เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 39 ความรู้สึกของคนขึ้นครอง
ฉางอันยิ่งวันยิ่งเลอะเทอะพวกปิศาจมารร้ายต่างออกมาเริงระบำ เวลานี้อวิ๋นเยี่ยนับถือหลี่ซื่อหมินสุดซึ้งที่สามารถเล่นปา**่โยนบอลคนเดียวได้แปดลูก สมาคมชั่วร้ายตามบันทึกประวัติศาสตร์มีจริง บูเช็คเทียนอาศัยพวกนี้ที่มีทุกหนทุกแห่งทำให้สมคบกับหลี่จื้อ เขาเป้ยเป้ยซันของหลี่เฉินเฉียงก็ราวกับไม่ได้หลุดพ้นจากความเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ กลุ่มต่ำต้อยที่สุดสามารถทำเรื่องที่ศัตรูหลี่ซื่อหมินนับไม่ถ้วนล้วนใฝ่ฝันอยากทำสำเร็จ การผนึกกำลังกับพวกเขามีผลลัพธ์ยากที่จะคาดเดา ตระกูลอวิ๋นขอไม่แตะต้องด้วยพราะแตะต้องไม่ไหว
ม้าต่างวิ่งจากชายแดนเข้าตลาดเดินอยู่ในตลาดซีซื่อ เสียงร้องตะโกนยาวๆดังขึ้น สาวหูเดินรอบอวิ๋นเยี่ยเร่ขายสุราอีกทั้งพ่อค้าหูโชว์พรมสวยงามให้อวิ๋นเยี่ยดู นายทาสลากสาวหูที่ยังเด็กอยู่โชว์รูปร่างที่สวยงามราวกับโดนมนต์สะกดให้อยู่นิ่งยืนเฉยโดยไม่ไหวติงอยู่กับที่ พวกหนุ่มเสเพลต่างถือโอกาสใช้มือไม้แตะต้องบนตัวสาว สาวหูก็ลืมที่จะต่อต้านคงปล่อยให้ทำตามใจชอบ อวิ๋นเยี่ยยังเห็นนักเลงคนหนึ่งแย่งพรมออกจาพ่อค้าหูแล้ววิ่งหายไป พ่อค้าหูก็ยังอยู่เฉย
ครั้นแล้วเสียงร้องไห้ก็ดังระงมขึ้นมา เหล่าพ่อค้าหูต่างใช้ศีรษะโขกพื้นโขกจนแตกแล้วยังเอาเลือดทาหน้าดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ประหลาดมากที่คนทำเช่นนี้มีแต่พ่อค้าหูผมดำ พวกพ่อค้าหูผมหลากสีต่างแสดงอาการชอบอกชอบใจทั้งยังยกมือยกไม้สั่งการด้วยจิตใจที่มีความสุขยิ่ง พ่อค้าหูที่นอนกลิ้งร้องไห้บนพื้นชนถูกเท้าม้า หากไม่ใช่เหล่าจวงหูไวตาไวลากเขาออกมาจากเท้าม้า ศีรษะเขาต้องกระแทกถูกโกลนม้าที่ใหญ่ขนาดหม้อดินของอวิ๋นเยี่ยแน่นอน ตลาดวุ่นวายกันหมด พวกมือตีปรากฏตัวออกมาเป็นฝูงต่างถือไม้กระบองตีดะทั้งซ้ายขวา ตีพลางร้องพลาง “พ่อแม่ตายไปแล้วหรือถึงร้องไห้โวยวายขนาดนี้ พวกสุนัขไม่รับประทานทำให้พวกข้าโดนด่าตั้งแต่เที่ยง พวกเวรแท้ๆ”
พ่อค้าหูโดนตีจนขยาดทำให้แต่ละคนเบียดเข้ามาทางอวิ๋นเยี่ย นับได้ว่ามีสายตาดีมากที่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนสูงศักดิ์พวกมือตีวายร้ายคงไม่กล้าเข้ามา ทั้งจัดการอย่างมีระเบียบโดยให้เด็กคนชราผู้หญิงเข้าใกล้อวิ๋นเยี่ย ส่วนพวกหนุ่มๆอยู่ด้านหลังคอยรับกระบอง
ทนดูไม่ไหวจริงๆโดยเฉพาะเห็นพวกมือตีเล่นงานแต่ที่สำคัญ กระบองขนาดเท่าแขนฟาดลงไปโดนสองทีอาจเสียชีวิตได้ จึงโบกมือให้เหล่าจวง เหล่าจวงขึ้นไปใช้เท้าเตะคนที่ตีรุนแรงที่สุดทีเดียวตีลังกาไป ตะโกนว่า “หยุดทุกคน โหวเหยียมีอะไรจะถาม”
มือตีคนนั้นตีจนเป็นนิสัย คลานขึ้นมาอ้าปากจะด่าแต่เห็นลายปักที่มุมเสื้อของเหล่าจวงรีบสงบทันทีแล้วยืนนิ่งอยู่ที่นั่น เหล่าจวงขึ้นไปตบหน้าคนนั้นว่า “ไอ้นี่ ดีที่ยังไม่ทันด่า ไม่เช่นนั้นจะเราะฟันให้ร่วงหมดปาก”
จนทุกคนต่างสงบแล้วอวิ๋นเยี่ยจึงพูดกับคนหูสูงอายุว่า “ทำไมหรือ แผ่นดินบ้านเมืองของพวกเจ้าถูกยึดครองไปแล้วหรือ”
คนหูแสดงสีหน้าเจ็บปวดลูบคลำหน้าอกทำความเคารพ “ท่านชายสูงส่งที่มีความเมตตา แผ่นดินบ้านเมืองพวกเรา เมกกะที่ดังสวรรค์ถูกคนเถื่อนทรยศตีแตกแล้ว บ้านเรือนเรือกสวนพวกเราถูกทำลายหมดสิ้นกลับไปไม่ได้อีกแล้ว อัลเลาะห์ โปรดช่วยชีวิตข้าทาสของท่านด้วย” พูดจบแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่นักหรอก มูฮัมหมัดไม่ได้เข่นฆ่าราษฎรแต่กลับคุ้มครองทรัพย์สินเรือกสวนของพวกเจ้า ที่ตายไปนั้นเป็นเพียงพวกทำหน้าที่นักบวชต่างๆทั้งยังพวกพ่อค้าที่ใหญ่ที่สุดกับขุนนาง หากพวกเจ้าไม่ใส่ใจกับวิหารไม่เค่อไป๋ที่ถูกทำลายมากนักก็จะไม่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร” อวิ๋นเยี่ยยักไหล่ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ ปลอบโยนพวกคนน่าสงสารที่ทำการค้าอยู่ในต้าถัง
มองดูถนนหนทางในฉางอันที่เห็นคนเดินกันพลุกพล่านแล้วอวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกไม่เป็นจริงขึ้นมากะทันหัน คนป่ายุโรปเวลานี้ไม่มีคุณสมบัติกระทั่งโดนผู้ดูแลเมืองฉางอันทุบตี แม้แต่ชาวนาชาวไร่บ้านนอกที่เข้าเมืองหากมีปัญหากับพ่อค้าหูก็ไม่ต้องพูดเลย คนสุดท้ายที่ชนะนั้นคือชาวไร่ชาวนาไม่ใช่พ่อค้าหูที่มีเงินทองเต็มกระเป๋า ในยุคสมัยที่แม้แต่การรับของขวัญจากพ่อค้าหูยังถือว่าเป็นเรื่องน่าขายหน้านั้น อวิ๋นเยี่ยยืดหลังตรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คงมีเพียงผู้ขึ้นครองจึงสามารถให้ความเห็นใจคนอ่อนแอได้ อารมณ์อวิ๋นเยี่ยดีมากเตรียมที่จะโปรดสัตว์สักครั้ง
เห็นอวิ๋นเยี่ยเตรียมลงม้าก็มีคนหูคุกเข่าที่พื้นทันทีใช้หลังตัวเองเป็นที่เหยียบแทนแท่นหิน หากเป็นคนถังอวิ๋นเยี่ยต้องปฏิเสธแน่นอนแต่เมื่อเป็นคนหูก็ช่างเถอะ
เหยียบหลังคนหูลงม้าแล้วฝูงคนก็แยกออก กลุ่มนายห้างได้ข่าวรีบรุดมาถึงล้วนเป็นคนคุ้นหน้าทั้งนั้น หัวหน้าก็คือเหล่าซูที่เคยไปเจรจาในบ้านตระกูลอวิ๋นคราวที่แล้ว ค้อมตัวทำความเคารพแต่ไกล “พวกลูกน้องก่อความวุ่นวายโดนโหวเหยียจับได้คาหนังคาเขา ช่วยไม่ได้ต้องยอมถูกตีถูกลงทัณฑ์ ขอให้โหวเหยียลงมือเบาหน่อย ฝ่ามือหลังมือล้วนเป็นเนื้อ คงให้แล่ไม่ไหว”
“ใครจะไปสนใจเรื่องภายในของเจ้า ข้าถามเจ้า พวกร้านที่มีป้ายยี่ห้อคงไม่ได้ทำให้ราชวงศ์เสียหายกระมัง” อวิ๋นเยี่ยยังจำเรื่องคราวก่อนที่เอาชื่อหลีซื่อหมินไปขาย “โหวเหยียขอให้วางใจไม่ว่าใครได้ป้ายยี่ห้อต่างเห็นว่าสำคัญมากกว่าชีวิต ป้ายยี่ห้อทองเหลืองนั้นข้านึกอยากนอนกอดไว้ด้วยซ้ำ ใครจะกล้าไปทำชุ่ยๆให้เสียหาย วัสดุที่ให้สร้างตำหนักว่านหมินในพระราชวัง พวกข้าล้วนแต่คัดเลือกแล้วคัดเลือกอีกตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก หากอวิ๋นโหวเห็นมีการใช้ของเลวแทนของดีให้เล่นงานข้าได้ ตำหนักว่านหมินเป็นเรื่องใหญ่ที่เหล่าพ่อค้าคหบดีร่วมกับราชสำนักเป็นครั้งแรก หากใครกล้าทำผิดพลาดพวกข้าจะจับมันมากลืนกินตัวเป็นๆทีเดียว”
เหล่าซูมีรัศมีเฉิดฉายเต็มหน้า การค้าที่ขาดทุนครั้งนี้ทำจนจิตใจเบิกบานสมองปลอดโปร่ง หากมีธุรกิจเช่นนี้เพียงปีละรายคงมีอายุยืนถึงร้อยปียังไม่ยอมตายแน่นอน
“ข้าได้ยินว่ากรมโยธาธิการให้ป้ายยี่ห้อคนซื่อใจดีแก่พวกเจ้า ได้ยินว่าพวกเจ้าต่างเก็บซ่อนไว้ในบ้านไม่ให้ใครเห็น มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ เช่นนี้ไม่ดีแน่ เจ้าซ่อนไว้แล้วใครจะรู้ว่าเจ้าเป็นคนซื่อใจดี” อวิ๋นเยี่ยยิ้มหยอกเล่น
กลุ่มนายห้างได้ยินแล้วต่างหัวเราะงอหาย พ่อค้าทั้งนั้น ขออย่าได้มีเรื่องเกี่ยวพันกับผลประโยชน์แล้ว แต่ละคนต่างเป็นคนดีที่เข้ากับสถานการณ์ได้
พออารัมภบทจบอวิ๋นเยี่ยก็ว่า “พวกคนหูเหล่านี้ก่อกวนระเบียบตลาดทำให้วุ่นวายน่าแค้นเคืองนัก แต่ดูพวกเขาช่างน่าสงสารจึงได้ช่วยกันไว้ บ้านเดิมของคนพวกนี้ถูกทหารทรยศยึดไปทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดจึงได้ร้องไห้คร่ำครวญ เหล่าซูช่วยหาที่ทางให้พวกเขาได้ร้องคร่ำครวญสักพัก อย่าได้ลงโทษเลยจะดีไหม”
เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นนายลูกน้องโดยตรงกับพวกเหล่าซูย่อมใช้คำพูดแข็งกร้าวนักไม่ได้ แค่อาศัยยศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่าแล้วเข้าสอดแทรกโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ก็จะเป็นนิสัยปัญญาอ่อนเกินไป
“ในเมื่ออวิ๋นโหวออกปากแล้วย่อมต้องได้ วันนี้พวกหูถือว่าดวงดีที่ได้พบกับผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ไม่เช่นนั้นต้องโดนถลกหนังทิ้ง แต่ละคนไม่รู้ธรรมเนียมไร้มารยาท ตลาดใช่เป็นสถานที่มาร้องไห้คร่ำครวญกันหรือ ยังไม่รีบไปตลาดม้าอีกจะต้องให้ข้าเชิญหรือ”
หนุ่มล่ำสันออกท้วมคนหนึ่งมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี พูดจายกหางให้เกียรติอวิ๋นเยี่ยอย่างเต็มที่แต่ใช้วาจาโหดร้ายตะคอกพวกหูอย่างรุนแรง ฝีมือการอยู่วงการงานหลวงลื่นไหลจนเห็นได้อย่างชัดเจน
จนพวกหูร้องห่มร้องไห้ไปตลาดม้าแล้ว คนหูที่มีอายุควักจานเงินที่มีลายละเอียดงดงามจากอกเสื้อยกชูขึ้นสูง มอบให้อวิ๋นเยี่ย นี่เป็นความเคารพสูงสุดของอิสลามหากไม่รับก็ไม่ถูกต้อง จึงยื่นมือรับมาบอกคนหูว่า “หากตระกูลเจ้าไม่ใช่พวกยศศักดิ์สูงก็ไม่มีปัญหามาก มูฮัมหมัดคงอยู่ไม่พ้นปีหน้ารอปีมะรืนค่อยกลับไปเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีเรื่องมีราวอีก”
คนหูชราเดินจากไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะรู้เรื่องที่ไกลออกไปถึงหมื่นลี้ แต่ก็ไม่พบเหตุผลที่อวิ๋นเยี่ยโกหกพวกเขา ได้แต่ซ่อนเรื่องนี้ไว้ในใจ รอคอยการพิสูจน์
ปฏิเสธการเลี้ยงอาหารของพวกเหล่าซูแล้วโยนจานให้เหล่าจวง บอกว่ามอบให้เจ้าแล้วก็ขี่ม้ากลับบ้าน ในใจอิ่มเอิบไปด้วยความยินดีจากการที่ได้ทำความดี กลับถึงบ้านแล้วอวิ๋นเยี่ยเล่าให้ท่านย่ารู้ว่าหลี่อันหลานไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบแต่มีกลุ่มคนช่วยเหลืออยู่ ใครจะรู้ท่านย่าบอกอวิ๋นเยี่ยอย่างไม่ได้ประหลาดใจเลยว่า “หลานรัก โซ่วหยางเล่าบางเรื่องให้ข้ารู้แล้วทั้งขอร้องไม่ให้ข้าบอกเจ้า บางครั้งนางไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางรู้อยู่ว่าคนเหล่านี้น่ากลัวมาก ก่อนหน้านี้นางพบว่าคนพวกนั้นจะใช้เจ้า นางจึงสลัดเจ้าไปเพราะเกรงว่าเจ้าจะถูกคนพวกนั้นใช้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้ไปโทษนางเลย มีแม่ที่ทั้งโง่ทั้งดื้อจนนางไม่มีวิธีแก้ไขอะไรได้เลย”
“โง่ เรื่องเช่นนี้มีเหตุผลอะไรที่จะอดทน หากมัวแต่อดทนพวกเขาก็จะได้คืบเอาศอก ครั้งนั้นหากนางบอกข้าก็จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ น่ากลัวนางเองก็คงคิดอาศัยคนเหล่านั้นเพื่อแย่งชิงสิทธิอิสรเสรีของนางเอง ไม่เชื่อท่านลองวางตัวซินเย่ว์อยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นดู ซินเย่ว์จะเป็นคนแรกที่ขอความช่วยเหลือจากข้าโดยไม่ลังเล กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง เรื่องนี้ขอจบเพียงเท่านี้ ท่านย่า ท่านช่วยหาพวกคนดูแลเด็กทารกที่เชื่อถือได้ คนข้างตัวนางห้ามใกล้ชิดเด็ก ข้าจะหาคนหน่วยข่าวกรองที่เกษียณแล้วเป็นองครักษ์ติดตัวเด็ก หากใครกล้าคิดใช้ลูกข้าเป็นตัวหมาก ข้าจะทำให้เขาแม้ตายก็ยังไม่เป็นสุข”
อวิ๋นเยี่ยไม่ยินดีที่จะเสียแรงกายแรงใจในเรื่องโซ่วหยางอีก หลี่ซื่อหมินได้เริ่มต้นแล้ว ตัวเองอย่าไปยุ่งมากจะดีกว่า
“ถูกต้องแล้วที่เป็นเช่นนี้ ใครมาใช้เหลนข้าเล่นการบ้านการเมืองข้าจะไม่ยอมวางเฉยแน่นอน”
นึกถึงเหลนน่าสงสารที่ใกล้คลอดของตัวเอง แม้แต่ท่านย่าที่ปกติใจดีมีเมตตาก็ยังออกอาการกราดเกรี้ยวขึ้นมา
บ้านอวิ๋นมีเสียงอึกทึกครึกโครมตั้งแต่เช้าตรู่ ขบวนการออกเดินทางของเจ้าบ้านครั้งยิ่งใหญ่นี้หาได้ยาก ทั้งธงทิว หน่วยคุ้มกันพร้อมสรรพ สาวใช้บ่าวไพร่พร้อมสรรพ การเดินทางไกลย่อมต้องแสดงออกถึงบารมีของตระกูลอวิ๋น นี่เป็นขั้นตอนที่ซินเย่ว์ชื่นชอบมากที่สุด ปกติการแต่งกายเป็นฮูหยินตราตั้งชั้นสี่นั้นจะทำให้คนนินทา เวลานี้จะออกนอกบ้านแล้ว การแต่งโชว์เดินแกว่งไกวหน้าบ้านตัวเองเป็นเรื่องจำเป็นมาก
“รีบขึ้นรถเร็ว ตะวันขึ้นสูงโด่งแล้ว หากไม่เริ่มเดินทางอีกก็จะไปไม่ไหวแล้ว” อวิ๋นเยี่ยประคองซินเย่ว์ที่เดินเหมือนเต่าคลานไปที่รถม้า อากาศร้อนจัดสวมชุดฮูหยินตราตั้งที่หนาหนักเช่นนี้ไม่กลัวผดจะขึ้นหรือ
รถม้าขยับแล้ว ด้านหน้าเป็นหน่วยคุ้มครองสวมชุดเกราะกรุยทาง ตามด้วยขบวนรถม้ายาวเหยียด ชั่วยามที่แล้ว หน่วยสำรวจเส้นทางได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ไปสะพานป้าเฉียวสมทบกับขบวนของเฉิงกับหนิวอีกสองขบวน
อวิ๋นเยี่ยทำเป็นมองไม่เห็นแววตาที่น่าสงสารของวั่งไฉที่พยายามเข้าหาอวิ๋นเยี่ยให้ช่วยเหลือเขา ซ่านอิงขี่ม้าตัวใหญ่บนอานผูกบังเ**ยนของวั่งไฉ ปากวั่งไฉมีตะกร้อสานด้วยเชือกสวมอยู่นึกอยากร้องก็ยังร้องไม่สำเร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปกินอาหารมากมายที่พวกพ่อค้ายื่นให้
ซ่านอิงสวมชุดเกราะอ่อนเต็มตัวทั้งมีคันธนูสะพายหลัง กระเป๋าอานม้ามีกล่องลูกธนูสองกล่องคาดดาบไว้ที่เอว ด้านข้างม้ายังแขวนทวนใหญ่ ปลายทวนมีแสงแวววับ ทำให้เหล่าทหารเก่าหันหลังมองไม่หยุดหย่อน
“โหวเหยีย ท่านเอาเจ้าหนูนี่มาไว้ที่บ้านเราด้วย ดีจัง พวกข้ากำลังขาดคนทะลวงฟันที่เก่งกาจ ตอนนี้มีพร้อมเลยทีเดียว พวกคนแก่กลับมาคราวนี้จะได้ดื่มสุรายามชรากัน”
“ยังไม่รู้เลย เจ้าหนูนี่นิสัยพยศเชื่องยากไม่รู้จะเอาอยู่ได้หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยไม่มั่นใจนัก
“โหวเหยียวางใจได้ ขอแค่ใครมาถึงบ้านเราแล้วก็จะไม่ยอมวิ่งเพ่นพ่านไปไหนอีก พวกคนของข้าล้วนแต่พยศทั้งนั้น พอถึงบ้านแล้วก็ไม่มีความคิดจะวิ่งไปข้างนอกแม้แต่นิด เจ้าหนูนี่ก็ไม่ยกเว้นหรอก” เหล่าเจียงยกน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่หรี่ตาด้วยความรื่นรมย์ พร้อมกับกลืนน้ำสุราที่เผ็ดร้อนลงท้องไป