เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 49 แม่น้ำจินสุ่ยเอ๋ย!
อวิ๋นเยี่ยยื่นมือโอบนางไว้ ใต้ผ้าแพรบางๆนั้นเป็นผิวเนียนเย็นของนาง ซินเย่ว์ครางออกมาแล้วก็ไม่ได้ออกเสียงอีก ทั้งคู่เดินโอบกอดอยู่ใต้ต้นทับทิม นี่เป็นวิธีเดินที่ซินเย่ว์โปรดมากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นจังหวะปลอดผู้คนด้วย
วิธีการของนางนั้นถูกต้อง หากในครอบครัวต้องการความสมัครสมานสามัคคีแล้วนายหญิงย่อมต้องเป็นคนแข็งแกร่ง ซินเย่ว์ครองตัวในฐานะนายหญิง แน่นอนว่านางย่อมเป็นนายหญิงที่ถูกต้องด้วยประการทั้งปวง
ก่อนอื่นนายหญิงย่อมต้องควบคุมบ่าวไพร่ที่สำคัญเช่นผู้ดูแลร้านไป๋ ดอกหมู่ตันเป็นเพียงสัญลักษณ์ สิ่งที่ซินเย่ว์ต้องการคือให้ผู้ดูแลร้านไป๋ยืนอยู่ข้างนางโดยไม่มีเงื่อนไข ดูๆแล้วเหล่าไป๋สามารถซึมซับได้อย่างดี หากแม้นไม่สามารถเก็บดอกหมู่ตันมาได้คงเก็บมาได้เพียงใบไม้ใบเดียว ซินเย่ว์ก็จะยังคงกล่าวชมเชยว่าเขาจัดการได้ดีเต็มที่แล้ว ไม่เกี่ยวกับผลของภารกิจแต่อยู่ที่จุดยืนเท่านั้น
เสียงฝีเท้าดังมาจากนอกลานบ้านหนักหนึ่งเบาหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นหนิวเจี้ยนหู่กับเฉิงฉู่มั่วกลับมาแล้ว ใช้ชีวิตสองวันสองคืนติดต่อกันในวงไพ่นกกระจอก ไม่รู้ว่ายังจะเหลือสติสตังกลับมาอีกสักเท่าไรกัน
ซินเย่ว์มุดออกมาจากวงแขนอวิ๋นเยี่ยทันทีแล้วเผ่นกลับห้องตัวเองอย่างรวดเร็ว เสี่ยวชิวยื่นศีรษะออกมาส่องดูอวิ๋นเยี่ยราวกับว่าอวิ๋นเยี่ยรังแกซินเย่ว์ อวิ๋นเยี่ยยิ้มให้นางด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายแถมเลียริมฝีปากตัวเองจนเสี่ยวชิวรู้สึกสะท้านรีบหดศีรษะเข้าไป
หมีแพนด้าสองตัวปรากฏอยู่เบื้องหน้าพ่นกลิ่นสุราออกมาจากปาก ไม่พูดสักคำเพียงแค่โบกมือทักทาย หนิวซื่อกับจิ่วอีออกมาต้อนรับแล้วต่างคนต่างพยุงคนของตัวเองกลับเข้าห้องนอน
“เยี่ยจื่อ พวกเราไปกันพรุ่งนี้เถอะ ข้าไม่อยากเล่นไพ่นกกระจอกแล้วจริงๆ พวกตระกูลโหวผลัดกันเข้ามาถล่ม ต่อให้ตัวเป็นเหล็กไหลก็สู้ไม่ไหว พรุ่งนี้ไปกันเลย” เฉิงฉู่มั่วพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างงัวเงียพูดพลางเดินพลาง
วั่งไฉดัดจริตเก่งมากทำเป็นคาบหญ้าสีเขียวในปาก อวิ๋นเยี่ยรู้ว่ามันไม่ได้กินแม้แต่นิดเดียวแต่แกล้งทำให้ซ่านอิงเห็น หลายวันนี้ซ่านอิงโดนพวกหญิงม่ายเด็กกำพร้ารุมเร้าจนวุ่นวายไปหมด ไม่มีกะจิตกะใจดูแลวั่งไฉอีกทำให้มันคิดหาโอกาส ถุงแพรต่วนห้อยคอโดนซ่านอิงริบไปแล้ว แถมเหล่าบ่าวไพร่ก็ไม่ยอมให้มันออกจากบ้าน พอไม่มีกินวั่งไฉจึงต้องมาหาอวิ๋นเยี่ย
อวิ๋นเยี่ยกินข้าวอยู่ มันก็ยืนอยู่นอกหน้าต่างเงียบๆไม่ออกเสียงเพียงแค่มองดู การมองแต่ละครั้งทำให้อวิ๋นเยี่ยกินข้าวไม่ลงจนลืมคำกำชับของซ่านอิงไปหมดเกลี้ยง ป้อนให้มันกินขนมอิ๋งชุนเกาทั้งจานทั้งยังให้ดื่มน้ำชาเหลียงฉา แล้วอวิ๋นเยี่ยจึงกลับไปกินข้าวต่อ โดนซินเย่ว์ต่อว่าทุกครั้งว่าวั่งไฉเสียม้าเพราะอวิ๋นเยี่ย ถ้าอ้วนจนเหมือนหมูของเสี่ยวยาแล้วจะทำอย่างไร อวิ๋นเยี่ยรำคาญเสียงบ่นเสียงว่าในบ้านเต็มทนเลยพาวั่งไฉออกไปเดินเล่นข้างนอก ถือโอกาสชมตรอกซอกซอยเมืองลั่วหยาง
เฉียนหยวนเป็นบุตรชายคนโตของผู้ดูแลบ้านเฉียนเห็นโหวเหยียจะออกไปข้างนอก รีบสั่งทหารคุ้มกันหกคนรวมทั้งตัวเองกับอวิ๋นซัน ตามแห่อวิ๋นเยี่ยออกประตูบ้านไป
ลั่วหยางไม่ได้โอ่อ่าเหมือนฉางอันอย่างเห็นได้ชัด ถนนหนทางล้วนคดเคี้ยว ไม่เหมือนฉางอันที่สามารถมองเห็นได้จากหัวถึงท้ายถนน มีความกว้างเพียงสามจั้ง สะพานโค้งเทียนจินขวางอยู่สองฝั่งแม่น้ำจินสุ่ยเหอ แม่น้ำนี้เป็นคลองขุด ถึงแม้ไม่กว้างแต่ลึกถึงสองจั้งเต็ม กระแสน้ำไหลอย่างเชื่องช้าความเร็วเรือพอๆกับคนเดิน บางแห่งนั้นช้าถึงขนาดไม่รู้สึกเลยว่าเรือกำลังแล่นอยู่
ริมแม่น้ำไม่มีต้นไม้แม้แต่หญ้าสีเขียวก็แทบไม่เห็น ทั้งสองฝั่งเป็นทางเล็กปูด้วยหินหมาสือที่ถูกเหยียบย่ำจนเป็นเงาลื่น ทุกๆหลายสิบจั้งจะมีรูหินที่มีแท่งหินใหญ่ปักคาอยู่ บนแท่งหินนั้นมีรอยหยักที่เกิดจากเชือกที่รั้งไว้
ทางเดินหินหมาสือทั้งสองฝั่งเคยมีหญิงกึ่งเปลือยหลายพันคนลากเรือมังกรใหญ่โตให้แล่นในแม่น้ำ แต่งตัวหรูหราเต็มยศจนมีเสียงกรุ๊งกริ๊งจากตุ้มหูกำไลข้อมือ การก้าวเท้าก็ต้องเป็นระเบียบพร้อมเพรียง คำโบราณที่ว่า’นิ่งจนแม้แต่น้ำยังไม่มีระลอกคลื่น’หมายถึงเหล่าหญิงที่ลากเรือมังกรนี้จะต้องไม่ให้น้ำที่รินไว้เต็มถ้วยในเรือเกิดระลอกคลื่นแม้เพียงนิดเดียว ‘มิฉะนั้นประหารชีวิตมือธง’ หากเกิดระลอกคลื่นจะประหารชีวิตหญิงหน้าสุดที่แบกธงอยู่ โอ้สวรรค์ นี่เป็นเรื่องที่คนสั่งจะต้องมีจิตวิปลาสขนาดไหนจึงสามารถทำได้
ที่ว่าร้อนใจทุกย่างก้าวก็หมายถึงที่นี่ การสร้างแม่น้ำบนที่ราบที่แทบไม่มีระดับสูงต่ำแตกต่างกันโดยให้น้ำในแม่น้ำไหลเองได้ จะต้องมีความแม่นยำขนาดไหนในการสำรวจ ความยาวสิบสองลี้มีระดับสูงต่ำต่างกันเพียงห้าเชียะ จริงๆแล้วในสิบสองลี้นี้ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องสร้างแม้เพียงนิดเดียว เพราะทางบกที่กว้างขวางก็มีอยู่ข้างๆทั้งสามารถใช้ในการขนส่งสินค้าของลั่วหยางได้อย่างพอเพียง ทางน้ำสิบสองลี้นี้มีเพียงเพื่อบรรลุความฝันเฟื่องของคนเสียสติคนหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยเกิดความรู้สึกขยะแขยงแม่น้ำนี้ขึ้นมากะทันหันจึงลากวั่งไฉเดินห่างออกจากแม่น้ำนี้ เขาเกรงว่าหากรอช้าอีกเพียงนิดเดียวจะได้ยินเสียงร่ำไห้จากดวงวิญญาณที่เสียชีวิตเหล่านั้น
ที่ว่าหมาซู่โหมวชอบกินหัวใจเด็กและชอบน้ำนมหญิงมากที่สุด บอกว่าเป็นอาหารรสเลิศสุดในแผ่นดิน ได้ยินคำพูดนี้แล้วรู้สึกเจ็บปวด พอมาถึงสถานที่เกิดเหตุยิ่งทำให้รู้สึกหัวใจเย็นวาบ นี่เป็นเมืองที่สกปรกโสโครกศูนย์รวมคนจิตวิปลาสที่ไร้ความเมตตาปรานี เป็นปิศาจร้ายที่น่ากลัวที่สุดในโลกทีเดียว
ได้ยินเสียงพ่อค้าร้องขายขนมนมแพะหนิวไหน่ปิ่งที่เพิ่งออกจากเตา อวิ๋นเยี่ยใช้มือปิดปากเพราะรู้สึกคลื่นไส้ อวิ๋นซันคลายกระบอกน้ำจากเอวยื่นให้อวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยดื่มสามอึกติดๆกันแล้วจึงรู้สึกสบายขึ้น
ต้องรีบออกจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุดไม่เช่นนั้นภาพต่างๆในสมองคงจะทำให้ข้าเสียสติ อวิ๋นเยี่ยพึมพำกับตัวเอง
วั่งไฉน้ำลายไหลจ้องมองผลไม้ในเข่งพ่อค้าเร่จนน้ำลายไหลยืดยาว อวิ๋นเยี่ยควักผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากมันให้สะอาดแล้วบุ้ยปากให้เฉียนหยวนซื้อมาให้วั่งไฉกิน
ราคาถูกมาก เฉียนหยวนใช้เงินเพียงสามอันก็ซื้อได้กองเบ้อเร่อ ใช้ชายเสื้อใส่อุ้มไปให้ลูกจ้างภัตตาคารข้างๆล้างให้ อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เข้าภัตตาคาร เขาสู้ไม่ไหวกับกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของสุราลวี่อี่ที่หมักไว้นานเกินไป
เถ้าแก่นำผลไม้ใส่จานยกมาให้เองแล้วยืนค้อมตัวรอรับคำสั่งจากอวิ๋นเยี่ย เวลานี้ลูกจ้างเริ่มส่งเสียงเจื้อยแจ้วแจ้งรายการอาหาร
อวิ๋นเยี่ยยิ้มฟังอยู่ ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวตลาดท้องถิ่นเป็นเช่นนี้เอง ไม่แน่ว่าบรรยากาศชีวิตท้องถิ่นจึงพอที่จะกลบเกลื่อนความเน่าเหม็นของอดีตราชวงศ์สุยครั้งก่อนได้บ้าง
ฟังติดๆกันสามรอบจึงพอใจ อวิ๋นเยี่ยควักกวยจี๊ทองออกมาหนึ่งเม็ด โยนให้ลูกจ้างที่เห็นเม็ดกวยจี๊ทองแล้วสดุ้งตกใจ เถ้าแก่ค้อมตัวถอยไปด้วยรอยยิ้ม เขาดูออกว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ต้องการดื่มสุรากินอาหาร ต้องการเพียงที่พักเท้าเท่านั้น
ความจริงอวิ๋นเยี่ยเกลียดการเดินถนน หากมีคนแน่นเขาจะเกิดความรู้สึกราวกับกำลังฝัน ทั้งคนทั้งเรื่องราวต่างคล้ายฉากในภาพยนตร์ ตัวเองเป็นสิ่งแปลกปลอมในฉากภาพยนตร์นี้ คล้ายอยู่ในความฝัน
เสียงเคี้ยวผลไม้ของวั่งไฉที่ดังลั่นทำให้อวิ๋นเยี่ยตื่นจากภวังค์ เห็นวั่งไฉกินอย่างเพลิดเพลินตัวเองจึงหยิบขึ้นมาลองชิมแล้วรู้สึกว่าไม่เลวรสชาติดีทีเดียว เป็นผลไม้เปลือกสีเขียวที่อวิ๋นเยี่ยไม่เคยเห็นมาก่อนมีรสหวานชุ่มฉ่ำ
“คนนั้นกินผลไม้จานเดียวกับม้า”
“เป็นความชอบพิสดารของคนสูงศักดิ์ อย่าได้ปากมาก”
“น่าเสียดายผลไม้เหล่านั้น เอามาเลี้ยงสัตว์ ราคาตั้งหนึ่งเหวินต่อชั่ง”
อวิ๋นเยี่ยไม่ใช่ไม่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น เขาเพียงแค่รู้สึกสนุก นอกจากคำว่าเอาผลไม้เลี้ยงสัตว์ทำให้เขาหน้าดำบ้างแล้ว คำวิจารณ์อื่นๆกลับทำให้เขาแอบดีใจ ไม่รู้ว่าเส้นสมองส่วนไหนของเขาเสียไป แต่รวมความแล้วนับว่าเขาชอบฟัง
ทหารคุ้มกันเพียงชักดาบขึ้นมาเล็กน้อย กลุ่มที่มุงดูทั้งหมดก็วิ่งกระจายหายไป มีเด็กคนหนึ่งตกใจจนร้องไห้ ทำให้จิตใจอวิ๋นเยี่ยปลอดโปร่งโล่งสบาย มาถึงเมืองลั่วหยางจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายบ้างได้อย่างไร
“โหวเหยีย ใกล้ถึงเวลาเคอร์ฟิวแล้วท่านควรต้องกลับบ้านแล้ว” เฉียนหยวนกระซิบอยู่ข้างหูอวิ๋นเยี่ย เขาดูออกว่า การออกมาเดินเล่นครั้งนี้โหวเหยียไม่ได้สบอารมณ์นัก ถึงแม้โหวเหยียจะพยายามทำให้ตัวเองสนุกขึ้นมาบ้างแต่เห็นชัดว่าไม่เป็นผล
“ยังไม่ได้ยินเสียงกลองเคลียร์พื้นที่เลย” อวิ๋นเยี่ยมั่นใจว่าหูตัวเองไม่มีปัญหา แต่ไม่ได้ยินเสียงกลอง ตีตั้งหนึ่งร้อยแปดครั้งจะไม่ได้ยินได้อย่างไร
“โหวเหยีย มีแต่ฉางอันที่ตีกลองที่อื่นเขาไม่ตีกลองกัน ลั่วหยางก็เช่นกัน ท่านดูพวกทหารอู่โหวเริ่มตรวจถนนแล้ว” เฉียนหยวนพยายามอดทนอธิบายข้อแตกต่างของลั่วหยางกับฉางอันให้อวิ๋นเยี่ยเข้าใจ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ถ้าเช่นนั้นเราก็กลับกันเถอะ” อวิ๋นเยี่ยยัดผลไม้ลูกสุดท้ายใส่ปากวั่งไฉ ปัดมือแล้วนำวั่งไฉกลับบ้าน ระหว่างทางไม่มีทหารอู่โหวคนไหนกล้าเข้ามาสอบถาม แค่เพียงจุดนี้ลั่วหยางก็ไม่สามารถทาบฉางอันติด ในเมืองฉางอันหากถึงเวลาเคอร์ฟิวแล้ว ไม่ว่าเป็นใครทหารอู่โหวก็มีอำนาจสอบถามได้
ซินเย่ว์ยืนอยู่ในลานบ้านรออวิ๋นเยี่ยกลับมา พอเห็นอวิ๋นเยี่ยกลับมาก็รีบเข้าไปต้อนรับด้วยความยินดี แต่พบว่าสามีทำหน้าเหมือนหงอยเหงามาก แม้พยายามฉีกยิ้มให้ตัวเองแต่ก็ดูออกชัดเจนว่าฝืนเต็มทน
“สามีที่รัก วันนี้เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ควรคิดเล็กคิดน้อย ยิ่งไม่ควรใช้คำพูดทำให้ท่านอารมณ์เสีย ดอกเสาเย่าที่เด็ดมาให้คนนำไปคืน ข้าจะไปขอโทษเอง ขอแค่ให้ท่านอย่าอารมณ์เสียก็พอแล้ว”
“พูดไปถึงไหนกัน ข้าอารมณ์ไม่ดีเพราะเดินเที่ยวแล้วไม่สบอารมณ์ กินผลไม้จานเดียวกับวั่งไฉยังถูกคนทั้งลั่วหยางหัวเราะเยาะ พูดกันอีกว่าเอาผลไม้ให้สัตว์เลี้ยงกินหมด ความจริงข้าก็กินด้วย” อวิ๋นเยี่ยเห็นซินเย่ว์ที่ออกอาการหวั่นวิตกเต็มหน้า ก็เลยหาเรื่องกลบเกลื่อนอารมณ์ขุ่นมัวจากการนึกถึงเรื่องสมัยโบราณขณะที่อยู่ริมแม่น้ำเมื่อตอนบ่าย
“ใช้การไม่ได้เลยสักคน ทั้งเฉียนหยวน อวิ๋นซันแล้วยังเหล่าทหารคุ้มกัน พวกนี้จะทำอะไรกินได้กะอีแค่เจ้านายตัวเองยังคุ้มกันไม่ได้ จะเลี้ยงไว้ทำไมให้เสียข้าวสุก เดี๋ยวข้าจะไปจัดการพวกนี้ที่ไม่ได้เรื่อง ท่านเพิ่งเสียอารมณ์มาให้พักผ่อนก่อน ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”
“เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องเต้นผางหรอก ถ้ามีเวลาก็เลือกดอกหมู่ตันที่สวยๆสวมไว้บนศีรษะให้ข้าอารมณ์ดีขึ้น” หนีบซินเย่ว์ไว้ในวงแขนแล้วแล้วเดินเข้าบ้านไป
ในบ้านมีแต่ดอกหมู่ตันเต็มไปหมด ท่าทางดอกไม้ทั้งหมดที่บานในสวนบ้านซ่งที่ชอบปลูกดอกไม้โดนเอามาไว้ที่นี่จนเกลี้ยงแล้ว ทั้งชมพูแดงเหลืองม่วง สีสันสดใส ทุกดอกโตขนาดชามข้าว เพียงแต่ไม่มีกลิ่นหอม ดอกหมู่ตันไม่เคยมีกลิ่นหอม มีเพียงกลิ่นที่คล้ายหญ้าสดเท่านั้น
ซินเย่ว์เลือกหมู่ตันสีม่วงดอกหนึ่ง ให้อวิ๋นเยี่ยปักไว้บนผมที่เกล้าสูง จริงดังนั้น ดอกไม้สวยบาดตากว่าคน แต่คนอรชรอ้อนแอ้นกว่าดอกไม้
ซินเย่ว์เลือกดอกสีแดงสดให้อวิ๋นเยี่ยทัดไว้หลังหู บอกว่าผู้ชายเหมาะสมกับสีแดงสดมากที่สุด ทั้งยังยื่นหน้ามาแนบชิดกับอวิ๋นเยี่ย ทำท่าเป็นคู่นกยวนยาง