารถสั่งการได้ทั่วอาณาจักรเป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ไม่สามารถยอมรับได้เด็ดขาด โดยเฉพาะเมื่อได้ฟังคำพูดอวิ๋นเยี่ยนั้นแล้ว เห็นว่าหลิ่งหนานไม่ใช่ซี่โครงไก่แต่เป็นแผ่นดินทอง ยิ่งไม่มีทางที่เขาจะแบ่งให้คนอื่น
“ฝ่าบาทอย่าได้ดูแคลนรายรับของหลิ่งหนานเป็นอันขาด หากจัดการได้ดีคุยคำโตได้เลยว่าเงินหลายล้านในคลังหลวงของท่านไม่ได้มากเท่าผลประโยชน์ของหลิ่งหนานทีเดียว ทางใต้ของอันหนานมีประเทศที่เรียกว่าหมาอี้ ที่นั่นมีนาข้าวชนิดหนึ่งสามารถปลูกได้สามรอบในหนึ่งปี แต่ละรอบไม่ถึงร้อยวันก็เก็บเกี่ยวได้เหมาะที่จะปลูกในหลิ่งหนาน หากพืชผลเหล่านี้ได้รับการส่งเสริม ทางเหนือมีมันฝรั่ง ข้าวโพด ข้าวสาลี เกาเหลียง ข้าวฟ่าง ทางใต้มีนาข้าวที่ปลูกได้สามรอบ หากต้าถังยังมีกังวลเรื่องอดอยากขึ้นมาอีก ข้าน้อยขอมอบศีรษะให้ท่าน”
ฮ่องเต้เป็นคนละโมบโลภมาก ความกระหายดินแดนเรียกได้ว่ารุนแรงสุดจะเทียบได้ การหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ย่อมเหมาะสมอย่างยิ่ง
“ในโลกนี้มีอาหารชนิดนี้ด้วยหรือ” ฮ่องเต้จ้องตาอวิ๋นเยี่ยเขม็งอยากเค้นให้เห็นความจริงออกมา
“มันฝรั่งท่านก็ได้เห็นแล้วทำไมจะมีนาข้าวที่เก็บเกี่ยวสามรอบไม่ได้ โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล จงหยวนไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลกอยู่แล้ว พอข้ามถู่ฟานไปก็จะมีที่ราบกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์ พื้นที่เพาะปลูกที่นั่นมากกว่าต้าถังเกินห้าเท่าตัวอากาศอบอุ่นชื้นที่เรียกกันว่าเมืองพุทธ สถานที่พระสงฆ์เสวียนจั้งต้องการไป”
“เรื่องของเสวียนจั้งเรารู้อยู่ เจ้าให้แผนที่เขาไปแต่กลับต้องอ้อมประเทศเจาอู่เก้าแซ่ที่อยู่ไกลโพ้น เจ้าให้เขาเหนื่อยยากเดินทางพันลี้ด้วยเหตุผลอะไรหรือ”
“เขาต้องการไปขอมนตราศาสนาพุทธที่ไร้ประโยชน์มีแต่ผลเสียไม่มีผลได้ต่อต้าถัง แต่ทิวทัศน์ภูมิประเทศขนบธรรมเนียมภูมิอากาศเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับต้าถัง ข้าน้อยบอกเขาว่าการไปครั้งนี้มีทางรอดเพียงหนึ่งในสิบส่วน แต่เขาก็ยังมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ สายสืบที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ข้าน้อยจะไปปฏิเสธเขาได้อย่างไร”
ตระกูลหลี่ทั้งครอบครัวมองอวิ๋นเยี่ยอย่างประหลาดใจนัก เดิมทีนึกว่าพวกเขาได้คำพูดนี้แล้วจะหัวเราะครื้นเครง แต่ท่าทางพวกเขาเวลานี้ดูพิลึกมาก ทั้งครอบครัวไม่มีใครหัวเราะทำให้อวิ๋นเยี่ยชักอึดอัด
“เจ้านี่ เจ้าปฏิบัติต่อพระสงฆ์อาวุโสที่มีศรัทธามั่นคงเช่นนี้ไม่รู้สึกว่าตัวเองเลวร้ายเลยหรือ” ฮ่องเต้ไม่ได้พูดแต่ฮองเฮาเริ่มเล่นงานด้วยลมปาก ดูท่านางราวกับอยากลากตัวอวิ๋นเยี่ยออกไปตีอีกสักตั้งให้สบายใจ
“ข้าน้อยเคยบอกรัชทายาทนานแล้วว่าราษฎรต้าถังเราเป็นราษฎรที่ดีที่สุดในโลก พวกเขาขยันขันแข็งจิตใจดีงาม ซื่อสัตย์สุจริตจริงใจ แต่ทำไมไม่กี่ร้อยปีก็จะต้องโดนทุกข์ภัยหนักหนาสาหัสทุกครั้ง ทำไมจึงอยู่รอดปลอดภัยตลอดไปไม่ได้ ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนราชวงศ์ อารยธรรมของพวกเราก็ต้องถูกทำลายหนัก ผ่านไปแล้วค่อยก่อร่างสร้างอารยธรรมขึ้นมาอีกจากกองเถ้าถ่าน สิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะต่างๆของแต่ละยุคเช่นรถไถ เหล็กกล้า คริสตัลล้วนสูญหายไปหมด แม้แต่นกไม้บินได้สามวันของหลู่ปานก็สูญหายไปด้วย พวกเราทิ้งสิ่งของดีๆไปแล้วมากมาย ข้าเคยถามกงซูมู่ว่านกไม้เดิมมีจริงแต่สูญหายขณะที่ราชวงศ์จิ้นตะวันออกข้ามแม่น้ำ หากของสิ่งนั้นยังอยู่ข้าน้อยจะสามารถสร้างสิ่งของที่บรรทุกคนให้บินบนฟ้าได้ น่าเสียดายที่ไม่ได้พบของจริงนั้น
เสียนหยางที่ห่างฉางอันไม่ไกลนักมีพื้นที่หนึ่ง อาจารย์จินจู๋ของสถานศึกษาใช้เวลาตรวจสอบสามเดือนจึงแน่ใจได้ว่าที่นั่นคือวังอาฝางกงที่ชื่อเสียงโด่งดัง ได้ว่าจ้างชาวบ้านขุดลอกผิวดินพบดินดำที่ไหม้ไฟ เป็นการวางเพลิงครั้งยิ่งใหญ่จากเสียนหวี่คนเมืองฉู่ครั้งนั้นเผาผลาญผลงานที่ราษฎรสร้างด้วยความเหนื่อยยากจนหมดสิ้น หากข้าอยู่ในยุคนั้นจะต้องจับเขามาใช้ห้าม้าแยกร่าง
อาจารย์ข้าเคยประพันธ์ไว้บทหนึ่งพูดถึงวังอาฝางโดยเฉพาะ ข้าน้อยจะท่องให้ฟัง หกอ๋องม้วย สี่ทะเลรวมหนึ่ง ป่าไม้หมด เกิดวังอาฝาง ครอบคลุมสามร้อยลี้ กางกั้นฟ้าอาทิตย์ เขาหลีซันขึ้นเหนือหักตะวันตก ตรงเข้าเสียนหยาง แม่น้ำสองสาย ไหลเข้ากำแพงวัง…
โธ่เอ๋ย! ดับหกชาติคือหกชาติเอง หาใช่ฉินไม่ ดับฉินคือฉินเอง หาใช่คนอื่นไม่ น่าเศร้านัก! หากหกชาติรักตัวเอง เพียงพอต้านฉินได้ หากฉินรักหกชาติ ครองได้สามรุ่นจนชั่วกาลนาน ใครหรือจะดับได้ คนฉินมิทันไว้อาลัยเอง คนหลังกลับไว้อาลัยให้ คนหลังไว้อาลัยไม่หลาบจำ รอคนหลังกว่าไว้อาลัยให้อีก”
ทั้งฮ่องเต้ฮองเฮาต่างดื่มด่ำในบทประพันธ์ของตู้มู่จนถอนตัวไม่ขึ้น ฮองเฮาถึงขนาดยกพู่กันบันทึกไว้ บทประพันธ์นี้มีตัวหนัสือห้าร้อยกว่าตัว เล่าเรื่องราวจากรุ่งเรืองจนย่อยยับ จากเศร้าโศกจนมีสุข การทำลายล้างนั้นง่ายดายนัก การสรรสร้างสุดแสนลำบากนัก ถึงแม้บทประพันธ์นี้ตู้มู่เขียนให้ถังจิ้งจงซึ่งเป็นลูกหลานฮ่องเต้ดู แต่คนโง่เง่าที่หลงใหลอยู่แต่เรื่องฟุ่มเฟือยกามราคะคนนั้นจะเข้าใจถึงความหมายลึกซึ้งซ่อนเร้นของบทประพันธ์นี้ได้อย่างไร สู้ให้ฮ่องเต้นี้ดูยังจะดีกว่า
“อวิ๋นเยี่ย เรายอมเชื่อแล้วว่าเจ้ามีอาจารย์ที่ปราดเปรื่องปานเทพยดา แต่ก่อนเรามักจะสงสัยว่าจะมีใครที่เหนือชั้นเกินมนุษย์ในทุกด้านตามที่เจ้าว่า แต่พอมีบทประพันธ์นี้ออกมาเราเชื่อแล้ว ต่อให้เจ้าฉลาดเฉลียวแค่ไหนก็แต่งเช่นนี้ไม่ได้ คำประพันธ์ที่ว่า คนฉินมิทันไว้อาลัยเอง คนหลังกลับไว้อาลัยให้ คนหลังไว้อาลัยไม่หลาบจำ รอคนหลังกว่าไว้อาลัยให้อีก คำพูดเช่นนี้ คำพูดเหล่านี้หากไม่ใช่คนที่รู้ซึ้งถึงความยากแค้นของโลกและความเจ็บปวดของมนุษย์แล้วจะพูดไม่ได้ กวนอินปี้เตรียมชุดเครื่องเขียนให้เรา เราจะบันทึกบทประพันธ์ทั้งหมดสลักไว้ที่ฉากกั้นเพื่อจะได้คอยเตือนใจได้ทั้งเช้าเย็น”
ฮ่องเต้ที่ถูกอิทธิพลจากบทประพันธ์กล่อมเกลาจนปวดร้าวราวกับลืมเรื่องหลิ่งหนาน ใช้มือที่สวยงามของเขาเริ่มเขียนบนกระดาษแผ่นใหญ่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมความจำพวกเขาจึงดีเยี่ยมนัก บทประพันธ์ที่อวิ๋นเยี่ยถูกอาจารย์เคี่ยวเข็ญให้ท่องทั้งอาทิตย์กว่าจะจำได้ ฮ่องเต้ฮองเฮาแค่ฟังรอบเดียวก็บันทึกไว้ได้โดยไม่ผิดเพี้ยนแม้เพียงคำเดียว กระทั่งคำที่อวิ๋นเยี่ยท่องผิดหลายที่ก็โดนแก้ให้ถูกต้องด้วย
เขียนเสร็จแล้วฮ่องเต้ยังให้อวิ๋นเยี่ยตรวจทานอีกรอบจนไม่มีข้อบกพร่องแล้วจึงพูดว่า “เจ้าเป็นคนสุดทุเรศมาก แม้แต่ของวิเศษที่อาจารย์เจ้าเหลือไว้ให้ก็ยังโดนเจ้าย่ำยี คำผิดหลายตัวยังจำที่ถูกไม่หมดก็กล้ามาเป็นอาจารย์ในสถานศึกษา ยังดีที่มีพวกหลี่กังอยู่ด้วยไม่เช่นนั้นเรารีบเรียกพวกชิงเชวี่ยกลับมา จะไปเที่ยวสอนผิดๆให้ลูกหลานคนอื่นได้อย่างไร”
“ฝ่าบาทวันนี้มืดแล้ว ข้าน้อยรู้สึกไม่สู้สบายขอให้ปล่อยข้าน้อยกลับบ้านจะได้ไหม รอให้บาดแผลทุเลาค่อยมาปรึกษาเรื่องหลิ่งหนาน” พอเห็นฮ่องเต้อารมณ์ดีขึ้น อวิ๋นเยี่ยก็เตรียมเผ่นหนี
“ไม่สู้สบาย? โดนแค่ยี่สิบไม้ไม่ใช่หรือ มีอะไรไม่สบาย ทั้งโซ่วหยางก็ทายาให้เจ้าแล้วไม่เป็นอะไรมากหรอก เราเคยเป็นลูกน้องนายทหารแซ่อวิ๋นไม่ได้โดนตีน้อยเลย ใครใช้ให้เจ้าแซ่อวิ๋น ได้ยินว่าเจ้านั่นยังเป็นญาติเจ้าด้วยซ้ำ เป็นคนสารเลวมากๆ ทำได้ทุกอย่างเพื่อลาภยศสรรเสริญ ยังดีที่เจ้าไม่เหมือนเขาไม่เช่นนั้นเราจะตัดคอเจ้าเป็นคนแรก”
เจ้าเคยโดนไม้ของอวิ๋นติ้งซิ่ง เรื่องอะไรจะมาทวงหนี้กับข้าซึ่งเกลียดอวิ๋นติ้งซิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอพูดถึงเขาแล้วอวิ๋นเยี่ยยิ่งรู้สึกคลื่นไส้
“หากฝ่าบาทไม่พอใจข้าน้อยก็ให้ตีเพิ่มดีกว่า อย่าเอาอวิ๋นติ้งซิ่งมาทำให้แปดเปื้อนตระกูลอวิ๋นข้า เวลานี้ยังหาเขาไม่พบ หากพบแล้วจะฉีกร่างเขาด้วยมือตัวเอง เภทภัยตระกูลอวิ๋นข้ามีสาเหตุจากเขาเองคนไม่ได้มีมันสมองแต่มีความละโมบ ทำให้ผู้ชายตระกูลข้าตายกันหมด หากฝ่าบาทรู้เบาะแสเขาโปรดบอกข้าน้อยด้วย ต่อให้เป็นพันลี้หมื่นลี้ข้าก็จะสับเขาเป็นหมื่นชิ้น
“อืมดูท่าทางฮึกเหิมเฉียบขาดดีมาก หาไม่เจอแล้วเจ้าหนู ครั้งนั้นเรารบกับเซวียจวี่ อวิ๋นติ้งซิ่งเป็นรองแม่ทัพในกองทัพเซวียจวี่ โดนเราวางเพลิงเผาจนหนีตายไปจั๋วทู พวกที่ตายเพราะเหยียบย่ำกันเองมากจนนับไม่ถ้วน คาดว่าคงตายไปนานแล้ว เจ้าคิดแก้แค้นคงไม่มีโอกาสแล้ว อวิ๋นติ้งซิ่งโชคดีที่ตายเร็วไม่เช่นนั้นตกอยู่ในมือเจ้า จุ๊ๆ เราเองยังไม่อยากคิดถึงจุดจบของเขาเลย”
“อวิ๋นเยี่ย คืนนี้อยู่ที่วังตงกงกับรัชทายาท ข้าจะให้คนส่งเหอเส้ากลับไป วันนี้มีเรื่องราวมากมายข้าอยากพิจารณาละเอียดอีกนิด รอพรุ่งนี้ฝ่าบาทว่างแล้วพวกเราค่อยว่ากันต่อเรื่องหลิ่งหนาน คืนนี้เจ้าก็เตรียมไว้ก่อน ที่เจ้าพูดไม่ผิดพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าให้ฐานะโซ่วหยางไม่ได้ราชวงศ์ก็ไม่อนุญาตให้องค์หญิงเป็นอนุภรรยา ลักษณะนี้ดีที่สุดแล้ว ไม่มีใครติดค้างใคร เรื่องหลิ่งหนานฝ่าบาทยังอยากให้เจ้าออกความเห็นอยู่”
“ฮองเฮาพูดได้แจ่มแจ้งชัดเจนเรื่องโซ่วหยางก็จบกันเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยได้เด็กคนหนึ่ง โซ่วหยางมีที่พึ่งพา ฮ่องเต้มีคนที่ไว้ใจได้ดูแลพื้นที่ห่างไกล เหล่าราชวงศ์ขุนนางมีที่ให้เงินทองงอกเงยได้ทุกคนต่างได้กันหมด ไม่จำเป็นที่จะต้องไปสร้างเรื่องให้วุ่นวายกันอีก
ไม่จำเป็นจริงๆด้วย ใช้บทประพันธ์วังอาฝางมาเบี่ยงเบนสายตาฮ่องเต้เป็นแผนที่อวิ๋นเยี่ยตระเตรียมไว้ก่อน หากไม่แล้วจะมัวแต่หาเหตุอยู่ที่ตัวหลี่อันหลานย่อมทำให้อวิ๋นเยี่ยลำบากใจ ผู้ใหญ่ก็ยังดีแต่เด็กก็ยังต้องพลอยฟ้าพลอยฝนด้วย สู้รีบจัดการกดเรื่องให้สงบลงจะได้วางใจก่อน