เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 43 ติดตามต้นตระกูล
พูดถึงเรื่องนี้แล้วร่างของฉีเฉิงก็ยืดตรงขึ้นมา ถึงแม้จะโดนมัดชนิดมัดทั้งสี่เท้าก็ยังพยายามแหงนดูหน้าอวิ๋นเยี่ย อยากรู้ว่าตัวเองไปเสียท่าให้คนไหนแน่
กลุ่มพัวผีหุ้นหุ้นเอาตัวรอดเก่งที่สุดแม้จะมีโอกาสเพียงแค่เส้นยาแดงผ่าแปด ไม่จะจมดินโคลนจนมิดก็ต้องหาทางรอด แต่หากรู้ว่าไม่มีโอกาสรอดแล้วก็จะยอมก้มศีรษะรับดาบโดยไม่ร้องทุกข์เด็ดขาด
“ความรู้ของข้าได้จากมารดาข้าเองแต่น่าเสียดายที่นางสอนข้าได้เพียงปีเดียวก็ป่วยเสียชีวิต คุณชายท่านนี้ ฉีเฉิงตกอยู่ในมือท่านแล้วจะฆ่าจะแกงแล้วแต่ท่าน สงสารเพียงน้องชายทึ่มของข้าต้องตามข้าไปหาพญายมอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว หม่าชื่อเอ๋ยสู้ต่อเถอะ เจ้าอย่าได้ต้องตายเลย”
“มารดาเจ้ารู้หนังสือย่อมแสดงว่าไม่ได้มาจากครอบครัวที่ไม่ใหญ่โต อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุตรสาวคนรู้หนังสือ ฉีเฉิง เจ้าเพียงบอกข้าว่าปา**่ที่ใช้ดาบค้อนไม้หลอกคนนั้นได้มาจากไหน ไม่แน่ว่าข้าจะปล่อยเจ้าสองพี่น้อง”
บรรดาวีรบุรุษยุคสงครามสุยถัง วีรบุรุษที่อวิ๋นเยี่ยชื่นชอบมากที่สุดก็คือสองคนที่ถือค้อนทำจากกระดาษเที่ยวข่มขู่คนอื่น ไม่รู้ว่าฉีกั๋วหย่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้านี่ถ้าหากเกี่ยวข้องทางเทือกเถาเหล่ากอ นิสัยที่มุทะลุแข็งแกร่งทั้งหนักไปทางมีคุณธรรมรู้คุณคนเช่นซ่านอิงย่อมไม่อยู่นิ่งเฉย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ยิ่งจะมีอะไรให้ทำอีกมาก
“มารดาข้าคุยเป็นเรื่องตลก มารดาข้าเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางถูกบิดาข้าชิงตัวไปเป็นฮูหยินค่ายโจร แรกๆมารดาข้าไม่ยินยอมบิดาข้าก็ไม่บังคับ ต่อมาเกิดจลาจลหนักตระกูลมารดาข้าโดนทหารกบฏสังหารหมดสิ้น มารดาข้าจึงแต่งงานกับบิดาข้าเพื่ออยู่กินด้วยกัน เรื่องใช้ค้อนไม้ข่มขู่คนเป็นเรื่องที่มารดาข้ามอบให้บิดาข้า”
แม้ความเป็นมาจะน่าขบขันแต่อวิ๋นเยี่ยไม่ได้หัวเราะ ในขณะที่กำลังตัวเองไม่เพียงพอการยืมใช้กำลังจากภายนอกไม่ใช่ทำไม่ได้ แม้แต่ในโลกของสัตว์เรื่องเช่นนี้ก็มีอยู่เสมอ ปลาปักเป้าและอึ่งอ่างจะเห็นได้ชัดเจน เมื่อมีอันตรายก็จะพองตัวข่มขู่ศัตรูเป็นวิธีการรักษาชีวิตอย่างหนึ่ง ไม่ว่าใช้วิธีอะไรในการรักษาชีวิตย่อมไม่เกินเลย
“อย่าบอกนะว่าบิดาเจ้าคือฉีกั๋วหย่วน ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่บังเอิญเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจแล้วถึงแม้แต่หลอกให้รับก็ยังจะเอามาใช้ ไม่ว่าเขาจะรับหรือไม่รับว่าบิดาเขาชื่อฉีกั๋วหย่วน อวิ๋นเยี่ยก็ตั้งใจให้ฉีกั๋วหย่วนเป็นบิดาเขา เรื่องเช่นนี้เหล่าเจียงถนัดมากที่สุด
ฉีเฉิงตะลึงทันทีเอียงกายมองอวิ๋นเยี่ย เขาไม่เข้าใจคนเสื้อหรูหรานี้ดูทีเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ทำไมจึงรู้จักบิดาเขา กั๋วหย่วนเป็นชื่อบิดาที่มารดาตั้งให้ หากไม่แล้วชื่อฉีเอ้อร์จอมชะงักฟังดูไม่ดีเท่าไร
“ทำไมท่านรู้จักชื่อบิดาข้า ท่านอายุยังน้อยไม่มีทางรู้จักบิดาข้าหรอก” อวิ๋นเยี่ยชะงักงัน พริบตาเดียวก็ยิ้มย่องผ่องใสร้องเรียกซ่านอิงที่กำลังพาวั่งไฉเดิน “เสี่ยวอิง เสี่ยวอิง มานี่ ข้าจะแนะนำพี่น้องเจ้าให้รู้จัก”
คำพูดนี้ตั้งใจหลอกล่อแต่ซ่านอิงเชื่อว่าพูดจริง โดดเข้ามาทันทีแล้วบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านอย่ามาหลอกข้า ใครเป็นพี่น้องข้า”
อวิ๋นเยี่ยชี้ฉีเฉิงที่กำลังกระพริบตาประจบประแจงตัวเองว่า “คนนี้แหละ”
ซ่านอิงโกรธจัด คว้าคอเสื้ออวิ๋นเยี่ยว่า “ท่านดูหมิ่นข้า”
อวิ๋นเยี่ยโดนหิ้วขึ้นมาแต่ยังคงสีหน้าเดิม ยิ้มพูดว่า “ซ่านอิง เรื่องนี้เจ้าไม่มีทางเลือก บิดาเจ้ากับบิดาเขาเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกัน บิดาเขาไม่ได้ผิดต่อตระกูลซ่านเจ้า หรือพูดกลับกัน การที่เขากลายเป็นเช่นนี้เพราะโดนผลร้ายจากบิดาเจ้า เจ้ามีอาจารย์มีบ่าวไพร่คุ้มครองแต่เขาไม่มี อยู่กับมารดาถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในเมืองลั่วหยาง เวลานี้เจ้ายังไม่ยอมรับพี่น้องที่โชคร้ายคนนี้ของเจ้าอีกหรือ อ๋อ ตอนนี้เจ้าเป็นยอดฝีมือย่อมดูถูกพี่น้องที่เหมือนขยะสังคม ไม่เช่นนั้นข้าอาสาช่วยเจ้าใช้ดาบฟันเขาทิ้งให้หมดเรื่องหมดราวไปเลยจะดีไหม”
ลิ้นอสรพิษของอวิ๋นเยี่ยพ่นพิษร้ายออกมา แต่ละคำพูดเหมือนบาดเข้าหัวใจซ่านอิง เขาคลายอวิ๋นเยี่ยออกแล้วถามเสียงแหบแห้งว่า “บิดาเขาเป็นใคร บิดาข้าติดค้างเขาตั้งแต่เมื่อไร พูดให้ชัดเจนไม่เช่นนั้นอย่าโทษว่าข้าทำเกินเหตุ”
“ชื่อฉีกั๋วหย่วน หากมารดาเจ้าไม่เคยบอกเจ้ามาก่อนก็ถือว่าข้ากำลังพล่าม พี่น้องสองคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ข้างกายบิดาเจ้ามีคนหนึ่งคือบิดาเขาฉีกั๋วหย่วน บุญคุณนี้ตระกูลซ่านเจ้าติดค้างเขามากมาย เป็นอย่างไรจะให้ข้าฟันเขาหรือไม่”
ขณะที่ฉินฉยงรู้จากอวิ๋นเยี่ยว่าซ่านสยงซิ่นยังมีทายาทก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อวิ๋นเยี่ยฟังอย่างละเอียดลออ ฉีกั๋วหย่วนก็คือพี่น้องคนสุดท้ายของซ่านสยงซิ่นที่ตายในการรบครั้งสุดท้าย แม้ตายก็ยังไม่เสียใจที่ติดตามซ่านสยงซิ่น
ซ่านอิงกำพร้าแต่เล็กจึงเห็นเรื่องความสัมพันธ์ครอบครัวสำคัญที่สุด ไอ้เบื๊อกนี่ก็คือคนมั่วซั่วที่เห็นพี่น้องเหมือนแขนขาเห็นผู้หญิงเหมือนเสื้อผ้าแบบผู้ชายในตำนาน อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการเลยที่จะใช้ต้ายาเป็นเชือกมัดซ่านอิงเพราะเชือกเส้นนี้มัดได้ไม่หนาแน่นพอ เวลานี้มีฉีเฉิงตกลงมาจากท้องฟ้า สำหรับอวิ๋นเยี่ยแล้วยังดีใจยิ่งกว่าหลินเม่ยเม่ยตกลงมาจากท้องฟ้า หากผู้หญิงเป็นเชือกที่สามารถมัดนิ้วมือเขาได้สักนิ้วหนึ่ง เชือกพี่น้องเส้นนี้จะเป็นเชือกหนังวัวที่สามารถมัดซ่านอิงจนกระดุกกระดิกไม่ได้
สำหรับซ่านอิงแล้วยศถาบรรดาศักดิ์เปรียบเสมือนผักหญ้าแค่ยื่นมือก็ได้แล้ว แต่ถ้าเป็นตัวฉีเฉิงก็คงไม่ใช่แล้ว ความดีใจของอวิ๋นเยี่ยมีมากจนเขาอยากร้องเพลง‘หลันฮวาฮวา’มาระบายอารมณ์ตัวเอง แต่พอเห็นอาการซ่านอิงทั้งเจ็บปวดทั้งยินดีแล้วกดความรู้สึกอยากร้องเพลงของตัวเองไว้แล้วดันซ่านอิงไปอยู่ข้างตัวฉีเฉิง ตัวเองเดินมือไพล่หลังไปหาซินเย่ว์ ไม่รู้ว่าข้าวเตียวหูเมนูสุดยอดของนางทำเสร็จหรือยัง
เฉิงฉู่มั่วและหนิวเจี้ยนหู่ต่างยกข้าวชามใหญ่คนละชามบนนั้นเต็มไปด้วยเนื้อตุ๋น นั่งกินอยู่บนก้อนหินอย่างไม่มีมาดของผู้ดีมีสกุลเลย พอเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามาก็ถามว่า “เจ้าไปทำให้ซ่านอิงคลั่งอะไร ดูเขาดีอกดีใจแล้วก็ร้องไห้โฮอยู่กับโจรเสี่ยงหม่าคนนั้น”
“ฉู่มั่ว นับขึ้นมาแล้วโจรเสี่ยงหม่าคนนั้นก็เป็นพี่น้องเจ้าด้วย บิดาเขาคือฉีกั๋วหย่วน” พูดจบก็มุดเข้ากระโจมเตรียมเอาข้าวให้ตัวเอง ทิ้งเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ที่กินข้าวไม่ลงอีกทั้งยังคงงงอยู่นอกกระโจม
ตระกูลอวิ๋นมีพลังมนตราชนิดหนึ่ง พลังมนตราที่สามารถทำให้คนไปในทางร้าย สามหญิงสูงศักดิ์ในกระโจมต่างยกชามที่ใหญ่กว่าศีรษะพวกนางกินข้าวกันอยู่ กินจุอย่างมาก แม้แต่อรชรอ้อนแอ้นอย่างจิ่วอีก็ยังกินไปครึ่งชามแล้ว ระหว่างนี้ออกกำลังกันมาก อีกทั้งเป็นช่วงอายุสิบเจ็ดสิบแปดกำลังกินกำลังนอน การกินจุเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก
ก่อนหน้านี้พวกนางยังขี้อายกันบ้างต่างเกรงใจไม่กล้ากินมาก แต่ตอนนี้ไม่ต้องแคร์กันแล้ว พอเห็นอวิ๋นเยี่ยเข้ามาซินเย่ว์วางชามลงแล้วตักข้าวให้อวิ๋นเยี่ยทั้งเติมเนื้อตุ๋นอีกมากมายไว้ข้างบน ยกให้อวิ๋นเยี่ยแล้วก็นั่งลงทั้งกินทั้งคุยกันต่อกับสาวอีกสองคน
ยกชามข้าวออกนอกกระโจมแล้ว เห็นเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่กำลังเหม่อมองซ่านอิงที่ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ ชามข้าวถูกวางอยู่ข้างๆ ราวกับไม่มีอารมณ์แม้แต่จะกินข้าวอีกต่อไป
อวิ๋นเยี่ยพุ้ยข้าวเข้าปากเต็มคำแล้วผงกศีรษะ ฝีมือซินเย่ว์ดีขึ้นมาอีก ข้าวเตียวหูที่อ่อนนุ่มแกล้มด้วยเนื้อตุ๋นมันย่องช่างเข้ากันดีนัก อร่อยกว่าข้าวส่านฟั่นของซีเป่ยอีก พออารมณ์ดีย่อมกินได้ลื่นคอทั้งยังมีละครชีวิตพี่น้องพบกันให้ดูอีก ข้าวหนึ่งชามพริบตาเดียวก็ไม่เหลือร่องรอย กินอีกไม่ได้แล้วไม่เช่นนั้นคืนนี้คงอึดอัด ซินเย่ว์ยกกาน้ำชามาให้อวิ๋นเยี่ย อุณหภูมิกำลังดี ได้ภรรยาที่เอาอกเอาใจช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ
ละครชีวิตยังคงมีต่อ เพียงแต่ฉีเฉิงออกอาการชัดเจนว่าไม่อิน มักจะแอบดูชิ้นเนื้อในชามของบ่าวไพร่ตระกูลอวิ๋น ควรรู้ว่าตั้งแต่เช้าจนป่านนี้เขายังไม่ได้กินข้าวแม้แต่คำเดียว เมื่อวานกินอะไรก็ลืมหมดแล้ว เวลานี้เห็นคนอื่นกินกันอย่างเอร็ดอร่อยแต่ท้องตัวเองกำลังกระตุกด้วยความหิว
ความจริงอวิ๋นเยี่ยประหลาดใจนักว่า คนต้าถังมักเห็นเรื่องสัญญาของบรรพบุรุษสำคัญกว่าชีวิต การจับคู่ตั้งแต่อยู่ในท้องมีน้อยมากที่เกิดการพลิกลิ้นขึ้น คนที่ทิ้งคนจนรับคนรวยมีตัวอย่างให้เห็นน้อยมาก เมื่อเกิดขึ้นจึงกลายเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา
หากสองคนสัญญากันว่าจะร่วมกันช่วยเหลือให้เป็นเศรษฐี คนที่จับไม้สั้นได้จะต้องตั้งอกตั้งใจช่วยเหลืออีกฝ่ายอย่างเต็มที่ หลังจากคนที่จับได้ไม้ยาวกลายเป็นเศรษฐีแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเสร็จนาฆ่าโคถึก เขาจะต้องช่วยเหลืออีกฝ่ายให้เป็นเศรษฐีด้วยจึงจะยอมรามือ ถึงเวลานั้นแล้วจึงจะนับว่าสัญญาเสร็จสิ้น
สำหรับอวิ๋นเยี่ยเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระแต่ก็เกิดขึ้นให้เขาเห็นอยู่รอบตัวตลอดเวลา ทำให้ส่วนลึกในใจเขานึกดูถูกตัวเองมากขึ้นทุกที สองคนที่ไม่เคยพบกันแต่หลังจากคุยกันรู้เรื่องชัดเจนแล้วก็กลายเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกัน แม้แต่เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ก็ยังอยากจะมีบ้าง
อวิ๋นเยี่ยเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของหนิวเจี้ยนหู่ เข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของเขาจึงตบไหล่หนิวเจี้ยนหู่ว่า “ครั้งนั้นลุงหนิวสังหารคนของซ่านสยงซิ่นหมดสิ้นในคืนเดียว ข้ารู้ตั้งแต่อยู่ที่หล่งโย่ว คนอื่นล้วนไม่กล้ารับผิดชอบ การตัดสินใจฉับพลันของลุงหนิว ข้านับถือยิ่งนัก”
“เยี่ยจื่อ เจ้าเชื่อว่าสิ่งที่บิดาข้าทำครั้งนั้นถูกต้องหรือ การสังหารพี่น้องตัวเองก็ถูกต้องหรือ” คำถามนี้รบกวนจิตใจหนิวเจี้ยนหู่มาแล้วหลายปีเพียงแต่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้จนวันนี้จึงได้ถามออกมา
อวิ๋นเยี่ยตบหน้าหนิวเจี้ยนหู่อย่างแรงจนเฉิงฉู่มั่วที่อยู่ข้างๆสะดุ้งเฮือกมองอวิ๋นเยี่ยอย่างไม่เข้าใจ ควรรู้ว่าตลอดมาต่อให้พวกเขาทำอะไรผิดอวิ๋นเยี่ยก็ไม่เคยโกรธ แต่เวลานี้กลับตาแดงก่ำราวกับจะกินคน
หนิวเจี้ยนหู่รู้ว่าตัวเองเพิ่งพูดอะไรไป การถูกตบหน้ากลับทำให้จิตใจเขาสบายขึ้นมามาก เลือดที่ไหลออกจากจมูกก็ไม่ได้เช็ด เงยหน้ายิ้มแล้วบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “เยี่ยจื่อ ตบได้ดีมาก ข้าไม่ควรสงสัยพฤติกรรมของบิดาข้า ข้าควรเชื่อถือบิดาข้าว่าการทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าเป็นลูกชายเขา ต่อให้คนทั้งโลกเห็นว่าเขาเป็นคนเลือดเย็นแค่ไหนหรือเป็นคนเลวที่ชั่วช้า ข้าก็สมควรยืนอยู่ข้างเขาและร่วมเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก”
“หนิวเจี้ยนหู่เจ้าจำไว้ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้ยินเจ้าข้องใจลุงหนิว หากมีครั้งหน้าอีกข้าจะตัดขาดเจ้า อาศัยไอคิวของเจ้ามีเหตุผลอะไรที่จะข้องใจการตัดสินใจของลุงหนิว ครั้งนั้นหากไม่ใช่ลุงหนิวตัดสินใจฉับพลัน ตระกูลฉิน ตระกูลเฉิง ตระกูลหลี่จี อีกทั้งตระกูลหนิวเจ้าเองอย่าได้คิดว่าจะมีคนรอดแม้เพียงคนเดียว ในเมื่อเข้าพวกแล้วก็ต้องยืนอย่างมั่นคงกลับใจไม่ได้ การลังเลสั่นไหวเป็นจุดตาย เจ้าคิดหรือว่าฉินอ๋องครั้งนั้นไม่ได้เตรียมแผนรับมือ พวกเจ้าสี่ตระกูลเพิ่งสวามิภักดิ์ ฉินอ๋องจึงใช้ซ่านสยงซิ่นเป็นตัวลองใจการสวามิภักดิ์ของพวกเจ้า
เวลานั้นทั่วหล้ารวมหนึ่งเป็นที่แน่นอนแล้ว ซ่านสยงซิ่นไม่รู้ดีชั่ว เพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพยอมเป็นศัตรูกับคนทั่วหล้า ไม่ได้สนใจความเจ็บปวดของราษฎรทั่วหล้า หวางซื่อชงที่เขาภักดีเลวร้ายแค่ไหนพวกเจ้าไม่รู้หรือ การสังหารไม่ได้เกินไปเลย ตลอดชีวิตของลุงหนิวมีเป้าหมายยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวคือทั่วหล้าไม่ให้มีใครอดตาย เพื่อมันฝรั่ง เขายอมที่จะใช้ฐานะขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ขอโทษข้าซึ่งเป็นเด็กที่ไม่มีอะไรเลย การสังหารคนเลวร้ายที่ไม่รู้ดีชั่วไม่กี่คนจะเป็นไรไป พวกเขาเป็นภัยต่อความสงบสุขของโลก เจ้ารู้ไหมว่าปลายราชวงศ์สุยสำมะโนครัวทั่วหล้ามีถึงเจ็ดล้านกว่าครัวเรือน เวลานี้มีเพียงสามล้านครัวเรือนแล้วอีกสี่ล้านกว่าครัวเรือนไปไหนแล้วเล่า ตายกันหมดแล้ว สิบแปดทัพก่อกบฏ สามสิบสองกลุ่มควันไฟ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัตว์ร้ายกินคน พวกเขากินคนไปสี่ล้านกว่าครัวเรือนจนหมดสิ้น เพื่อป้องกันคนไม่ให้ตายมากพวกต้นเหตุก่อภัยร้ายไม่สมควรตายหรือ เจ้าคิดว่าที่ข้าพยายามลงทุนลงแรงหาวิธีจัดการซ่านอิงเพื่ออะไร หากเขามีแนวความคิดก่อกบฏแม้เพียงนิดเดียว ข้าจะสังหารเขาโดยไม่ลังเลใจทันที”