เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 40 วิจารณ์มั่วซั่ว
ในเมื่อตระกูลอวิ๋นใช้ไม้เกียรติยศอี๋จ้างย่อมต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ อวิ๋นเยี่ยเป็นขุนนางบู๊ย่อมนั่งรถไม่ได้ การขี่ม้าจึงเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น ถึงต้าถังแล้วเขาจึงได้รู้ว่าอี๋จ้างที่น่าหัวเราะนั้นใช้ทำประโยชน์อะไรได้ ขุนนางออกนอกเมืองหลวงจะต้องมีอี้จ้างเบิกทาง การต้อนรับแขกสำคัญก็ต้องใช้อี๋จ้างมาต้อนรับ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทเขา
ทุกครั้งที่หลี่กังกลับมาบ้านอวิ๋นจะโวยวายตลอดว่าตระกูลอวิ๋นไร้มารยาท เขามาแล้วไม่มีอี๋จ้างอะไรเลย หากรู้ถึงพวกขุนนางฉางอันคงถูกหัวเราะเยาะ เหล่าเฉิงก็เคยโวยเช่นนี้เหมือนกัน
ระยะหลังอวิ๋นเยี่ยเลยนำอี๋จ้างตั้งไว้ที่ประตูใหญ่ หากใครมาก็ให้บ่าวไพร่ยกขึ้นต้อนรับ ใครจะรู้ว่าแทบจะทำให้นายอำเภอหลานเถียนที่มาเยี่ยมเยียนหัวใจวายตาย เห็นอี๋จ้างแต่ไกลก็รีบเผ่นหนี ทั้งยังเขียนจดหมายร้องทุกข์อวิ๋นเยี่ยว่าบ้านอวิ๋นจะทำให้เขาเดือดร้อน เรื่องนี้เลยกลายเป็นเรื่องตลกในเมืองฉางอันอีก อี๋จ้างของตระกูลอวิ๋นกลายเป็นของไร้ค่าในทันใด ด้วยเหตุนี้อวิ๋นเยี่ยเลยโดนฮ่องเต้ออกโองการตัดเงินปีไปหนึ่งปี
เรื่องในโลกนี้ไม่ว่าเรื่องใดล้วนราวกับว่าเสียแล้วกลับได้เพิ่ม เมื่อมีทางร้ายก็จะมีทางดีอีกด้าน พออี๋จ้างไร้ค่า แขกเหรื่อบ้านอวิ๋นก็มากขึ้นมาทันที ไม่มีใครยกเรื่องอี๋จ้างมาพูดกันอีก คนทั้งฉางอันแม้แต่ขอทานก็ยังอยากมา อยากมาประตูบ้านอวิ๋นเพื่อเห็นสิ่งของที่วิจิตรพิสดารเหล่านี้
อวิ๋นเยี่ยนึกอยากทำให้บ้านอวิ๋นออกแนวชาวบ้าน แต่พบกับแรงต้านมหาศาล นำโดยท่านย่าที่เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมโบราณสุดขั้วรวมหัวลงคะแนนคัดค้านความคิดที่ไร้สาระของอวิ๋นเยี่ย การออกเดินทางครั้งนี้เป็นการตีคืนของพลังอนุรักษ์นิยมโบราณสุดขั้ว อะไรที่นำไปได้ล้วนนำไปหมด สาวใช้แปดคน บ่าวไพร่สิบหกคน ทั้งยังคนแก่เลี้ยงทารกอีกสองคน เด็กชายกำพร้าที่ตระกูลอวิ๋นเลี้ยงไว้อีกสี่คน พวกทหารที่มีฝีมือล้วนไปกันเกลี้ยง แม้แต่ทหารชราเกษียณที่ทำงานเบาๆในโรงกลั่นสุราก็ยังไม่เว้น
แค่เสบียงกรังก็บรรทุกไปเจ็ดแปดคันรถ อีกทั้งกระโจม โต๊ะเก้าอี้ หมอนผ้าห่มพรม ตะเกียง ถังส้วม ก็อีกห้าหกคันรถ ม้าลากรถต้องการเฉพาะที่สวยงามไม่ต้องมีกำลังก็ได้ จนกระทั่งเหล่าเฉียนขี่ลาตามมา อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าเมืองฉางอันมีเรื่องตลกให้เล่ากันอีกแล้ว
เฉิงฉู่มั่วไม่ต้องนับ เขาพาภรรยาน้อยมาจึงไม่มีสิทธิ์เฉิดฉาย ตระกูลหนิวก็เป็นขบวนรถม้ายาวเหยียด เสี่ยวหนิวฮูหยินยังเอิกเกริกกว่าบ้านอวิ๋นอีก ผู้หญิงทั้งสามคนเจอกันคุยกันจ้อกแจ้กไม่ยอมหยุด สุดท้ายแล้วตกลงกันว่ารถม้าบ้านอวิ๋นใหญ่ที่สุดสบายที่สุด ผู้หญิงทั้งสามคนจึงมุดเข้าไปในรถม้าใหญ่ของบ้านอวิ๋น ผ่านไปสักพักซินเย่ว์ยังเรียกป้าดูทารกของบ้านอวิ๋นเข้าไปอีกคน คราวนี้เสียงกระทบกันของไพ่มาจองก็ดังขึ้น
ขบวนรถไปถึงทางเอกอย่างรวดเร็ว ทางเอกของฉางอันไปลู่หยางทั้งกว้างทั้งเรียบ สองฝั่งถนนปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้เต็ม การมีร่มเงาต้นไม้ทำให้การเดินทางกลายเป็นความสุขอย่างหนึ่ง มองดูบ้านไร่ปลายนาสองข้างทางทั้งทุ่งกว้างที่ไม่รู้จบทำให้จิตใจปลอดโปร่งยิ่งนัก
“เยี่ยจื่อ ทำไมพวกเราจึงต้องไปวัดเส้าหลินเล่า การสนทนาของเจ้ากับบิดาข้า จนป่านนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจ หลังจากเจ้าไปแล้วมารดาข้าร้องไห้ทั้งคืนว่าบิดาข้าไร้น้ำใจ ตัวเองนำทัพอยู่ข้างนอกเลยไม่สนใจชีวิตคนทั้งบ้านว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร บิดาข้าต้องคอยปลอบโยนทั้งคืน”
สมองของเฉิงฉู่มั่วท่าจะเริ่มหมดสภาพ จนป่านนี้ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ หนิวเจี้ยนหู่เห็นเฉิงฉู่มั่วยังงุนงงอยู่จึงบอกว่า “ครั้งนี้ ลุงอาพวกเราไม่รู้ทำไมจึงหามอวิ๋นเยี่ยขึ้นย่างไฟ แต่ก่อนไม่มีใครยอมใคร เจอหน้ากันต่างคอยจ้องฟันกัน เดี๋ยวนี้กลายเป็นดี สามัคคีชุมนุมกัน ตระกูลอวิ๋นได้เป็นเบอร์หนึ่งกลับยิ้มย่องผ่องใสยอมให้สั่งการยอมกันหน้าชื่นตาบาน จะต้องมีปัญหาอะไรข้างในแน่นอน ลูกพี่พวกเราอายุน้อยหากไม่ใช่เพราะลุงเฉิงดูออกก็ถูกหลอกกันไปแล้ว”
ได้ยินหนิวเจี้ยนหู่พูดเช่นนี้แล้วเฉิงฉู่มั่วหน้าแดงเรื่อบีบเสียงพูดว่า “ไอ้แก่พวกนี้ดูเรากระโดดเข้ากองไฟไม่เตือนเลยสักนิดทั้งยังช่วยคนอื่นเล่นงานเราอีก”
เขาถามอวิ๋นเยี่ยอยากฟังความเห็นอวิ๋นเยี่ยในเรื่องนี้ เขาออกจะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องถูกคนที่เรียกลุงเรียกอาทั้งหลายรวมหัวกันมาเล่นงาน
“ฉู่มั่ว เจี้ยนหู่พูดถูกแล้ว พวกลุงอาทั้งหลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถึงแม้ยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขา แต่ข้าก็ราวกับรู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้ประสงค์ร้าย เรียกว่าเป็นการลองเชิงน่าจะเหมาะสมกว่า ต้องรู้ว่าการกลับไปหลิ่งหนานครั้งนี้ ลูกมือที่สำคัญล้วนเป็นคนของพวกเขา เงินทองส่วนใหญ่พวกเขาก็เป็นคนจ่าย หากข้ามีความคิดเลวร้ายอะไร พวกเขาก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบ ไม่มีใครยอมทำเช่นนี้หรอก ทุ่มเงินหมดกระเป๋าแล้วยังต้องเสี่ยงชีวิต การออกจากฉางอันครั้งนี้ก็เพื่อให้ใจนิ่งสงบ คิดทบทวนให้ละเอียดถึงเรื่องราวทั้งหมดว่าพวกสุนัขจิ้งจอกเฒ่าทั้งหลายกำลังดีดลูกคิดอะไรอยู่”
ในเมื่อไม่มีเป้าหมายไม่มีกำหนดการ ขบวนรถของทั้งสามบ้านจึงเลี้ยวเข้าทางเล็กตามที่เฉิงฉู่มั่วชักนำ ถนนสายหลักแม้จะดีแต่ไม่มีวิวอะไรให้ชมมากนัก ทางเล็กลำบากหน่อยแต่มีวิวสวยงามมากมายอีกทั้งระยะทางก็สั้นกว่ามาก
ควบกันอย่างเร็วในถนนเล็กระหว่างเขา กอหญ้าข้างทางมักจะมีไก่ป่ากระต่ายป่าวิ่งออกมา เฉิงฉู่มั่วยิงธนูไม่มีพลาด แค่ไก่ฟ้าพุ่งขึ้นมาก็จะโดนธนูเขายิงตกลงมา หนิวเจี้ยนหู่ก็ไม่เลวถึงขนาดยิงกระจงตัวหนึ่งตาย อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าตัวเองไม่มีปัญญาเรื่องนี้จึงกำหมัดยิ้มดูเขาทั้งสองคนแสดงฝีมือยิงธนูกัน
พวกเหล่าเจียงหรี่ตาไม่สนใจ น้ำเต้าสุราถูกส่งไปมาในกลุ่มเพื่อนผองน้องพี่เก่าแก่ แต่ละคนต่างเมาจนได้ที่ ไม่ได้สนใจเรื่องวุ่นวายของคนหนุ่ม
ซ่านอิงดูถูกการโชว์อ๊อฟของเฉิงฉู่มั่วอย่างมาก แค่ปา**่เล็กๆไม่ได้น่าสนใจเลย คงจูงวั่งไฉขึ้นเขาลงเนินฝึกซ้อมร่างกาย วั่งไฉไม่เคยทนทุกข์เช่นนี้มาก่อน นึกอยากวิ่งไปเบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ยแต่สู้แรงซ่านอิงไม่ได้ ได้แค่หอบแฮ่กวิ่งตามไป ด้วยเหงื่อท่วมตัว
วั่งไฉเป็นสิ่งบันเทิงใจของบ้านทั้งยังเป็นของรักของหวงอีก อวิ๋นเยี่ยทำเป็นมองไม่เห็น ซินเย่ว์ดูจนทนไม่ไหวจึงให้สาวใช้ส่งชามน้ำข้าวหมากแช่เย็นให้วั่งไฉเพื่อให้มันคลายร้อน
“ไม่ได้ มันวิ่งมาร้อนๆ กินของเย็นไม่ได้” ซ่านอิงปฏิเสธความหวังดีของซินเย่ว์ทั้งยังยกชามน้ำข้าวหมากขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมดเกลี้ยง วั่งไฉร้อนรนจนเอาหัวไปดุนซ่านอิงแต่ถูกเขาผลักออกไป ทิ้งชามให้สาวใช้แล้วพาวั่งไฉไปขึ้นเขาลงเนินต่อ
เขาที่อยู่ตรงหน้าคือเขาหลีซัน เป็นสถานที่โจวโยวอ๋องราชวงศ์โจวก่อควันไฟรบหยอกล้อเหล่าจูโหว เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของตัวเอง เพียงต้องการให้สาวงามหัวเราะรื่นรมย์ อ๋องโง่เง่าน่าสงสารคนนี้สุดท้ายแล้วต้องตกเป็นเชลยของคนหรง ทนทุกข์ทรมานมากมายจนตาย
น่าประหลาดมาก ทั้งเฉิงฉู่มั่ว หนิวเจี้ยนหู่ ซ่านอิง กับผู้หญิงอีกสามคนที่นั่งอยู่รอบกองไฟฟังอวิ๋นเยี่ยเล่าเรื่อง ต่างแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อเปาซื่อในการกระทำที่ทำให้ชาติย่อยยับ ซ่านอิงยังพูดว่าหากหญิงชั่วร้ายคนนี้อยู่ตรงหน้าจะต้องใช้ดาบสังหารเสีย ภรรยาอวิ๋นเยี่ย ภรรยาเสี่ยวหนิว ภรรยาน้อยเฉิงฉู่มั่วต่างเห็นด้วยกับซ่านอิง ไม่รู้ว่าคงเพราะสมองแต่ละคนเสียไปหมดแล้ว
“หากมีวันหนึ่งเพื่อให้เจ้าชอบใจแล้วข้าจุดไฟเผาบ้าน ทุกคนต่างด่าเจ้าไม่ด่าข้า ฉู่มั่ว เจี้ยนหู่ อีกทั้งเมียพวกเขาต่างว่าข้าหลงเจ้าปิศาจจิ้งจอกจนเสียสติ ต้นเหตุภัยร้ายเกิดขึ้นเพราะเจ้า แล้วมีจอมยุทธมากมายเช่นซ่านอิงมาเอาศีรษะเจ้า แล้วเจ้ายังรู้สึกว่าเจ้าสมควรตายเพราะเรื่องนี้หรือไม่”
“ข้าจะยอมให้ท่านจุดไฟเผาบ้านได้อย่างไร หากทำเช่นนั้นจริงต่อให้ถูกด่าถูกฆ่าก็สมควรทั้งนั้น ท่านคิดไม่เหมือนคนอื่นหรือเพราะหุบเขานี้มีปิศาจร้ายสิงสู่ทำให้คิดเพี้ยนไป”
คำตอบของซินเย่ว์ทำให้อวิ๋นเยี่ยเป็นไปทางสติฟั่นเฟือน ไม่ได้การวันนี้จะต้องอธิบายให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้นเปาซื่อที่น่าสงสารถูกคนก่นด่ามานานถึงเพียงนี้ วิญญาณที่ไม่สงบต่อให้ไม่อยากก่อความวุ่นวายก็ยังต้องโมโหจนออกมาก่อความวุ่นวายแน่นอน
“อะไรกันที่ว่าสาวงามทำให้ชาติล่มจม ทั้งยังโยนเรื่องทั้งหมดให้ผู้หญิงน่าสงสารที่สามีรักรับไปคนเดียว ข้าดูถูกพวกนักบันทึกประวัติศาสตร์เช่นนี้มากที่สุด เห็นชัดๆว่าผู้ชายเองไม่ได้ทำหน้าที่ตัวเองให้ดี กลับโยนขี้ใส่ตัวผู้หญิง พวกใจเสาะที่ไม่มีความรับผิดชอบตายแล้วจึงสมควร แม้แต่ชาวไร่ชาวนายังรู้ว่าหากเมียตัวเองทำชั่วตัวเองยังต้องแบกรับไว้ รู้จักพูดว่าตระกูลพ่อตาแม่ยายไม่เกี่ยวด้วยมีอะไรให้มาหาตัวเองได้เลย แต่ทำไมพอไปถึงฮ่องเต้ขุนพลแล้วเรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ ผู้หญิงคนเดียวจะไปทำอะไรได้ แค่คุยบ่นหลังเรือน รังแกภรรยาน้อย ทุบตีสาวใช้ก็พอใจแล้ว เรื่องชาติบ้านเมืองการทหารจะเกี่ยวอะไรกับพวกนางด้วย
ฉู่มั่ว เจี้ยนหู่ ซ่านอิง พวกเจ้าจะเอาเรื่องชาติบ้านเมืองการทหารมาเล่นตลกกันไหม พวกเจ้าจะให้บรรดาจูโหววิ่งไปวิ่งมาเป็นของเล่นสนุกกันไหม คงไม่หรอก ทั้งๆที่ตัวเองโง่เง่าก็ยังอยากว่าตัวเองนั้นฉลาดปราดเปรื่อง เพียงแต่โดนผู้หญิงหลอกเท่านั้น ถุย”
หนิวเจี้ยนหู่เห็นอวิ๋นเยี่ยพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เบะปากดื่มเหล้าองุ่นไปอึกใหญ่แล้วจึงพูดว่า “คนเขียนประวัติศาสตร์ไม่ผิด คนสืบต่อประวัติศาสตร์ก็ไม่ผิด การปกปิดเพื่อเบื้องบน การปกปิดเพื่อผู้สูงส่ง การปกปิดเพื่อเครือญาติ นี่เป็นกฎของมนุษย์ กฎของมนุษย์เป็นรากฐานมาทุกยุคทุกสมัย บ้านไหนเลยที่จะไม่ปฏิบัติตาม ทำไมพอมาถึงเจ้าก็หยิบเอาเหตุผลผิดเพี้ยนมาให้ร้าย ข้าจึงจะถุย”
“ใช่แล้ว คนเป็นภรรยา การแบกรับคำด่าว่าแทนสามีเป็นสิ่งสมควร ผู้ชายต้องออกไปทำมาหากิน หากเขาเสียหน้าไปแล้ว ครอบครัวจะอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นเรื่องร้ายเช่นนี้ สมควรให้ผู้หญิงแบกรับ”
ภรรยาเสี่ยวหนิวก็ออกมาว่าความคิดอวิ๋นเยี่ยไม่ถูกต้องต้องทบทวนใหม่ ทำให้ซินเย่ว์ไม่ยอมด้วย นางไม่ยินยอมให้สามีตัวเองถูกคนอื่นตำหนิติเตียน นางใช้ไม้เขี่ยกองไฟแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ก้อนดินโคลนที่ท่านฝังอยู่ไม่รู้ว่าสุกทั่วถึงแล้วยัง ข้าชักหิวแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยกำลังแหงนดูเทือกเขาดำมะเมื่อมขอโทษเปาซื่อหญิงงามที่ถูกใส่ร้ายว่าช่วยไม่ได้ ข้าพูดสู้พวกเขาไม่ได้ พวกเขายกทั้งกฎของมนุษย์ออกมาใช้เป็นหลักฐานยืนยัน ขอโทษที่เรื่องการถูกใส่ร้ายของเจ้านั้นข้าไม่สามารถช่วยได้ ข้าจะไปกินไก่ขอทานแล้วท่านต้องอดทนรอก่อน จนถึงราชวงศ์ชิงจะมีนักปราชญ์ชื่อว่าหยวนเหมยมาแก้ไขชื่อเสียงให้ท่าน
เขี่ยกองไฟออกแล้ว ก้อนดินโคลนที่อยู่ใต้กองเถ้าถ่านถูกเผาจนแห้งแล้ว ใช้ไม้ง่ามจิ้มเอาไปไว้บนแท่นหินสีเขียว ผู้หญิงทั้งสามมุงดูด้วยความแปลกใจเตรียมตัวดูว่าก้อนดินโคลนจะกลายเป็นของเลิศรสได้อย่างไร เฉิงฉู่มั่วเคยลิ้มรสมาก่อนแล้วจึงไม่รู้สึกประหลาด หนิวเจี้ยนหู่กับซ่านอิงต่างเฝ้ารอเนื่องจากเฉิงฉู่มั่วบอกว่าเลิศรสระดับโลกทีเดียว
อวิ๋นเยี่ยใช้ก้อนหินทุบก้อนดินให้แตกออก กลิ่นหอมตลบอบอวลโชยออกมาทันที น้ำมันใสแจ๋วไหลออกมาจากช่องว่าง พอแกะเปลือกดินออกแกะใบบัวทิ้งไป เนื้อไก่สีขาวปรากฏต่อหน้าพวกเขาทันที
ซ่านอิงมือไวไม่กลัวลวกมืออุ้มก้อนดินโคลนอันหนึ่งแล้ววิ่งหายไป หนิวเจี้ยนหู่เห็นแล้วก็ไม่รอช้าอุ้มอีกอันหนึ่งไปแบ่งกินกับภรรยาตัวเอง จิ่วอีถองหลังเฉิงฉู่มั่วนางก็อยากกินมาก เฉิงฉู่มั่วหัวเราะแหะๆ รีบเอาไม้จิ้มอีกอันไปแท่นหินอื่นทุบออกอย่างชำนาญ เวลานี้ อวิ๋นเยี่ยได้ฉีกขาไก่ออกมาแล้วหนึ่งข้าง ส่งให้ซินเย่ว์ที่กำลังกลืนน้ำลายอยู่
พวกผู้ชายไม่ได้กินอะไรมาก ไก่ป่าตัวอ้วนทั้งตัวโดนพวกผู้หญิงกินกันจนเกลี้ยง แต่ละคนทั้งเขินทั้งสนุกกับการเช็ดปากมันแผล็บของตัวเอง