เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 51 วัดเส้าหลิน
เป็นความจริงแท้แน่นอนที่ระยะห่างทางกายภาพสามารถทำให้ระยะห่างทางความรู้สึกเป็นไปในทางเดียวกัน หลังจากหลี่อันหลานจากไปแล้วอารมณ์ของอวิ๋นเยี่ยก็ได้รับการปลดปล่อยไปด้วย เขาไม่ต้องแกล้งทำเป็นขี่ม้าเดินทางอีกแล้ว การขี่ม้านับว่าเป็นเรื่องต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก การนั่งอยู่บนหลังม้าทั้งวันจะทำให้พลังงานคนคนหนึ่งหายไปจนหมดเกลี้ยง ในเมื่อมีรถม้าให้นั่งแล้วทำไมตัวเองต้องไปทนขี่ม้าด้วย
เขาซงซันช่วงฤดูร้อนเต็มไปด้วยบรรยากาศป่าเขามีแต่ต้นไม้ใบหญ้าที่หนาแน่นเต็มป่าเขา แถบหุบเขาพอมองเห็นที่นาแปลงเล็กๆที่เพิ่งบุกเบิกมาบ้าง คนทำนาล้วนเป็นพระสงฆ์ที่ไม่ได้ศีรษะล้านต่างสวมจีวรพระสงฆ์สวดท่องมนตราแต่ไม่ได้เป็นพระสงฆ์แท้จริง พวกเขาเป็นอุบาสกที่อาศัยในวัด ใบรับรองการบวชตู้เตี๋ยไม่ใช่ได้มาง่ายๆดังนั้นพวกเขาจึงต้องรอคอยใบรับรองคุณสมบัติการบวชจากราชสำนัก
เด็กหญิงนุ่งชุดลายดอกมือหิ้วตะกร้าเดินตามอยู่ข้างๆอวิ๋นเยี่ย ผมนางผูกเป็นจุกสองข้างคล้ายซาละเปาสองลูกบนศีรษะ ให้ความสนใจอวิ๋นเยี่ยที่นอนอยู่บนรถลากอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยชวนขึ้นรถด้วยแต่เด็กน้อยยิ้มปฏิเสธดูเป็นเด็กหญิงที่มีมารยาทมากอายุไม่ถึงสิบขวบ ตะกร้าในมือน่าจะไม่เบาแต่ราวกับว่านางไม่รู้สึกอะไรทั้งยังเดินได้ไวมาก
ดูออกได้ว่านางอยากนั่งรถทั้งสนใจเสื้อผ้าที่สวยงามของเหล่าสาวใช้บ้านอวิ๋นอย่างยิ่ง แต่นางกลับวิ่งตามรถลากของอวิ๋นเยี่ย เหล่าผู้ชายตัวโตนั่งรถม้าปล่อยให้เด็กสาววิ่งคนเดียวช่างไม่ตรงกับหลักศีลธรรมของอวิ๋นเยี่ย ดังนั้นเขาจึงชวนเด็กหญิงนั่งรถอีกครั้งบอกว่าหากไม่อยากนั่งกับชายแปลกหน้าก็ไปนั่งกับพี่สาวสวยๆเหล่านั้นก็ได้
ครั้งนี้นางไม่ปฏิเสธโดดทีเดียวขึ้นไปนั่งบนประทุนรถโดยดีดเท้าได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว การที่เด็กสาวสิบขวบหิ้วตะกร้าหนักสิบกว่าชั่งโดดขึ้นรถม้าได้นั้น อวิ๋นเยี่ยไม่แปลกใจแม้เพียงนิดเดียว สาเหตุหลักคือที่นี่เป็นวัดเส้าหลินต้นตำรับการฝึกวิทยายุทธทั่วแผ่นดิน การมีเรื่องเกินความคาดหมายบางเรื่องไม่ใช่จะเกินความคาดคิดแม้เพียงนิดเดียว
อวิ๋นเยี่ยไม่ชอบรถม้าที่มีประทุนเพราะเห็นว่าเป็นการขวางกั้นทิวทัศน์ป่าเขาที่สวยงาม อวิ๋นซันจึงปูรถลากให้มีเบาะหนานุ่มเพื่อให้โหวเหยียนอนอยู่ข้างบนตัวเองขับรถ เห็นเด็กหญิงหน้าตาสวยงามนั่งคร่อมบนรถม้ายิ้มแย้มมองมาที่ตัวเองก็ยิ่งมีแรงมากขึ้นขับให้รถม้าวิ่งได้เร็วขึ้นอีก
ท้องฟ้ามืดครึ้มท่าทางฝนจะตกลงมาแล้วแต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น วั่งไฉมีถุงผ้าห้อยคอวิ่งเข้ามา ซ่านอิงที่สมควรตายใส่ของอร่อยชอบกินที่เหล่าสาวใช้ให้แขวนไว้ที่คอได้แค่ดมแต่กินไม่ได้ วั่งไฉจึงวิ่งอย่างร้อนรนมาที่อวิ๋นเยี่ยหวังว่าเขาจะช่วยตัวเองย้ายถุงผ้าไว้ที่ใต้ปาก
ซ่านอิงกับอวิ๋นเยี่ยเคยมีข้อตกลงกันว่าทำเช่นนี้ไม่ได้ทั้งไม่อนุญาตให้คนอื่นทำด้วย ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงทำได้เพียงแค่ผายมือให้วั่งไฉรู้ว่าหมดหนทางจริงๆ
เด็กหญิงถูกท่าทางที่ประหลาดของวั่งไฉดึงดูดความสนใจจึงหยิบขนมเส่าเกาในตะกร้าออกมาชิ้นหนึ่ง หยุดคิดแล้วหักออกครึ่งหนึ่งเก็บคืนกลับไปแล้วยื่นมือส่งขนมเส่าเกาที่ปากวั่งไฉอยากดูวั่งไฉกิน
วั่งไฉที่ชอบกินขนมหวานอย่างที่สุดมีหรือที่จะละทิ้งโอกาส แลบลิ้นนิดหนึ่งแล้วกินขนมเส่าเกาในมือเด็กหญิงทันที เด็กหญิงถูกลิ้นที่หยาบกร้านของวั่งไฉเลียจนจั๊กจี้หดมือหัวเราะกิ๊กกั๊กไม่หยุด
“สาวน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ” อวิ๋นเยี่ยชำเลืองมองเด็กหญิง นี่จะเป็นเด็กหญิงที่หลงเสน่ห์วั่งไฉอีกคน
เด็กหญิงไม่พูด เพียงแต่ยิ้มเห็นฟันขาวสะอาด
เริ่มมองเห็นประตูไม้ของวัดเส้าหลินแต่ไกลแล้วไม่ได้ยิ่งใหญ่งดงามมาก สร้างขึ้นมาจากไม้ไม่กี่ท่อนแม้แต่สีก็ไม่ได้ทา เงียบเหงาไม่มีคนมานมัสการเลย มิน่าที่โหวจวินจี๋สงสัยว่าทำไมต้องมานมัสการที่วัดเส้าหลินเพราะที่นี่เป็นวัดที่ไม่รับทำพิธีกรรมทางศาสนา
เห็นแต่ไกลว่ามีพระรับแขกสวมชุดดำมาอย่างพริ้วเบา หลังจากทำความเคารพกันแล้วพระชุดดำก็ไม่สนใจอวิ๋นเยี่ยอีก พูดกับเด็กหญิงว่า “สือสือ ทำไมเจ้าจึงไม่รู้กฎระเบียบเช่นนี้ การบำเพ็ญไม่ใช่ให้เจ้ารับความสะดวกสบายเพียงชั่วครู่ชั่วยาม พวกเราต้องใช้ความจริงใจความเคารพมาปฏิบัติต่อพระพุทธเจ้าโดยตั้งความหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้หลักธรรม การที่ให้เจ้าเดินทางบนเขาสิบลี้ถือเป็นการฝึกฝนให้เข้าถึงหลักธรรม การฝึกฝนวันนี้เจ้าจะต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว”
เด็กหญิงไม่ได้โต้แย้งแม้เพียงคำเดียวแต่ยกสองมือพนมพูดว่า “น้อมปฏิบัติตามคำสั่งสอนท่านอาจารย์อา” พูดจบก็คล้องตะกร้าทำความเคารพอวิ๋นเยี่ยแล้วตามพระชุดดำเข้าไปในวัด
เฉิงฉู่มั่วโดดลงจากหลังม้าหันกลับไปดูประตูวัดที่ปิดไปอีก บอกอวิ๋นเยี่ยว่า “เยี่ยจื่อ พวกหัวโล้นรู้สึกจะไม่ต้อนรับพวกเรา ข้ารู้สึกว่าพวกเขาคล้ายกับมีความเป็นอริต่อพวกเรา”
“ไม่แปลกหรอก ตั้งแต่ต้าถังตั้งราชวงศ์ก็ควบคุมศาสนาพุทธอย่างเข้มงวดแต่ส่งเสริมศาสนาเต๋า ตู้เตี๋ยของพระสงฆ์ได้มายากเย็นมาก เจ้าไม่เห็นหรือว่าในหุบเขาล้วนเป็นอุบาสกที่ปลูกพืชผักกินอยู่กันเอง วัดเส้าหลินเป็นวัดระบือนามสูงสุดในแผ่นดิน โดยทางกฎระเบียบแล้วย่อมไม่กล้าล่วงละเมิดแม้เพียงนิดเดียว
พระสงฆ์เหล่านี้ครั้งนั้นเคยช่วยฝ่าบาทไว้ไม่น้อยขณะบุกตีหวงซื่อชง ชาวพุทธต่างตั้งความหวังว่าพวกเขาสามารถเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทผ่อนคลายการควบคุมชาวพุทธได้บ้าง ผ่อนผันให้ได้ตู้เตี๋ยมากขึ้น ปีก่อนหน้านี้พระอวี้หลินกับพระเจวี๋ยหย่วนเคยไปฉางอันเที่ยวหนึ่งแต่ถูกฝ่าบาทปฏิเสธผิดหวังกลับมา ย่อมมีความรู้สึกเป็นอริต่อพวกเราที่เป็นพวกศักดินาอยู่บ้าง สามารถเข้าใจได้”
หนิวเจี้ยนหู่พูดว่า “แม้แต่คนส่งข่าวที่ประตูใหญ่ก็ยังไม่มี พวกเราคงไม่ต้องถึงกับบุกเข้าวัดเลยสินะ”
“ในเมื่อเขาไม่ตามใจเรา เราก็ตามใจเขา พวกเราตั้งค่ายพักแรมที่นี่ ข้าไม่เชื่อว่าพระสงฆ์เหล่านี้จะกล้าโอหังอะไรปานนี้ อีกทั้งอาจารย์เต้าซิ่นแห่งวัดไป๋หม่าก็ยังเป็นแขกพักอยู่ที่นี่ ข้ากับอาจารย์ถานอิ้นนับว่าเคยรู้จักกัน อาศัยจุดนี้พวกเขาคงไม่ถึงกับไม่ให้พวกเราพบ”
อวิ๋นเยี่ยลงมาจากรถลากแล้วสั่งให้ผู้ดูแลบ้านตั้งค่ายพักแรม ตัวเองนำเฉิงฉู่มั่ว หนิวเจี้ยนหู่กับซ่านอิงเดินขึ้นบันไดจนถึงหน้าประตูใหญ่จับห่วงเคาะประตู เสียงเคาะประตูดังป๊อกๆไปไกลทีเดียว
พระสงฆ์อายุสี่สิบกว่าเปิดประตูบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “อุบาสกเชิญกลับกันเถอะ วัดนี้เป็นวัดบำเพ็ญเพียร ไม่เปิดรับผู้นมัสการ ขออุบาสกไปวัดอื่นเพื่อนมัสการพระพุทธเถอะ”
อวิ๋นเยี่ยมองนัยน์ตาเย็นชาของพระสงฆ์แล้วว่า “ข้าเป็นเพื่อนเก่าของอาจารย์ถานอิ้น การมาครั้งนี้เพื่อเยี่ยมเยียนอาจารย์ อีกทั้งข้ายังมีจดหมายสำคัญฉบับหนึ่งจะต้องมอบให้ต่อหน้าอาจารย์เต้าซิ่น ขอให้อาจารย์โปรดอำนวยความสะดวกด้วย”
พระสงฆ์แม้จะเย็นชาแต่ก็มีมารยาทดีบอกให้อวิ๋นเยี่ยรอสักครู่เขาจะไปแจ้งข่าว อวิ๋นเยี่ยมีความสนใจวัดเส้าหลินในยุคต้าถังอย่างมาก เงี่ยหูฟังอยู่นานก็ยังไม่ได้ยินเสียงที่เกิดจากการฝึกวิทยายุทธของเหล่าพระสงฆ์ หรือที่คนรุ่นหลังพูดถึงหลุมต่างๆในวัดเส้าหลินนั้นเกิดขึ้นในยุคหลัง ไม่เช่นนั้นทำไมจึงได้ยินแต่เสียงเคาะมู่อวี๋แต่ไม่ได้ยินเสียงฝึกวิทยายุทธกันเลย
อาจารย์ถานอิ้นมาแล้ว อาจารย์เจวี๋ยหย่วนตามอยู่ข้างหลังล้วนเป็นคนคุ้นเคย อวิ๋นเยี่ยยิ้มขึ้นไปทำความเคารพ “อาจารย์ถานอิ้น เราจากกันที่เขาไม่จีสี่ปีแล้ว สีหน้าอาจารย์แดงเรื่อคิดว่าพุทธานุภาพคงล้ำหน้าขึ้นอีก ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก”
“สหายน้อยอวิ๋นเยี่ยมาไกลพันลี้ข้าซึ้งใจยิ่งนัก โปรดเข้าวัดสนทนากัน” ใบหน้าอาจารย์ถานอิ้นที่ผอมดำไร้รอยยิ้มแย้ม เพียงแต่เชิญอวิ๋นเยี่ยเข้าวัดราวหุ่นยนต์โดยไม่มีอารมณ์ยินดีแม้เพียงนิดเดียว
หลังจากนั่งกันเรียบร้อยในห้องรับแขกอวิ๋นเยี่ยถามว่า “อาจารย์อยู่เหนือทางโลกเหตุใดจึงดูมีกังวล หากเป็นเรื่องกังวลทางโลกสามารถบอกกล่าวข้าได้ คาดว่าคงสามารถแก้ไขอะไรให้ได้บ้างเล็กน้อย”
“สหายน้อยหยอกเล่นแล้ว ข้าเส้าหลินเป็นวัดสายเซ็น มุ่งตรงที่จิตมนุษย์ บรรลุธรรมทางจิต ไม่ได้อาศัยตัวหนังสือ หากมีกังวล เพราะจากมโนจิต ย่อมต้องฝ่าฟัน กำจัดกิเลส เพื่อความก้าวหน้า สหายน้อยคิดมากเกินไปแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยสูดกลิ่นทั่วบริเวณแล้วบอกถานอิ้นว่า “เกิดแก่เจ็บตาย ท่านอาจารย์ยังไม่หลุดพ้นอีกหรือ พวกท่านมักกล่าวว่าโลกมนุษย์มีทุกข์หนักหนา อาจารย์ผู้นี้ใกล้จะไปสู่แดนสุขาวดี ท่านสมควรยินดีแทนเขาจึงจะถูก”
เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่หัวเราะหึๆอยู่ด้านหลัง ป่วยแล้วยังไล่อวิ๋นเยี่ยออกไปอีกช่างโง่เขลาเกินเยียวยา
“อาจารย์อวี้หลินใกล้จะมรณภาพแล้ว แม้อวิ๋นโหวไม่คำนึงถึงที่ท่านเป็นอริยสงฆ์ ก็สมควรเคารพที่ท่านมีอาวุโสสูงถึงเก้าสิบปีแล้ว ทำไมจึงใช้คำเสียดสีอีกเล่า” เจวี๋ยหย่วนเป็นพระสงฆ์สายวิทยายุทธ จึงเปิดไต๋ด้วยความโกรธแค้นสุดแสนโดยที่ถานอิ้นยังไม่ทันเอ่ยปาก