เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 37 เสียงเรียกจากไป๋อวี้จิง
เกี่ยวกับเรื่องออกเดินทางท่องเที่ยว ซินเย่ว์ระเบิดอารมณ์รื่นเริงสุดขีดโดยเฉพาะพอได้ยินว่าจะไปขอลูกที่วัดเส้าหลินยิ่งดีใจเจียนบ้า เริ่มโดยการระดมผู้หญิงทั้งหมู่บ้านตัดเย็บจีวรพระสามร้อยชุดเป็นผ้าลินินชั้นดีเลิศมีทั้งสีเขียวสีเลือดหมู รองเท้าสานของพระก็สานไว้สามร้อยคู่น้ำมันตะเกียงสองร้อยชั่ง แม้อวิ๋นเยี่ยพยายามบอกว่าไม่ต้องเอาน้ำมันตะเกียงไปเพราะที่ลู่หยางก็มีขาย ขนของน้ำหนักขนาดนี้ไปไกลตั้งหลายร้อยลี้ได้ไม่คุ้มเสีย
ซินเย่ว์ก็ไม่สนใจ โดยเฉพาะพอเห็นท่านย่าหน้าตาชื่นบานกลับมาจากวังก็กัดฟันเพิ่มอีก100ก้วนแถมน้ำหอมอีกสิบขวด ไม่รู้ว่าพวกพระสงฆ์ใช้น้ำหอมจะประหลาดไหม อวิ๋นเยี่ยคิดจะพูดแต่พอเห็นซินเย่ว์ทำท่าน้ำตาจะร่วงก็เลยตัดใจไม่ยุ่งด้วยดีกว่า ปล่อยให้นางทำอะไรก็ได้ตามอารมณ์ของนางเอง
ท่านย่าถือถ้วยชายืนยิ้มที่ระเบียงบ้านดูซินเย่ว์วุ่นวายอยู่ กวักมือเรียกอวิ๋นเยี่ยแล้วย่าหลานทั้งคู่ก็กลับเข้าบ้าน ซินเย่ว์กัดฟันเช็ดน้ำตาเอากำไลหยกตัวเองรวมไว้ในรายการของขวัญด้วย
“เยี่ยเอ๋อร์ ย่าดูองค์หญิงโซ่วหยางท่าทางจะคลอดลูกเก่ง แค่สองเดือนกว่าก็พอดูออกได้แล้วว่าต้องเป็นผู้ชายแน่ๆผู้หญิงจะไม่โตไวขนาดนี้ ไม่ว่าอนาคตใช้แซ่อะไรขอให้เป็นพันธุ์ของตระกูลอวิ๋นก็ดีแล้ว เพียงแต่ฮ่องเต้ไม่ยอมให้นางอยู่ต่อ อีกไม่นานต้องไปหลิ่งหนานพร้อมกับคนชื่อเฝิงอั้งแล้ว เจ้าไปวัดเส้าหลินเวลานี้จะเหมาะสมหรือ”
“ทุกอย่างตระเตรียมไว้หมดแล้ว การพบกันในฉางอันมีแต่จะโดนวิพากษ์วิจารณ์ต้องพบกันระหว่างทางจึงจะดีกว่า เวลานี้สังคมแปรเปลี่ยนจิตใจคนไม่แน่นอน เลวหรือดี จริงหรือหลอกยากที่จะแยกแยะ ตระกูลเราถูกคลื่นลมหนุนไว้บนยอดคลื่นหาที่ลงไม่ได้ หากไม่มีเรื่องเด็กในครรภ์ของนางข้าจะไม่เลือกทางเสี่ยงเช่นนี้ อีกอย่างตระกูลอวิ๋นเราไม่ใช่พวกตระกูลใหญ่ จำนวนคนในตระกูลต้องถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ครั้งนี้ข้าประพฤตินอกลู่นอกทางขอให้ท่านย่าลงโทษด้วย”
“จะไปสำคัญอะไร ขอเพียงแค่มีเหลนต่อให้ต้องทอดทิ้งความมั่งคั่งสูงศักดิ์ที่เป็นอยู่ก็ไม่เห็นเป็นไร เพียงแต่ต้องทำให้ซินเย่ว์ลำบากใจ เจ้าต้องทำดีต่อนางอย่าให้เกิดแผลเป็นในใจนาง มีเพียงแต่ลูกของนางจึงเป็นทายาทสายตรงที่ถูกต้องแท้จริงของตระกูลอวิ๋น”
ท่านย่าที่ขอเพียงมีเหลนก็พอใจในทุกสิ่งราวกับอ่อนวัยลงไปหลายปี เดินไวราวกับเกิดลมโชย สั่งเสียอวิ๋นเยี่ยได้สองคำก็ไปปรึกษาท่านอาเตรียมคนรับใช้ให้โซ่วหยางไปหลิ่งหนาน คนรับใช้ของบ้านที่เป็นคนใต้ทั้งหลายคราวนี้จะให้ติดตามโซ่วหยางกลับหลิ่งหนาน ถือว่าเป็นสิ่งที่ตระกูลอวิ๋นชดเชยให้นางส่วนหนึ่ง
ท่านย่ายกกำไลของนางให้โซ่วหยางไป ทั้งเห็นที่พักของนางมีข้าวของเพียงน้อยนิดยังร้องห่มร้องไห้ แต่ไม่มีปัญญาเล่นงานฮองเฮาได้แต่สั่งให้คนรับใช้ที่ฉางอันซื้อข้าวของอย่างเร่งด่วน ต้องใส่ที่พักนางให้เต็มที่จึงจะพอใจ โดยเฉพาะยาบำรุงครรภ์ อีกทั้งส่งเหล่าจวนใช้ม้าเร็วไปหาซุนซือเหมี่ยวบรรทุกยามาทั้งคันรถจึงพอใจ ได้ยินสาวใช้ที่ปรนนิบัติท่านย่าบอกว่าองค์หญิงโซ่วหยางไม่ได้ปฏิเสธของแม้แต่หนึ่งอย่าง เก็บจนหมดเกลี้ยงทั้งยังคุกเข่าโขกศีรษะให้ท่านย่าขณะที่ปลอดผู้คน
เรื่องราวกลายเป็นใหญ่โตมาก อวิ๋นเยี่ยเองก็คาดไม่ถึงว่าผีเสื้อเช่นเขาขยับปีกเพียงสองที ลมที่เกิดขึ้นจะทำให้มีคลื่นยักษ์ปั่นป่วนไปถึงหลิ่งหนานที่อยู่ไกลกว่าหมื่นลี้ พวกประเทศเล็กๆทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่ยังอยู่ในยุคของสังคมทาสจะถูกคลื่นเหล่านี้ท่วมจนจมหายแม้แต่เศษก็ยังไม่มีเหลือ เฉิงเหย่าจินพูดไม่ผิดทหารเก่ายอดเยี่ยมสามพันคนอยู่ที่นั่นเป็นพลังที่ไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้
การกราบของหลี่อันหลานนั้นทำให้บังเกิดวิญญาณที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่นับไม่ถ้วน ตระกูลอวิ๋นเริ่มต้นแล้วกลุ่มขุนนางก็เริ่มต้นแล้วราชวงศ์ก็เริ่มต้นแล้ว เมืองฉางอันที่สงบสุขกำลังคุกรุ่นด้วยความร้อนแรงของความร่ำรวยที่เหมือนภูเขาไฟระเบิด ไม่ใช่แค่คำเสียดสีสองสามคำของเฉิงเหย่าจินสามารถดับได้ ธนูเหนี่ยวแล้วไม่ยิงไม่ได้ เวลานี้ใบหน้าเฝิงอั้งคงซีดขาวไม่ต่างจากซาลาเปา
อวิ๋นเยี่ยตบต้นแปะก๊วยเบาๆ ในสมองมีแต่ภาพการสังหารสุดสยดสยองยุคที่โจรทวีปยุโรปรุกรานทวีปอเมริกา เชื่อว่าเครื่องมือทำสงครามของต้าถังคงไม่ได้เมตตาปรานีมากกว่ากัน ระบบทุนกำเนิดจากการอาบเลือด นี่คือหลักการทั้งโลก ต้าถังย่อมไม่ได้รับการยกเว้น
“หากข้าไปไกลแล้วเจ้าเสียใจมากขนาดนี้ต่อให้ตายไปข้าก็ยินยอม” ซินเย่ว์ยืนพูดอยู่ข้างๆด้วยใบหน้าที่ออกอาการอิจฉาริษยา ในมือถือกาชาของอวิ๋นเยี่ย “ดูท่านมาพักใหญ่สีหน้าเปลี่ยนสลับไปมา เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวเสียใจเดี๋ยวตบต้นกงซุนอย่างรุนแรง ระวังลูกแปะก๊วยจะตกใส่หัว”
“เจ้าว่าอะไร” อวิ๋นเยี่ยเพิ่งตื่นจากภวังค์ ไม่ได้ยินชัดว่านางพูดอะไร
ซินเย่ว์ยัดกาชาใส่มืออวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “หากคิดถึงจนทนไม่ไหวก็ไปแวะเยี่ยม ข้าเป็นภรรยาหลวงต้องใจกว้าง
พอในสิ่งที่สมควร คนที่จะต้องไปแต่งงานกับลิงดำ ต่อให้เจ้าเห็นนางเป็นของวิเศษ แต่ข้าได้ยินมาว่านางอยู่ในวังก็ไม่ได้มีคนชอบมากนัก”
อวิ๋นเยี่ยบีบจมูกซินเย่ว์พูดว่า “ไม่ต้องมาทำเป็นภรรยาใจงามนักหรอก หากข้าไปจริงเจ้าคงจุดไฟเผาบ้านแน่ เมื่อครู่นี้ข้ากำลังคิดเรื่องหลิ่งหนาน ถึงแม้ครั้งนี้จะได้ทรัพย์สินมากมายแต่น่ากลัวจะเกิดการฆ่ากันครั้งใหญ่”
“ป่าในหลิ่งหนานมีคนอยู่? ไม่ใช่บอกว่ามีแต่ลิงที่นั่งกินผลไม้บนต้นไม้หรือ” ซินเย่ว์จ้องอวิ๋นเยี่ยด้วยดวงตาที่ไม่เข้าใจ
อวิ๋นเยี่ยยิ้มแห้งๆ ลิงที่นั่งกินผลไม้บนต้นไม้ นี่คือสายตาที่ต้าถังมองแผ่นดินที่ล้าหลัง แม้แต่ซินเย่ว์ยังไม่ได้คิดว่าคนพื้นเมืองบนเกาะเป็นคน แล้วจะหวังให้เหล่านักฆ่าทั้งหลายมีความสามารถในการแยกแยะได้หรือ
ขณะที่อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนพื้นเมืองเหล่านั้น แต่ไม่รู้ว่าในขั้วโลกเหนือที่ไกลโพ้น มีชีวิตที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเพิ่งจะหมดลมหายใจสุดท้าย ห่อหุ้มด้วยหนังสัตว์ที่มีขนหนานุ่ม นอนอยู่บนชั้นหญ้ามอสสีเขียว ข้างตัวมีดอกไม้เล็กๆสีม่วงบานเต็มไปหมด น้ำทะเลสีดำซัดสาดชายฝั่งทะเลไกลๆ หมีขาวหลายตัวคำรามอยู่บนภูเขาน้ำแข็งที่ห่างออกไป
คนตายแล้วก็จะกลายเป็นซากศพไม่ว่าจะสูงศักดิ์หรือไม่ ซีถงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งบนหญ้ามอสคิดจะใช้ดาบยาวในมือขุดหลุมให้เถียนเซียงจื่อ แต่ใครจะรู้ว่าแผ่นดินที่นี่สามารถขุดชั้นดินบางๆชั้นบนได้เพียงนิดเดียว พื้นดินส่วนล่างยังคงแข็งแกร่งราวกับแผ่นเหล็ก
เขานึกถึงที่อวิ๋นเยี่ยเคยบอกว่า ขณะที่พวกเจ้าเห็นแสงที่ยาวต่อเนื่องหลายร้อยลี้ในเวลากลางคืนก็ใกล้เป้าหมายมากแล้ว ส่วนที่เหลือจะต้องดูโชคของพวกเจ้า หากมีวาสนาพวกเจ้าจะได้เห็นโลกใหม่
แสงสีสวยงามที่ราวกับคลื่นมหาสมุทรทุกคนได้เห็นแล้ว งามจนทำให้คนใจฝ่อ นึกถึงที่เถียนเซียงจื่อหัวเราะจนคล้ายเสียสติแล้วซีถงก็นึกอยากร้องไห้ นี่เป็นแผ่นดินของภูตผีปิศาจ ได้เห็นเพียงแสงแดดที่มัวซัว ดวงอาทิตย์อยู่ในระดับเรี่ยพื้นตลอดเวลาไม่สูงขึ้นแต่ก็ไม่ต่ำลง ราวกับเวลาโพล้เพล้ตลอดกาล แต่ก็เหมือนเวลาเช้ามืดตลอดกาล
ขบวนร้อยกว่าคนเดินตามแนวแสงแดด มีคนตายไม่หยุด พวกหมียักษ์ชั่วร้ายมักจะเข้ามาก่อกวน หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็จะโดนมันคาบไปหนึ่งคน แต่ก็มีคนเดินอยู่บนผิวน้ำแข็งที่ลื่นใสแล้วสูญหายไปกะทันหัน มีรอยแยกพอกับขนาดคนราวกับอ้าปากกินคนได้ลึกจนไม่เห็นก้น มีแต่เสียงก้องสะท้อนของเพื่อนในร่องน้ำแข็งไม่ยอมจางหายไป
คนยิ่งตายมากเถียนเซียงจื่อก็ยิ่งฮึกเหิม แผ่นดินเทพไม่ใช่ว่าคนเดินดินธรรมดาคนไหนก็ไปถึงได้ มีเพียงเขาที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่จึงสามารถเหยียบแผ่นดินนั้นได้อย่างจริงจัง
กลางคืนที่ไม่รู้จบได้สิ้นสุดแล้ว ที่มาแทนที่นั้นคือกลางวันที่ไม่มีวันสิ้นสุด เถียนเซียงจื่อจ้องมองพืชสีเขียวที่ถูกหุ้มอยู่ในหิมะน้ำแข็งสามารถคืนชีพกลับมาอย่างรวดเร็ว แผ่ขยายกิ่งก้านหาตำแหน่งแสงอาทิตย์ นี่เป็นเรื่องที่เทพจึงสามารถดลบันดาลได้ พวกเขาไม่พอใจที่จะเห็นแค่หิมะน้ำแข็งที่มีแต่สีขาว ดังนั้นจึงแช่พืชไว้ในน้ำแข็งรอจนหิมะละลายจึงคืนชีพกลับมาอีก
นี่คือคำอธิบายเกี่ยวกับพืชขั้วโลกเหนือของเถียนเซียงจื่อ ขณะที่เพื่อนคนหนึ่งถูกหมีขาวตบจนกระดูกซี่โครงหักขาดไปครึ่งหนึ่ง ได้แค่ร้องโหยหวนรอความตาย ระหว่างความเจ็บปวดได้กินดอกไม้สีเหลืองเหล่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าค่อยๆมีสติกลับคืนมาไม่ร้องโหยหวนอีก ราวกับลืมความเจ็บปวดไปแล้วสามารถนอนหลับให้สบายได้ การค้นพบนี้ยิ่งทำให้หาหมายเหตุในคำพูดของเถียนเซียงจื่อได้ ถึงแม้คนนั้นได้ตายไปในที่สุด
ดวงอาทิตย์ยังอยู่บนท้องฟ้าไม่มีการตกดิน ฟ้าดินราวกับเปลี่ยนเป็นกลางวันตลอดกาล เถียนเซียงจื่อนำพวกเขาเร่ร่อนอยู่ในฮวงหยวนโบราณครึ่งปีเต็มๆ ขณะที่เพื่อนสองคนสุดท้ายก็ล้มลงไปเถียนเซียงจื่อก็ล้มป่วยลง คนแก่ที่ในสายตาของซีถงคล้ายดังเทพนั้น หลังจากร้องตะโกนว่า“ไป๋อวี้จิง”สองครั้งแล้วก็จากเขาไป
พวกเราไม่ใช่คนมีวาสนาถึงแม้คลำเงาแดนฟ้าได้แล้วแต่ก็ยังเข้าประตูไปไม่ได้ ชีวิตมนุษย์ร้อยปีเสียแรงตักอยู่แต่เงาดวงเดือน ฟ้าเอ๋ย เจ้าช่างไม่ยุติธรรมเลย คนที่ไร้ยางอายเช่นอวิ๋นเยี่ยสามารถเข้าไปแดนฟ้าได้ก็ยังไม่ไป ทำไมคนที่ศรัทธายิ่งนักเช่นข้ากลับถูกขวางอยู่นอกประตู เสียงที่เจ็บปวดของเถียนเซียงจื่อยังสะท้อนอยู่ในฮวงหยวน พวกหมีขาวที่ชอบกินซากศพวิ่งเข้ามาอีกแล้ว วิ่งมาอย่างรวดเร็ว
ซีถงวนเวียนอยู่ระหว่างความฝันกับความจริงคนเดียว จนกระทั่งหมียักษ์ตัวนั้นยกเท้าหน้าฟาดลงมาที่เขา สัญชาตญาณนักรบทำให้เขาหลบได้เอง ดาบวิเศษที่ปักพื้นวาดผ่านคอหมีขาวทำให้หัวที่ใหญ่เบ้อเร่อกลิ้งหล่นลงมา ต้องรีบจากไปไม่เช่นนั้นจะมีหมีขาววิ่งเข้ามาอีกมาก เวลานี้เป็นกลางวันที่ไม่รู้จบทั้งยังมีหมาป่าอีก ซีถงที่ระหว่างนี้ฆ่าหมีไปแล้วนับไม่ถ้วนทั้งฆ่าหมาป่าไปแล้วนับไม่ถ้วนเหมือนกัน ฉุกคิดขึ้นได้ถึงสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยกำชับให้เขาทำเรื่องหนึ่งว่าให้เขานำหนังหมีขาวชั้นดีกลับไปสักสองสามผืน
แสยะปากร้องไห้แบบไร้เสียงพร้อมถลกหนังหมีขาวด้วยน้ำตา ไม่รู้ว่าหนังหมีขาวไร้หัวผืนนี้จะถูกรสนิยมอวิ๋นเยี่ยไหม เขานึกเสียใจที่ตัวเองไปขอสมุดโน้ตเหล่านั้นจากอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยบอกว่านี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย ทำไมตัวเองยังจะมาที่นี่อีก
พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายฝังร่างที่ฮวงหยวนทีละคน อาจารย์ก็ตายแล้ว ปิศาจสีขาวเหล่านี้ไม่ยอมให้เหลือกระทั่งซากศพ แดนเทพเป็นอะไรกันแน่ ขณะที่ถลกหนังก็มาอีกสองตัว ซีถงยังคงฆ่าต่อ ครั้งนี้ไม่ได้ตัดหัวเพียงแต่ใช้หลาวแหลมแทงเข้าตาหมียักษ์จนสมองเละเป็นโจ๊ก รับปากแล้วต้องทำให้ได้แม้จะตายก็ต้องทำสิ่งที่เพื่อนกำชับให้สำเร็จ ซีถงเป็นคนรักษาคำมั่นสัญญา
ซีถงลากเลื่อนเดินหน้าอย่างยากลำบากที่ฮวงหยวน บนเลื่อนนั้นเป็นซากศพที่มีกลิ่นแล้วของเถียนเซียงจื่อ ทั้งมีหนังหมีสีขาวอีกสี่ห้าผืน เขารู้สึกถึงความอบอุ่นแล้ว ทำให้เขามีความรู้สึกว่าได้หนีรอดชีวิตออกมาได้แล้ว
ครั้งแรกที่เห็นป่า เขาตัดฟืนแห้งไว้กองหนึ่ง วางซากศพเถียนเซียงจื่อไว้บนกองฟืนแล้วจุดไฟ เปลวไฟกลืนกินร่างที่ผอมแห้งของเถียนเซียงจื่ออย่างรวดเร็ว มองดูกลุ่มควันหนาทึบที่ลอยขึ้นไป เขาตะโกนร้องเสียงดังว่า“ไป๋อวี๋จิง” อธิษฐานด้วยความจริงใจให้วิญญาณของอาจารย์ไปถึงแดนเทพที่เขาใฝ่ฝันมากที่สุด