เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 50 การจากลาที่เศร้าโศก
ลั่วหยางเป็นใจกลางของคลองขุดใหญ่ส่วนปั่นจู่คือไข่มุกของคลองขุดอย่างไม่มีข้อกังขา อยู่ในตำแหน่งบนสุดของคลองทงจี้ฉวีซึ่งเป็นสถานีเปลี่ยนถ่ายสินค้าเหนือใต้ ราชวงศ์ต้าถังเพิ่งก่อตั้งเพียงสิบกว่าปี อำเภอเล็กๆนี้ก็เริ่มส่อแววเจริญรุ่งเรือง ชุมนุมไปด้วยพ่อค้าที่ต่างสำเนียงอยู่ในตัวอำเภอเล็กๆนี้ หลอมรวมกันจนแทบจะกลายเป็นทะเลใหญ่
ใบเรือในคลองขุดใหญ่แน่นจนราวกับเป็นกำแพงต้นไม้ กุลีที่สวมเสื้อสั้นจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นๆลงๆอยู่บนไม้กระดานยาวพาดกราบเรือ ในเวลานี้ย่อมขาดเจ้าหน้าที่เก็บภาษีของอำเภอไม่ได้ ต่างยืนอยู่บนท่าเรือถือกระบองสุ่ยหว่าเอวคาดดาบยาว ทั้งตรวจสอบสินค้าทั้งประเมินราคาได้ในพริบตาเดียว
เฉิงฉู่มั่วประหลาดใจมากว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงไม่เดินทางตรงกลับเลือกทางอ้อม ทั้งๆที่ไปอำเภอซงหยางได้โดยตรงแต่กลับอ้อมมาทางปั่นจู่ทำให้ต้องเพิ่มระยะทางไกลขึ้นอีกเท่าตัว
กำลังนึกจะถามกลับถูกหนิวเจี้ยนหู่สกัดไว้ ทั้งสองคนส่งสายตากันแล้วหลบอวิ๋นเยี่ยออกมาแจงสี่เบี้ยกัน คนหนึ่งพร่ำพูดพร่ำสอนอีกคนตั้งอกตั้งใจรับฟังสุดท้ายแล้วจึงได้ถึงบางอ้อ
ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้นตรงศีรษะอวิ๋นเยี่ยก็สั่งให้พักที่ปั่นจู่หนึ่งวัน ไม่ได้พักโรงแรมเพราะไม่มีโรงแรมไหนสามารถรับแขกได้ถึงสองร้อยคน ทั้งปฏิเสธนายอำเภอปั่นจู่ที่เชื้อเชิญให้ไปพักยังที่ทำการนายอำเภอ ขบวนรถคงไปต่อถึงริมแม่น้ำฮวงโหจึงหยุดตั้งค่ายพักแรม
อวิ๋นเยี่ยนำไปเพียงซ่านอิงกับวั่งไฉโดยบอกซินเย่ว์เพียงคำเดียวแล้วก็ออกจากค่ายพักแรม ภายใต้สายตาที่ไม่เข้าใจของซินเย่ว์รวมทั้งเพลิงปริศนาที่สุมเต็มอกของเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ อวิ๋นเยี่ยไปอย่างสบายใจยังด้านเหนือน้ำของแม่น้ำฮวงโห
ริมแม่น้ำฮวงโหเต็มไปด้วยก้อนกรวดกลมเกลี้ยงมุมต่างๆถูกกระแสน้ำชะออกจนเกลี้ยงเกลา ภูเขาหินริมแม่น้ำแห่งนี้ก็เช่นเดียวกัน น้ำฮวงโหกระแทกซอกหินเบาๆเกิดเสียงดังซู่ๆ
กลิ่นดินของแม่น้ำฮวงโหฉุนจัด น้ำฮวงโหฤดูร้อนค่อนข้างขุ่น เนื่องจากเป็นพื้นที่ราบกระแสน้ำจึงไหลช้ามาก เพียงแต่ผิวน้ำมีวังวนอยู่บ้างแสดงให้เห็นถึงความปั่นป่วนใต้ผิวน้ำ
อวิ๋นเยี่ยนึกถึงตัวเองตอนวัยเด็กแก้ผ้าว่ายน้ำริมแม่น้ำฮวงโหที่ขุ่นคลั่ก แล้วถูกมารดาลากกลับไปฟาดอย่างหนักหน่วง ก็ยิ่งรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับแม่น้ำสายนี้อย่างมาก เก็บก้อนหินบางๆมาก้อนหนึ่งเหวี่ยงออกไปบนผิวน้ำ ก้อนหินกระโดดอยู่บนผิวน้ำไม่หยุด เกิดน้ำกระเซ็นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
สิบเอ็ดครั้ง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง ซ่านอิงหยิบหินขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจหนึ่งก้อนเดาะที่มือทีเดียวแล้วเหวี่ยงออกไป หินก้อนนั้นบินออกไปทันทีไม่รู้ว่าเกิดน้ำกระเซ็นขึ้นมากี่ครั้ง เหวี่ยงก้อนหินแล้วก็ยืนกอดอกอยู่ริมแม่น้ำด้วยท่าทีของจอมยุทธ
“เสี่ยวอิง สักครู่จะมีกองเรือผ่านมา ข้ามีจดหมายฉบับหนึ่งให้เจ้าช่วยข้าส่งขึ้นไปบนเรือ” อวิ๋นเยี่ยควักจดหมายที่ไม่ได้ปิดผนึกยื่นให้ซ่านอิงฉบับหนึ่ง
“ท่านรอใครอยู่หรือ ไม่เหมือนรอคนที่ดีหรือว่าเป็นเมียเก็บของท่าน เรื่องส่งบัตรสนเท่ห์เช่นนี้ข้าไม่รับทำหรอก” ซ่านอิงตอบปฏิเสธอวิ๋นเยี่ย พอเห็นอวิ๋นเยี่ยประหลาดใจจึงพูดอีกว่า “คำกระซิบของหนิวเจี้ยนหู่ยังดังกว่าที่คนอื่นพูดเสียงดัง ข้าไม่อยากได้ยินก็ยังไม่ได้”
“เรื่องราวภายในอธิบายได้ยากแต่ไม่ใช่จดหมายรักแน่นอน เป็นการจัดการเกี่ยวกับหลิ่งหนาน ไม่สามารถเปิดเผยได้ในเมืองหลวงจึงต้องจัดวางไว้ที่นี่ เป็นเด็กเป็นเล็กคิดอะไรให้มากเรื่อง ถ้าไม่ทำก็คืนมีดวิเศษของข้าให้ข้า ข้าจะเอามาปอกก้อนหินเล่น”
หัวใจของซ่านอิงกระตุกขึ้นมาทันที ใช้มีดนั้นฆ่าคนเขายังไม่ยอมทำ ไม่ต้องพูดถึงเอาไปปอกก้อนหิน อารมณ์ความรู้สึกของเด็กยากจนทำอะไรไม่ได้ดังใจผุดขึ้นมาทันที รีบพูดละล่ำละลักว่า “ได้ ได้ ข้าช่วยท่านส่งจดหมาย หนี้สินลดลงหนึ่งร้อยก้วน”
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกพอใจมากคราวนี้ เด็กคนนี้เรียนรู้วิธีหาเงินได้แล้วจนได้
วั่งไฉวิ่งไปมาบนหาดทรายที่อ่อนนุ่มฝากรอยเท้าไว้มากมาย ดมน้ำฮวงโหที่กลิ่นดินฉุนจัดแล้วจามเสียงดังแสดงว่าน้ำนี้ไม่ถูกปากมัน แล้วก็วิ่งกลับไปหาอวิ๋นเยี่ยหลบซ่านอิง
กองเรือมหึมาล่องลงไปตามกระแสน้ำ หัวเรือแขวนธงหงส์เหินรับลมเสียงดังอู้ๆ อวิ๋นเยี่ยยืนมือไพล่หลังอยู่บนหินก้อนยักษ์ริมแม่น้ำ เสื้อเขียวถูกลมพัดโบกพลิ้วขึ้นมายิ่งดูงามสง่ายิ่งนัก
เดิมนึกว่าท่าทีที่พิเศษของตัวเองเช่นนี้จะต้องเป็นจุดสังเกตให้หลี่อันหลานบนเรือมองเห็น ใครจะรู้ว่าไม่มีคนไหนสนใจเลยแม้แต่นิด คนเรือบนเรือยังคงชี้โน่นชี้นี่ ไม่มีคำพูดที่ดีออกจากปากพวกนี้แน่นอน
ซ่านอิงนึกอยากหลบซ่อน แต่รับปากอวิ๋นเยี่ยแล้วว่าจะต้องส่งจดหมายเหล่านั้นขึ้นไปบนเรือ เขาจึงมัดจดหมายบนลูกธนู หยิบคันธนูยาวของตัวเองเล็งไปยังเรือลำที่หรูหราที่สุดใหญ่ที่สุดแล้วยิงออกไป
ลูกธนูยาวพุ่งออกไปพร้อมเสียงหวีดหวิวปักอยู่ที่เสากระโดงเรือ เกิดเสียงร้องโวยวายบนเรือว่ามีผู้ลอบสังหาร ชายร่างใหญ่มากมายถือดาบวิ่งมาที่กราบเรือ เรียกร้องว่าจะขึ้นบกจัดการสับร่างสองหนุ่มบนบกให้ละเอียด
เสียงก่นด่าน่าเกลียดมากจนอวิ๋นเยี่ยบอกซ่านอิงว่า “เสี่ยวอิงเจ้าสามารถทำให้คนที่ด่าเราหนักมากที่สุดหยุดปากได้หรือไม่”
เท้าซ่านอิงกระดกทีเดียว ก้อนหินขนาดไข่ไก่ก็กระโดดขึ้นมาอยู่ในฝ่ามือ ไม่ทันเห็นว่าเขาเกร็งกำลังอะไร หินก้อนนั้นก็บินออกไปไวจนเกิดเสียงต้านลมดังอู้ๆ
เจ้าหัวล้านที่ยืนกระทืบเท้าด่าคนเงียบเสียงลงทันที อวิ๋นเยี่ยถึงขนาดเห็นอาการที่ฟันเขาบินขึ้นมา สมอหินยักษ์ถูกทิ้งลงกลางแม่น้ำทันที เรือใหญ่เคลื่อนตัวลงไปอีกนิดเดียวก็จอดสนิทกลางแม่น้ำ หัวเรือส่ายไปมาเล็กน้อยราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกล่ามโซ่ไว้ เรือเล็กที่ตามๆกันมาด้านหลังก็จอดลงด้วย การทิ้งสมอกลางแม่น้ำฮวงโหเช่นนี้อันตรายมาก คนบนเรือทั้งหมดเริ่มร้องเสียงดังกัน มีขันทีที่สวมชุดเขียวหลายคนยิ่งด่าได้แสบแก้วหูมาก
ลูกธนูบนเสากระโดงเรือถูกนำลงมาแล้ว ทหารคุ้มกันมองเพียงแวบเดียวก็รีบวิ่งเข้าไปในเคบินเรือ เสี่ยวหลิงตังที่สวมกระโปรงสีเขียวอ่อนก็วิ่งออกมาทันที โบกมือให้อวิ๋นเยี่ย หลี่อันหลานที่สวมขาวทั้งชุดก็ออกมายืน เหล่าทหารคุ้มกันต่างถอยกลับไปหมด
เป็นครั้งแรกที่พบว่าแม่น้ำฮวงโหที่สงบนิ่งก็มีเสียงดังมากราวกับเสียงถอนใจที่ไม่มีวันสิ้นสุด คำพูดของเสี่ยวหลิงตังผ่านมาชนิดขาดเป็นห้วงๆ “ท่านพี่อวิ๋น ท่านรักษาตัวด้วย พวกเราไปหลิ่งหนานกันแล้ว”
ฟังออกได้ว่านางกำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจยิ่งนักกระทั่งมีการสะอึกสะอื้น ในพระราชวังที่เย็นเฉียบอวิ๋นเยี่ยเป็นเพื่อนคนเดียวของนาง ขณะลงเรือที่ฉางอันคนอื่นล้วนมีคนมาส่ง มีเพียงนางที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียวราวกับดอกผูกงอิงที่ปลิวไปตามลมบนโลกใบนี้ ไม่มีใครใส่ใจว่านางปลิวไปตกที่ไหน นางพยายามมองหาดูในฝูงคนแต่ไม่พบแม้แต่เงาของอวิ๋นเยี่ย นางเข้าใจว่าอวิ๋นเยี่ยลืมนางไปนานแล้ว ตัวเองกับองค์หญิงกำลังจะไปที่นรกคนเป็นแห่งนั้น พอเห็นเงาร่างของคนที่คุ้นเคยกะทันหัน ความเจ็บปวดภายในจิตใจราวกับมีผู้รับฟังได้จึงร้องไห้ออกมาโดยไม่ได้สนใจอะไรอื่นอีก
หลิงตังเป็นเด็กสาวที่ไม่เคยคิดอะไรมาก ในความคิดง่ายๆของนางเพียงขอให้มีอาหารอร่อยทุกวันอย่ามีงานมากเกินไปนัก ให้วันเวลาผ่านไปอย่างสงบสุขก็คือชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
ใครจะรู้ว่าชะตาชีวิตมักจะเล่นงานนาง นางชอบของอร่อยก็ไม่ได้กินของอร่อย นางอยากทำงานน้อยแต่ก็มีงานมากมายให้นางทำ นางอยากมีชีวิตที่สุขสงบแต่ชะตาชีวิตกลับส่งนางไปถิ่นที่น่ากลัวมากที่สุด
หลี่อันหลานกอดหลิงตังกอดแน่นมาก นางเกรงว่าอวิ๋นเยี่ยจะพาหลิงตังไป นางสาบานว่าจะให้หลิงตังมีชีวิตที่ดีที่สุด ไม่ให้นางต้องได้รับความทุกข์โศกอีกแม้เพียงนิดเดียว การปรากฏตัวของอวิ๋นเยี่ยทำให้จิตใจที่ขมขื่นของนางได้รับความหวานชื่นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
มองเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินกลับไปมาบนฝั่งราวกับนึกอยากปลอบขวัญตัวเองกับองค์หญิงแต่ก็หาวิธีไม่ได้ หลิงตังเลยยิ้มออกมาร้องตะโกนว่า “ท่านพี่อวิ๋น หากท่านว่างให้มาที่หลิ่งหนาน ข้าคิดถึงท่าน” ตะโกนจบแล้วก็ปิดหน้าวิ่งกลับเข้าข้างในเคบิน
อวิ๋นเยี่ยออกจะเสียใจว่าตัวเองน่าจะอยู่ฉางอันต่ออีกสักพักหรือไม่ รอส่งพวกนางแล้วจึงเดินทางไปวัดเส้าหลินจะดีกว่าหรือไม่ แต่ความคิดนี้มีเพียงแวบเดียวก็ผ่านไป ไม่ได้หรอก เรื่องเช่นนี้เหมือนเรือใหญ่หากไม่มีท่าเรือก็เทียบเรือเข้าฝั่งไม่ได้ แม้ยอมให้คนรู้แต่ก็ให้คนเห็นไม่ได้
อวิ๋นเยี่ยไม่อยากให้เป็นที่บาดตาคนมาก ทำเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว มองเห็นหลี่อันหลานปล่อยผมออก ใช้มีดเล็กตัดผมออกไปปอยหนึ่งกำไว้ในมือแล้วแบมือออกให้ลมพัดผมเหล่านี้ปลิวหายไป
อวิ๋นเยี่ยอยากให้ลมพัดผมเหล่านั้นมาแต่ผมก็ยังถูกพัดจนหายไปหมดสิ้น นัยน์ตาอวิ๋นเยี่ยร้อนผ่าวยกมือขึ้นโบกให้นางแล้วลงจากหินก้อนยักษ์ เขากังวลว่าหลี่อันหลานจะมองทะลุถึงความอ่อนแอของตัวเอง
อวิ๋นเยี่ยหลบอยู่หลังก้อนหินจัดการอารมณ์รักใคร่ของตัวเอง วั่งไฉยื่นหัวออกไปสืบดูแทนอวิ๋นเยี่ย ซ่านอิงกระโดดสูงลิบยื่นมือกลางอากาศราวกับคว้าอะไรได้ อวิ๋นเยี่ยทุบศีรษะตัวเองแล้วจึงสงบลงมาได้
เสียงตะโกนให้เก็บสมอดังแว่วมา อวิ๋นเยี่ยเข้าใจดีว่ากองเรือที่ออกมาจากกว่างทงฉวีกำลังจะเลี้ยวเข้าทงจี้ฉวี แล้วค่อยเข้าไปไหวสุ่ย ผ่านปังโกวจนถึงเจียงตูแล้วค่อยแล่นไปตามแม่น้ำเจียงหนานเหอจนถึงอวี๋หัง สุดท้ายแล้วเฝิงอั้งจะรับช่วงต่อนำเข้าพื้นที่เหลียวตี้ เริ่มต้นจัดการเหลียวตี้เป็นเจ้าครองที่ดินอย่างแท้จริง ที่ดินแปดร้อยลี้คงทำให้นางปั่นป่วนสาหัสทีเดียว
แต่โบราณมาคนเรามักเศร้าโศกเวลาจากไกล คนยุคใหม่ไม่สามารถซึมซับความเศร้าโศกของคนโบราณได้ การจากไกลแต่ละครั้งอาจหมายถึงจากไปอย่างถาวร ไม่เหมือนปัจจุบัน นั่งเครื่องบินเพียงสามชั่วโมงก็สามารถบินไปรับความเย็นชื่นใจของลมทะเลในหลิ่งหนานที่เจริญรุ่งเรืองได้
นี่คือเหตุผลที่ทำไมหลิงตังจึงร้องเรียกว่าคิดถึงอวิ๋นเยี่ยในตอนท้าย หากไม่พูดตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว หลิงตังรู้ว่าฐานะเช่นอวิ๋นเยี่ยจะไม่ยอมให้เขาไปหลิ่งหนานได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้เพียงแค่ความคิดถึงนางก็ยังอยากจะร้องเรียกออกมาให้อวิ๋นเยี่ยได้รับรู้ถึงจิตใจของนาง
“ให้ท่าน” ซ่านอิงยื่นมือไปตรงหน้าอวิ๋นเยี่ย ในมือถือผมไว้เส้นหนึ่ง นี่เป็นผมเพียงเส้นเดียวที่ปลิวมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ซ่านอิงเห็นได้อย่างชัดเจน
“ขอบใจมาก” อวิ๋นเยี่ยรับเส้นผมคล้องไว้ที่กระเป๋า แล้วนำวั่งไฉเดินกลับไป เขาเดินเร็วมากกำหมัดจนแน่น ดูสิว่าสังคมที่เส็งเคร็งได้ทำอะไรไว้ ไม่ยินยอมให้มีสิ่งดีงามในโลกนี้เลย วันเวลาที่ยินดีไม่เคยมีมากเท่าวันเวลาที่เศร้าโศกเสียใจ ที่พูดกันว่าเรื่องราวในโลกมีเก้าในสิบอย่างที่ไม่ตรงกับความต้องการ หรือว่าคำพูดชุ่ยๆเหล่านี้เป็นความจริง?
ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นมา ใบหน้าของซินเย่ว์ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเยี่ย “ส่งไปหมดแล้วหรือ”
ซินเย่ว์กระพริบตาโตถามอวิ๋นเยี่ย
“ใช่แล้ว ส่งไปหมดแล้ว เจ้าตามข้ามาทำไม เมื่อวานนี้ไม่ใช่คุยเรื่องนี้กับเจ้าไปแล้วหรือ” อวิ๋นเยี่ยออกจะร้อนรน การส่งหญิงคนอื่นให้ภรรยาจับได้เป็นเรื่องที่น่าเขินมากๆ
“ข้าไม่ได้ถามถึงองค์หญิง แต่อยากถามถึงนางกำนัลสวยงามที่สวมกระโปรงเขียวว่าเป็นใคร ข้าไม่ได้ใส่ใจองค์หญิง ต่อให้นางมีความสามารถสูงส่งเท่าไหนก็แต่งมาที่บ้านเราไม่ได้ ไม่ได้ห่วงเลย เพียงแค่อยากรู้ว่าสายตาของสามีข้านั้นเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง”
จากน้ำเสียงที่ดูถูกดูแคลนของซินเย่ว์ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าเวลานี้นางสามารถฆ่าเสือได้ด้วยมือเปล่าทีเดียว