เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 47 นกอินทรีที่ถูกผูกติดไว้บนพื้น
โหวจวิงจี๋ฉีกน่องไก่ออกมาน่องหนึ่งเข้าปากบ้วนทีเดียว ถ่มออกมาอีกทีเหลือเพียงเศษกระดูกอันเดียว โยนกระดูกไว้บนโต๊ะมองอวิ๋นเยี่ยสามคนแล้วพูดว่า “ไอ้หนู ตอบเช่นนี้ถูกแล้ว ต่อหน้าฝ่าบาทดีที่สุดก็ต้องตอบเช่นนี้ นี่เรียกว่ายอมให้คนรู้แต่ไม่ยอมให้คนเห็น ฆ่าอันธพาลที่ทำชั่วมากมายไม่กี่คนจะมีอะไรกันฆ่าแล้วก็ฆ่าไป ลูกหลานขุนพลอนาคตก็ต้องฆ่าคนอยู่แล้ว พวกที่ทำความชั่วร้ายให้เด็กๆหากข้าพบก็ต้องจับพวกมันมาใช้ห้าม้าแยกร่างแน่นอน
เจ้าหนูอวิ๋น เจ้ากับข้าเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกพอเจอหน้าก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา ลูกเจี๋ยต้องพยายามใกล้ชิดพี่เยี่ยมากๆหน่อย ยากนักที่ครอบครัวขุนพลจะมีคนที่มีอุบายร้ายเต็มหัว ออกความคิดชั้นเยี่ยมให้เว่ยโซ่วกับตู้เอี๋ยน เรื่องใหญ่เทียมฟ้าก็กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างแก๊ง? ไอ้หนู คิดจะให้เรื่องเงียบก็อย่าออกหน้าเองแค่หาใครสักคนแกล้งปล่อยข่าวให้พวกเขาได้รู้ก็พอแล้ว มีบรรดาศักดิ์สูงถึงระดับโหวแล้วยังไม่รู้จักหลบหลีกไม่ให้ตัวเองถูกพัวพันได้”
ดูแล้วโหวจวิงจี๋ยังไม่สู้เข้าขั้นนัก อวิ๋นเยี่ยแอบถอนใจ หากเป็นหลี่จิ้งหรือเฉิงเหย่าจินจะดูออกทันทีว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงต้องเดินหน้าลุยเอง คงมีแต่โหวจวิงจี๋ยังคงคิดแค่ผิวเผินว่าควรจะต้องหลบไปใช้วิธีลับในที่มืด
การก่อกบฏของเขาในอนาคตก็คงเพราะจิตใจของเขาคิดแต่จะต้องได้รับผลดีโดยไม่ยอมรับความเสียหาย ในโลกนี้ไม่มีหรอกที่คนจะได้รับความสำเร็จอย่างง่ายดายนัก หากไม่มีความเสียหายเลยย่อมเป็นไปไม่ได้ การที่อวิ๋นเยี่ยวางตัวเองไว้ในแนวหน้า หนึ่งคือต้องการประกันความสำเร็จให้แน่ชัดว่าสามารถกลบเกลื่อนเรื่องให้จบไปได้ สองคือต้องการให้ทุกคนได้เห็นทั้งเว่ยโซ่วกับตู้เอี๋ยนได้เห็นว่าแม้แต่โหวเหยียคนหนึ่งยังเจ็บแค้นพวกคนชั่วเหล่านี้ ตัวเองซึ่งเป็นขุนนางท้องถิ่นยิ่งสมควรมีความเจ็บแค้นร่วมด้วย สามคือหากวันใดวันหนึ่งความลับแตกขึ้นมา การตรวจสอบต้นเหตุก็ง่ายดายมากเพราะไม่มีการวางแผนซับซ้อนมาก มีเพียงเด็กหนุ่มไร้สมองคนหนึ่งที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนให้พ้นจากความยุ่งยาก การให้อภัยก็จะง่ายดายขึ้น หากทำจนซับซ้อนมากเกินไปอาจทำให้หลี่ซื่อหมินคิดมากเรื่องขึ้นไปอีกนั่นจึงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ปัญญาของโหวจวิงจี๋มีสูงพอแต่ความช่ำชองยังน้อยเกินไป
หากหลี่ซื่อหมินถามขึ้นมา ดูจากนิสัยที่สุขุมรอบคอบของเขาไม่มั่นใจว่าจะไม่ถาม หากถามขึ้นมาก็หมายความว่าเขาจะต้องมีหลักฐานที่เพียงพอ หากเป็นเช่นนี้แล้วยังจะโกหกต่ออีกก็จะเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนตัวเองต่อหน้าเขาชนิดล่อนจ้อน ดังนั้น หากหลี่ซื่อหมินถามขึ้นมาอวิ๋นเยี่ยจะสารภาพชนิดที่ไม่ปกปิดอะไรแม้เพียงนิดเดียว ต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้นจึงจะรอดพ้นมหันตภัยได้
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าแผนกบฏของโหวจวิงจี๋ถูกเปิดโปงนานแล้ว หลี่ซื่อหมินถามเขาไปสองครั้งแต่เขาไม่ได้ยอมรับ ดังนั้นหลังจากเรื่องถูกเปิดเผยออกมาชัดเจนทั้งหมด ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็สูญสลายไปด้วย ความตายจึงเป็นคำตอบสุดท้าย
“ข้าใช้กำปั้นเหล็กดูแลลู่หยางมาแล้วสามปี ลู่หยางมีปิศาจมารร้ายอะไรเกิดขึ้นมีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ไอ้หนูเอ๋ย ก่อนที่พวกเจ้าจะมาวันเดียวก็เกิดเรื่องนี้ขึ้น หากข้าไม่สงสัยพวกเจ้าแล้วจะสงสัยใคร ในบ้านแต่ละคนล้วนแต่เป็นสถานที่เสือซ่อนมังกรซุ่มทั้งนั้น การที่มีผู้เยี่ยมยุทธสักคนสองคนไม่เป็นเรื่องแปลก ถึงแม้เขาใช้ผมปิดหน้าทำให้คนไม่สามารถเห็นชัด แต่หากตรวจสอบยอดฝีมือบ้านเจ้าที่อายุต่ำกว่าสามสิบปีทุกคนแล้วย่อมจะสามารถรู้ความจริงได้
แต่ในเมื่อผู้ว่าหลิวได้รายงานเรื่องนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างแก๊งแล้วก็เป็นการต่อสู้ระหว่างแก๊งแล้วกัน เรื่องนี้ถือว่าจบเพียงเท่านี้แต่ถ้าหากมีคลื่นลมเกิดขึ้นอีก ข้าจะจับพวกเจ้าทั้งสามคนมัดไว้แล้วส่งให้จวนผู้ว่าฉางอันถามว่าบรรพชนสอนพวกเจ้าไว้อย่างไร”
โหวจวิงจี๋เห็นผู้อ่อนอาวุโสทั้งสามต่างงกๆเงิ่นๆฟังคำสั่งสอนของเขาแล้วไม่ได้อ้าปากพล่ามอะไร จึงพยักหน้าอย่างพอใจแล้วน้ำเสียงอ่อนโยนลง “เสี่ยวเยี่ย เจ้าเป็นคนสถานศึกษาอวี้ซัน เวลาไปให้นำเจี๋ยเอ๋อร์ไปด้วย ให้เขากราบเป็นลูกศิษย์เหล่าอาจารย์อวี้ซันเพื่อจะได้มีความก้าวหน้า พวกเจ้าทั้งหมดก็เกื้อหนุนกันช่วยเหลือกันให้เป็นคนที่เอางานเอาการอย่าได้มั่วสุมเอาแต่เที่ยวสนุกรายวัน พวกเจ้าไปวัดเส้าหลินนมัสการ? วัดที่มีพระสงฆ์สอนวิทยายุทธกินเนื้อทั้งวันจะมีความศักดิ์สิทธิ์หรือ มั่วกันมาก”
ราวกับว่าวันทั้งวันเขามีแต่โทสจริตที่คนอื่นต้องคอยรองรับอารมณ์ของเขา เมื่อครู่ขณะที่เขาพูด อวิ๋นเยี่ยพบว่าขาทั้งสองข้างของโหวเจี๋ยสั่นพั่บๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเผด็จการเพียงไรในบ้าน
โหวจวิงจี๋พูดกับเฉิงฉู่มั่วอีกว่า “ครั้งก่อนบิดาเจ้าให้ข้าหาคริสตัลขาวจากซีอวี้ ข้าหามาได้บ้างแล้ว ตอนไปให้เอาไปด้วย เท้าเจี้ยนหู่มีแผลเก่า ข้าหาคนทำยากอเอี๊ยะกระดูกเสือมีประโยชน์ต่อร่างกายดีมาก เอาไปใช้มากหน่อยจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ผลิตทายาทให้ตระกูลหนิวอีกหลายๆคน มีแค่ลูกโทนในยามที่ยังไม่สงบจะทำให้คนเป็นกังวล”
ทั้งคู่รีบกราบขอบคุณ โหวจวิงจี๋ตบบ่าพวกเขาแสดงความใกล้ชิดแล้วบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “ในเมื่อมาแล้วก็อยู่สักหลายวันหน่อยเป็นเพื่อนอาผู้หญิงเจ้า เหลียนเอ๋อร์น้องสาวเจ้าจะแต่งงานแล้ว นางไม่สบายใจเท่าไร ช่วยคุยๆให้หน่อย ข้าเคยใช้แต่ไม้แข็งใช้ไม้อ่อนไม่เป็น”
ถอนใจแล้วเหล่าโหวก็เดินออกไป มีเสียงสั่งให้เตรียมม้าดังแว่วมาจากนอกประตู มีเสียงบ่าวไพร่รับคำสั่ง จากนั้นก็เงียบเชียบไปเลย
คนทั้งสี่ในห้องต่างมองหน้ากัน ทันใดนั้นก็ระเบิดเสียงเฮกันออกมา บารมีเหล่าโหวเมื่อครู่นี้กดดันมากเกินไป จริงๆ รังมีพิฆาตที่มีมาหลายปีเหมือนมีตัวตนจริง เพียงมองอวิ๋นเยี่ยแวบเดียวเขาก็รู้สึกเหมือนถูกตัวต่อหัวเสือต่อยทีเดียว
เฉิงฉู่มั่วแกะของขวัญออกแล้วควักชุดไพ่นกกระจอกออกมาชุดหนึ่ง ลากหนิวเจี้ยนหู่ไปหลังเรือนเป็นเพื่อนโหวฮูหยินเล่นไพ่นกกระจอก เขารู้ว่าอวิ๋นเยี่ยมีธุระต้องจัดการจึงไม่ได้นับรวมไปด้วย
กลับมาถึงบริเวณที่พักอาศัยแล้วอวิ๋นเยี่ยจึงเริ่มพิจารณาสภาพแวดล้อมที่นี่ เรือนสี่ประตูตั้งอยู่ที่ถนนอวี้ฉวน ที่นี่เป็นที่มั่นทางการค้าที่สำคัญของตระกูลอวิ๋นที่หนึ่ง สินค้าของตระกูลตัวเองส่งจากที่นี่ไปทุกแห่งทั่วประเทศ ลูกชายคนโตของเฉียนทงอายุสิบเก้าปีแล้ว ถูกส่งมาอยู่ที่นี่เพื่อเรียนรู้การเป็นผู้ดูแลกิจการที่เข้าเกณฑ์ หากมีความสามารถก็จะรับสืบทอดจากผู้ดูแลกิจการเดิมมาเป็นผู้ดูแลกิจการที่นี่
ซินเย่ว์กำลังเรียกผู้ดูแลกิจการต่างๆมาประชุมกัน นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลอวิ๋นมาแต่ดั้งเดิม ผู้หญิงดูแลธุรกิจครอบครัวส่วนผู้ชายไม่ยุ่งเกี่ยว แน่นอนว่าสาเหตุเนื่องจากตระกูลอวิ๋นมักมีผู้ชายเพียงคนเดียว
ยืนอยู่ใต้ต้นทับทิมฟังซินเย่ว์พูดอยู่ข้างใน เสียงดังฟังชัดรัศมีเรืองรอง วางท่าเป็นคุณนายน้อยได้จริงจังมาก คาดว่าเดินแนวทางเดียวกับเหล่าโหวคือบีบคั้นก่อนแล้วค่อยยื่นพุทราหวานให้ ขี้เกียจฟัง เหล่าฮั่วสมุหบัญชีของเหล่าเฉียนกับตระกูลอวิ๋นวันเดียวสามารถดูบัญชีได้แปดรอบ อีกทั้งตระกูลอวิ๋นใช้วิธีจดบัญชีชนิดใหม่ที่จะต้องกระทบยอดตรงกัน โอกาสผิดพลาดจึงมีได้น้อยมาก
อีกทั้งได้ไม่คุ้มเสียหากผิดพลาด เนื่องจากพวกผู้ดูแลกิจการเหล่านี้หากขยันขันแข็งทำงานครบยี่สิบปี ก็จะได้รับการเลี้ยงดูจากตระกูลอวิ๋น ลูกหลานรุ่นต่อไปก็จะสามารถทำงานต่อในวงการธุรกิจของตระกูลอวิ๋นได้ หากลูกหลานคนไหนมีแววเป็นใหญ่เป็นโต ก็จะถูกโหวเหยียคัดเลือกให้ไปสถานศึกษาอวี้ซัน อนาคตมีโอกาสได้เป็นขุนน้ำขุนนางได้ด้วย เพื่อการนี้แล้วต่อให้พวกเขาทำงานตระกูลอวิ๋นให้เปล่ายี่สิบปีก็ยังยินดี
ต่างห่วงแต่เรื่องครอบครัวตัวเอง การก้าวกระโดดจากพ่อค้าเป็นขุนนางเป็นมิ่งมงคลสุดยอดที่เหล่าพ่อค้าทั้งหลายต่างเฝ้าฝันกัน ที่ว่าเมื่อเข้าสู่ประตูพ่อค้าแล้วทุกอย่างล้วนจบสิ้นไม่ใช่เป็นเรื่องตลก แต่เป็นเสียงเรียกร้องที่เคล้าด้วยเลือดและน้ำตาของเหล่าพ่อค้าต้าถังทีเดียว
อวิ๋นเยี่ยลูบคลำผลทับทิมสีเขียวเบาๆ ผลทับทิมโตขนาดกำปั้นเด็กทารก กลีบดอกที่ติดอยู่ปลายผลยังไม่ได้ร่วงจนหมด คงติดคาอย่างแห้งเ**่ยวราวกับแม้ตายก็ไม่ทิ้งกัน
อวิ๋นเยี่ยชอบกินทับทิมมากที่สุด ทุกปีท่านย่ามักจะต้องเลือกทับทิมผลใหญ่ที่สุดดีที่สุดให้อวิ๋นเยี่ย เพียงใช้มีดเล็กฝานปลายมงกุฎของผลออก แล้วกรีดทางเล็กๆที่เยื่อแบ่งช่องสีขาวแต่ละช่อง ผลทับทิมก็จะเบ่งขยายออกมาเองราวกับดอกไม้ที่ผลิบานออก แม้บางครั้งอวิ๋นเยี่ยไม่กินเองก็ยังชอบกรีดผลทับทิมออก เลยเป็นลาภปากของวั่งไฉที่ขลุกอยู่แต่ในห้องอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมไปไหน
อวิ๋นเยี่ยกำลังรอซ่านอิงกลับมา ก่อนที่ซ่านอิงจะเข้าเมืองสังหารหลงซันนั้นคนดูแลบ้านอวิ๋นคนหนึ่งได้ล่วงหน้าออกเดินทาง เขาต้องการตรวจสอบดูว่าในเมืองลั่วหยางยังมีคนที่ต้องกลายเป็นกำพร้าหรือขาดผู้อุปถัมภ์เนื่องจากเรื่องซ่านสยงซิ่นเท่าไร
การรายงานของคนดูแลบ้านวันนี้ทำให้หัวใจเขาเย็นวาบ มีสี่ร้อยกว่าคนซึ่งมีจำนวนมากกว่าคนตระกูลอวิ๋นสิบกว่าเท่า ทั้งหมดต่างกลายเป็นกากเดนมนุษย์ในเมืองลั่วหยางเวลานี้ ครั้งนั้นซ่านสยงซิ่นได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากเหลือเกิน ชาตินี้ทั้งชาติซ่านอิงก็ยังไม่สามารถชดใช้ได้ทั้งหมด
จริงดังนั้นซ่านอิงที่เก่งกาจไร้เทียมทานคอตกกลับมา จิตใจของหนุ่มน้อยคนนี้จะต้องบาดเจ็บสาหัส ต่อให้เขาถือกำเนิดมาเป็นโจรเสี่ยงหม่าก็ตาม เวลานี้จิตใจเขายังคงสั่นสะท้านไม่จบสิ้น
“อวิ๋นเยี่ย ข้าคงต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าจะสามารถใช้คืนเงินยืมท่านได้ หวังว่าท่านคงจะให้ข้ายืมเพิ่มอีกสองพันก้วน ข้าต้องการใช้ด่วน อนาคตหากท่านต้องการอะไรจากข้าแล้วข้าจะไม่ปฏิเสธเลย”
การที่จะให้ซ่านอิงผู้หยิ่งยโสก้มหัวลงมายังยากกว่าฆ่าเขาเสียอีก คำพูดเหล่านี้คงต้องผ่านการต่อสู้ทางใจเขาอยู่นานจึงหลุดออกจากปากได้
“เสี่ยวอิง ที่เจ้ายอมออกปากมายืมเงินข้านั้นทำให้ข้าดีใจอย่างยิ่ง แสดงว่าเจ้าเห็นข้าเป็นพี่น้องจึงยอมออกปาก เงินสองพันก้วนได้เลยเจ้าจะเอาไปเมื่อไรก็ได้ แต่เจ้าจะต้องคอยช่วยเหลือพวกเขาเช่นนี้หรือ คงทำให้เจ้าเหนื่อยตายแน่นอน”
“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเล่าข้าทำได้แค่ฆ่าหมูหรือฆ่าคน ท่านรู้ไหมว่ามีคนถึงสี่ร้อยกว่าคน ข้าไม่มีปัญญาหาอะไรมายัดปากพวกเขาจนเต็ม ทำได้แค่ค่อยๆดูเอา”
นัยน์ตาซ่านอิงแดงก่ำ คนในยุทธจักรสนใจเพียงมีแค้นต้องชำระ มีบุญคุณต้องชดใช้ ต่อให้เลือดอาบเต็มศีรษะก็ไม่ถอย เวลานี้เขาเพิ่งค้นพบว่าการตายเป็นเรื่องง่ายดายนัก แต่การทำให้คนสี่ร้อยกว่าคนอิ่มท้องจึงเป็นเรื่องยากเย็นสุดแสนในโลกมนุษย์
นกอินทรียังไม่ทันกางปีกโผบินก็โดนโซ่ใหญ่ผูกติดแน่นอยู่ที่พื้น
“ตระกูลอวิ๋นวางแผนจะเปิดโรงงานทำไม้ขีดไฟที่ลั่วหยาง ต้องการแรงงานสตรีและเด็กจำนวนมากมาทำไม้ขีดพร้อมทั้งทำกล่องไม้ขีด ถึงแม้ไม่สามารถร่ำรวยได้แต่เรื่องกินอิ่มนอนอุ่นนั้นไม่มีปัญหา เสี่ยวอิงเห็นเป็นเช่นไร”
คิดอยากให้เด็กสตรีเหล่านี้กินอิ่มนอนอุ่น ทำได้เพียงต้องอาศัยแรงงานพวกเขาให้ช่วยตัวเอง อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจผลิตไม้ขีดไฟเพื่อให้เด็กสตรีเหล่านี้สามารถมีทางรอดได้ อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เป็นคนคิดไม้ขีดไฟขึ้นมา แต่ก่อนนั้นขณะที่เมืองฉีเหนือแพ้สงครามเกิดปัญหาสารพัดแม้แต่เชื้อไฟก็ยังขาดแคลน เหล่านางกำนัลในวังต่างใช้ฟอสฟอรัสเหลืองกับกำมะถันผลิตไม้ขีดไฟก้านแรกในโลก ในบันทึกฉีเหนือ’ลู่อี้จื้อ’มีการบรรยายไว้แต่ไม่ได้เขียนละเอียดชัดเจน อวิ๋นเยี่ยจึงไม่ได้ใส่ใจแต่ใครจะนึกว่า นักศึกษาชื่อจี้อวี่หนิงหรือมู่เฉิงถึงขนาดสร้างไม้ขีดไฟขึ้นมา
ขณะที่เขาวิ่งด้วยอารามตื่นเต้นดีใจไปขีดไม้ขีดไฟเบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยแทบจะถูกฟอสฟอรัสเหลืองรมจนสลบไป หลังจากจับเขาคว่ำบนโต๊ะอัดไปพักหนึ่งแล้วบอกเขาว่า หากเขาสามารถแยกฟอสฟอรัสเหลืองออกจากกำมะถัน แล้วไม้ขีดไฟยังสามารถจุดติดได้ สถานศึกษาจะจ่ายเงินสองร้อยก้วนซื้อสิ่งประดิษฐ์จากเขา
เรื่องจริงพิสูจน์ได้ว่าความสามารถแฝงในตัวมนุษย์นั้นมีอยู่ไม่สิ้นสุด จี้อวี่หนิงหลังจากถูกฟอสฟอรัสเหลืองรมจนเลือดกำเดาไหลแล้วก็สามารถประดิษฐ์ไม้ขีดไฟที่ปลอดภัยก้านแรกในโลก เขาทิ้งฟอสฟอรัสเหลืองที่ทำให้เลือดกำเดาเขาไหล แต่ใช้ฟอสฟอรัสแดงแทน โดยบดกำมะถันกับฟอสฟอรัสผสมกันแล้วใช้กาวทาติดบนก้านไม้ เมื่อขีดบนแผ่นกระดาษที่ทาด้วยฟอสฟอรัสแดงก็จะมีเปลวไฟเกิดขึ้นมา
มองดูซ่านอิงที่ทำหน้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย อวิ๋นเยี่ยควักกระเป๋าหยิบกล่องไม้ออกจากอกเสื้อ หยิบไม้ขีดออกมาก้านหนึ่งแล้วขีดเบาๆที่กล่อง เกิดเปลวไฟวูบวาบอยู่บนก้านไม้นั้น