เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 54 ฝนหมอกที่ปั่นป่วน
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เข้าไปด้วยแต่ผันกายไปนั่งอยู่บนขั้นบันไดจ้องดูพระชรากวาดพื้นอย่างไม่กระพริบตา คนอายุร้อยปีไม่ได้มีมากในโลกนี้ เมื่อเทียบกับคนเป็นๆที่อายุยืนยาวแล้วหนังสือวิเศษที่ชื่อคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นไม่ได้มีแรงดึงดูดตัวเองเลยแม้แต่นิด
พระชรายังคงกวาดพื้นอยู่ ไม้กวาดราวกับมีพลังลึกลับที่ทำให้คนสงบลงได้ อวิ๋นเยี่ยเห็นตั๊กแตนตายตัวหนึ่งถูกไม้กวาดกวาดไป ขาตั๊กแตนที่เป็นฟันเลื่อยเกาะเส้นไม้กวาดจนติดแน่นไม่ยอมหลุดออก เดิมเข้าใจว่าพระชราที่เปี่ยมด้วยใจเมตตาคงจะหยุดเพื่อเก็บซากตั๊กแตนออกไป ไม่แน่ว่าอาจจะฝังไว้ในดินเพื่อแสดงออกถึงจิตใจเมตตาของฝ่ายพุทธ ที่ไหนได้พระชรายังคงไม่ได้เปลี่ยนวิธีการกวาดพื้นของตัวเอง คงมองดูซากตั๊กแตนถูกพื้นหินชิงสือที่แข็งแกร่งลากถูจนร่างแหลกละเอียด ฝนบนฟ้าเริ่มตกปรอยๆลงมา อวิ๋นเยี่ยคิดอย่างดื้อรั้นว่านี่คือน้ำตาที่ฟ้าร่ำไห้เพื่อตั๊กแตนตัวนั้น ฟ้องร้องถึงความไร้น้ำใจของพระชราคนนั้น
ลานไม่ได้กว้างมากกวาดไปนานหนึ่งก้านธูปต้องกวาดหมดอยู่แล้ว เขาวางไม้กวาดลงจนได้ นำกระบวยที่เลื่อยผ่าครึ่งน้ำเต้าตักน้ำจากถังไม้แล้วสาดออกไป เม็ดน้ำที่ใสแจ๋วระยิบระยับกระเด็นตกลงบนแผ่นหินชิงสืออย่างทั่วถึง อ๋อ อวิ๋นเยี่ยนึกอยู่นานจึงรู้ว่าเขากำลังสาดน้ำ เพียงแต่แหงนหน้าดูฟ้ามีเม็ดฝนเล็กๆกำลังตกลงมาอย่างหนาแน่นไม่หยุดหย่อนลงบนแผ่นหินชิงสือเปียกปอนอยู่นานแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เสียสติอวิ๋นเยี่ยจึงยื่นมือออกไปเพื่อรับความรู้สึกเย็นเฉียบของเม็ดฝนที่ตกลงมา
หลังจากที่แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เสียสติแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงพูดกับพระชราว่า “อาจารย์ ฝนกำลังตกทำไมท่านยังจะสาดน้ำอีกเล่า”
พระชราทำเหมือนไม่ได้ยินยังคงตักน้ำจากถังไม้สาดออกข้างนอก ประหลาดมากอวิ๋นเยี่ยพบว่าเขาไม่เคยสาดน้ำบนพื้นส่วนที่เคยสาดแล้ว ถึงแม้พื้นเปียกไปแล้วทั้งหมดจนแยกแยะไม่ออก เขาก็ราวกับรู้ว่าส่วนไหนที่ยังไม่ได้สาดชนิดที่เป็นไปอย่างไม่ผิดเพี้ยน อวิ๋นเยี่ยแกล้งยืนบนพื้นที่ยังไม่ได้สาด แต่หลังจากที่โดนพระชราสาดจนเต็มศีรษะแล้วก็รู้สึกสะท้อนใจ นี่ช่างเป็นยอดคนที่มองไม่เห็นอะไรอื่นเลยไม่ว่าน้ำฝนหรือแม้แต่คนตัวโตๆเช่นตัวเองต่างไม่มีอยู่จริงในสายตาของเขา คงจะต้องคุยกันดีๆ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ประโยชน์
“ทำไมอวิ๋นโหวจึงไม่เข้าไปหลบฝนในหอไตร ทั้งยังโดนพระกวาดพื้นสาดจนเปียกไปทั้งตัว ทำไมจึงไม่หลบไป” เงาร่างของถานอิ้นออกมาจากหอไตร
“อาจารย์ถานอิ้น ข้าเกิดความรู้สึกเคารพนับถือพระกวาดพื้นท่านนี้กะทันหัน อยากขอความรู้จากท่านสักหน่อยจะได้ไหม” พระชราไม่ได้สนใจเขาเลย ได้เพียงหวังว่าฐานะของถานอิ้นผู้ดูแลวัดจะทำให้เขาสมปรารถนา
“ขอความรู้จากพระกวาดพื้น?” ถานอิ้นแสดงความงุนงงเต็มหน้า
“ใช่แล้ว ข้าดูทุกกริยาของพระกวาดพื้นท่านนี้ล้วนซ่อนสิ่งลี้ลับไว้ ข้ามีข้อสงสัยอยู่มากมาย อยากให้อาจารย์ท่านนี้คลายข้อข้องใจให้” อวิ๋นเยี่ยยอมวางบ่าไหล่ตัวเองลงเป็นครั้งแรก ขอความช่วยเหลือจากถานอิ้น
“อวิ๋นโหวพูดตลกแล้ว พระกวาดพื้นป่วยเป็นโรคสมองตั้งแต่สามสิบปีก่อน มีชีวิตอย่างทื่อมะลื่อมาแล้วสามสิบปี นอกจากรู้แค่กวาดพื้นกับสาดน้ำแล้วไม่รับรู้เรื่องอื่นทั้งหมด แม้แต่กินข้าวสวมเสื้อผ้ายังต้องมีพระสงฆ์คอยช่วยเหลือ เจ้าอาวาสว่าพระพุทธเมตตาแล้วแต่ที่เขาเป็นไป ดังนั้น ไม่ว่าเกิดพายุฝนตกหิมะลงก็ต้องปล่อยให้เขากวาดพื้นหน้าหอไตร ไม่นึกว่ากวาดมาแล้วตั้งสามสิบปี ท่านดูแผ่นหินชิงสือยังถูกเขากวาดจนเหลี่ยมมุมหายไปหมด หรือว่าอวิ๋นโหวจะขอความรู้การกวาดพื้นจากเขา?” ถานอิ้นพยายามกลั้นหัวเราะแล้วอธิบายให้อวิ๋นเยี่ยเข้าใจ
ฟังคำพูดถานอิ้นแล้วอวิ๋นเยี่ยนึกอยากหารูที่ไหนมุดเข้าไป คนแก่ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ถึงขนาดถูกตัวเองมองเห็นเป็นยอดคน ช่างน่าขายหน้ามากจริงๆ ถานอิ้นเห็นอวิ๋นเยี่ยอับอายจนไม่มีที่ยืนจึงรีบมุดกลับเข้าไปในหอไตรอย่างไม่กระโตกกระตาก คงปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยยืนถอนใจยาวกลางฝน
อับอายเกินที่จะเข้าหอไตร อวิ๋นเยี่ยเตรียมเดินชมวัดเส้าหลินกลางสายฝนคนเดียว ฝนวันนี้ปรอยได้ช่างนุ่มนวลแท้ๆ เดินไพล่มือขึ้นบันไดไป วัดที่ว่างเปล่าไม่เห็นใครเลย มีเพียงเสียงสวดมนตร์เบาๆทะลุผ่านสายฝนเข้าหูอวิ๋นเยี่ย
อาจารย์เต้าซิ่นหลบหน้าไม่ยอมให้พบไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไร ไม่ได้พบเขาที่วัดไป๋หม่าซื่อในลั่วหยางบอกว่ากำลังเข้าฌาน เข้าฌานสองวันจบก็บอกว่าอาจารย์ไปไกลถึงวัดเส้าหลิน อาจารย์สงฆ์อาวุโสสูงที่นิยมโดดเดี่ยวเป็นพิเศษกำลังเล่นกลอะไรอยู่นะ?
ข้ามธรณีประตูลานด้านหลังแล้ว อวิ๋นเยี่ยเตรียมไปชมจุดที่ต๋าหมอผินหน้าสู่ผนังเมี่ยนปี้ ผนังถ้ำยุคหลังเห็นรอยเงาดำคล้ำได้จริงๆ เวลานี้สามารถเห็นรอยโบราณสถานที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมได้ย่อมเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมนัก ส่วนเต้าซิ่นนั้น ไม่ได้เจอก็ช่างเถอะ อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าตัวเองไม่ได้มีความปรารถนาอะไรจากฝ่ายพุทธอยู่แล้ว การหวังให้วัดเส้าหลินไปสร้างวัดที่ทุ่งหญ้ากับหลิ่งหนานนั้นเป็นความคิดวินวินที่ต่างคนต่างได้ด้วยกัน เต้าซิ่นคิดเองว่าอวิ๋นเยี่ยมีความต้องการมากกว่านั้นจึงได้หลบไม่ให้พบ เขาช่างเห็นตัวเราเป็นอะไรมากเกินไป คงเพราะเห็นตัวเรากำทรัพย์สินส่วนนั้นไว้ อวิ๋นเยี่ยเข้าใจแล้วว่าที่แท้เต้าซิ่นหลบไม่ให้พบมีสาเหตุจากเรื่องนี้เอง จริงๆแล้วคนที่คิดจะหาเรื่องเอาเงินจากฝ่ายพุทธนั้นเป็นพวกหลี่เฉินเฉียง ไม่ได้เกี่ยวกับข้าเลย เรื่องนี้แม้แต่จะถามข้าก็ยังไม่ถาม
ไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนคิดไม่ซื่อต่อเงินของพวกเขา อย่างน้อยอวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้สนใจเลย ต่อให้มีเงินสองล้านก้วนถูกซ่อนอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้อย่างมิดชิด หากไม่มีการหมุนเวียนก็ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กเศษทองแดง
การใช้เครื่องทรมานไม่ว่าเหลาหู่เติ้งหรือน้ำพริกไทยบังคับให้เจ้าบอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติเหล่านั้นหรือเต้าซิ่น นั่นเป็นวิธีการที่โง่เขลาที่สุดในโลก เครื่องอัดแรงดันน้ำของหลี่ไท่ใกล้จะสำเร็จรอมร่ออยู่แล้ว ต้าถังพียงแค่ใช้เครื่องอัดผลิตเหรียญรุ่นใหม่ที่ประณีตสวยงามออกมาทั้งวันทั้งคืนไม่หยุด ยกค่าเงินให้สูงขึ้นก็พอแล้ว ต่อให้เต้าซิ่นเจ้ามีเงินมากเท่าไหนก็ช่าง ก็ได้แค่หลอมละลายเป็นเครื่องทองแดง ผลผลิตทองคำมีจำกัดมาก ได้ถามฝางเสวียนหลิงแล้ว ยังห่างไกลจากที่สามารถนำมาผลิตใช้เป็นเงินเหรียญได้ ที่สามารถหมุนเวียนในท้องตลาดสำคัญที่สุดคือเหรียญทองแดง
ภาพพิมพ์ของเหรียญหนึ่งเหวิน,สองเหวินและห้าเหวินที่หลี่เค่อออกแบบไว้ได้ส่งถึงมือหลี่ซื่อหมินแล้ว ลายเส้นประณีตสวยงามภาพศีรษะของหลี่ซื่อหมินเห็นอย่างชัดเจน ต่างจากเหรียญบรอนซ์เก่าที่กรอบและสึกกร่อนได้ง่าย เหรียญใหม่เพิ่มสัดส่วนทองแดงให้มากขึ้นจนมีแสงขึ้นเงาเหลืองอร่าม แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับเหรียญที่ขึ้นเขียวเหล่านั้น หากการทดลองเสร็จสิ้น หลี่ซื่อหมินไม่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นควรให้ทั้งแผ่นดินใช้เงินเหรียญชนิดใหม่นี้ การแลกเปลี่ยนนั้นราชสำนักเพียงแค่รับเหรียญเก่าคืนแล้วแจกจ่ายเหรียญใหม่ก็สามารถทำกำไรได้สองในสิบส่วน ความสูญเสียในขั้นตอนการหลอมที่เคยมีมากนั้นก็หายไปหมดสิ้น
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงก้าวแรก รอให้เครื่องอัดเหรียญเงินปรากฏตัว จนกระทั่งเครื่องอัดเหรียญทองปรากฏตัว ความต้องการเหรียญทองแดงก็จะลดลงไปมากมาย ผลของการลดลงก็คือราคาทองแดงจะตกลงอย่างรุนแรง เต้าซิ่นเอ๋ย นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้า ยังไม่รู้จักรีบคว้าไว้อีกหรือ
ในวัดมีพระทองแดงสูงใหญ่อีกทั้งเครื่องใช้ทองแดงอีกนับไม่ถ้วน นี่คงเป็นความลับที่เก็บซ่อนสมบัติของพวกเจ้าสินะ หน่วยข่าวกรองสืบความลับที่ซ่อนอยู่ภายในรูปปั้นดินได้แล้ว เจ้ายังคิดซุกซ่อนได้อีกนานเท่าไรกัน จดหมายของหลี่กังยังไม่สามารถทำให้เจ้าพบหน้าข้าในทันทีหรือ
เดินอยู่ท่ามกลางสายฝน อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าเรื่องในโลกนี้บางอย่างช่างน่าขันนัก ครั้งนี้ให้หลี่เฉิงเฉียน,หลี่ไท่กับหลี่เค่อสามพี่น้องเปิดศึกด้านเงินทองกับฝ่ายพุทธ ตัวเองเป็นคนสังเกตการณ์อยู่ข้างนอก ไม่มีการสั่งสอน ไม่มีการตักเตือน หลบอยู่ไกลๆ ก็เพื่อจะดูว่าตระกูลหลี่สามารถรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งได้หรือไม่กันแน่ เรื่องสร้างความเจ็บแค้นให้คนทั้งโลกนั้น ปล่อยให้คนตระกูลหลี่ทำกันเองดีกว่า ตระกูลอวิ๋นรับไม่ไหวจริงๆ
ความวุ่นวายของเต้าซิ่นเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย สู้ชื่นชมทิวทัศน์เขาเซ่าซื่อซันท่ามกลางฝนหมอกนี้ให้สบายใจดีกว่า
พอเห็นเม็ดฝนก็นึกถึงพระชราที่เป็นอัลไซเมอร์ เขากำลังทำตามสิ่งที่ร่างกายเคยชิน ส่วนสมองนั้นแม้กระทั่งยุคหลังนี้ก็ยังเข้าใจมันได้น้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงเวลานี้ ไม่ใช่ไม่เคยเห็นคนเป็นอัลไซเมอร์ การกระทำของพระชราไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ในโลกนี้มีความลับมากมายที่อธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผลทั่วไป เช่นการมาที่นี่ของตัวเองก็เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่
อย่าไปสนใจอะไรให้มากเกินไปเลย ขอให้ไม่เป็นภัยกับตัวเองก็พอแล้ว การไปเที่ยวเปิดโปงคนอื่นเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมอย่างยิ่ง
สือสือเดินออกมาจากม่านหมอกหนาทึบ อุ้มลูกสุนัขสีเหลืองไว้ในอ้อมอก ลูกสุนัขอ้วนมากคอยดันหน้านางตลอดเวลาดูท่าทางมีการบำรุงอย่างดีตรงกันข้ามกับสือสือที่ผอมบาง หมอกหนามีความชื้นสูงจัด ผมของนางเปียกแฉะจนแนบอยู่ที่หน้าผาก มุมเสื้อก็มีน้ำหยดลงมาเป็นทาง ไม่รู้ว่านางอยู่กลางสายฝนนานเท่าไรแล้ว
ฝนตกหนักขึ้นทุกที สือสือวิ่งเข้าไปในถ้ำเล็กๆที่อวิ๋นเยี่ยหลบฝนอยู่ พอเห็นอวิ๋นเยี่ยอยู่ข้างในแล้ว หน้าแดงก่ำจะรีบออกไป นางเป็นเด็กสาวที่ขี้อายมาก
“จะวิ่งไปไหนกัน ข้างนอกฝนตกหนักมาก ไม่กลัวจะโดนฝนจนไม่สบายหรือ เป็นเด็กเป็นเล็ก ทำไมต้องมีอะไรมากมายนัก” อวิ๋นเยี่ยแข็งขืนลากสือสือเข้ามาในถ้ำ ลูกสุนัขยังพยายามใช้ฟันน้ำนมกัดข้อมืออวิ๋นเยี่ย เรื่องมากเหมือนเจ้าของเลย
เข้าไปในถ้ำแล้วสือสือกลับหายขี้อาย วางลูกสุนัขลงบนพื้น ตัวเองกอบกิ่งไม้แห้งจากในถ้ำแล้วหาหญ้าแห้ง เอาหินสองก้อนกระแทกกันด้วยความชำนาญจนเกิดประกายไฟวูบวาบ นี่หรือคือเคียวไฟ? อวิ๋นเยี่ยดูสือสือก่อไฟด้วยความสนใจ อาจเพราะว่าความชื้นในอากาศมีสูงมาก นางเคาะอยู่นานก็ยังไม่สามารถทำให้กิ่งไม้แห้งติดไฟได้ คงรู้สึกว่าใช้เวลานานจนเกินไปแล้วจึงแหงนหน้าขึ้นมองอวิ๋นเยี่ย พอเห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังจ้องตัวเองอยู่ก็รีบก้มหน้าเคาะเคียวไฟต่ออีก
อวิ๋นเยี่ยควักไม้ขีดไฟออกมาวาดไปทีหนึ่งก็เกิดเปลวไฟสว่างขึ้นมาทันที ท่ามกลางแววตาชื่นชมของสือสือ จุดหญ้าให้ติดก่อน สือสือเอากิ้งไม้แห้งวางบนหญ้าแห้งแล้วค่อยเอากิ่งแห้งที่ใหญ่หน่อยวางซ้อนขึ้นไป ทำได้ถูกต้องมากเป็นวิธีจุดไฟที่ชำนาญมาก
ไฟจุดติดแล้วแต่ควันดำก็มาด้วย เพียงเดี๋ยวเดียวทั้งคู่กับสุนัขอดไม่ได้ต้องวิ่งออกไปสูดอากาศที่นอกถ้ำ สือสือตบศีรษะตัวเอง ส่งลูกสุนัขให้อวิ๋นเยี่ยแล้วตัวเองก็เริ่มปีนหน้าผาขึ้นไป อวิ๋นเยี่ยตะโกนให้นางลงมา ฝนตกหน้าผาลื่นมากเกินไป
ปีนขึ้นไปได้ราวสองจั้ง สือสือก็ลากหญ้าแห้งออกมาฟ่อนใหญ่จากบนผาแล้วจึงปีนลงมา ดูใกล้จะถึงพื้นแล้ว ก้อนหินที่นางเกาะอยู่เกิดหลุดออกมา อวิ๋นเยี่ยกระโดดขึ้นไปจะรับนางไว้ ใครจะรู้ว่าเขาคว้าน้ำเหลว ร่างสือสือบิดกลางอากาศทีเดียวตีลังกากลับหลังแล้วยืนนิ่งอยู่บนพื้น
“เจ้าปีนสูงเช่นนั้นทำไม เกิดตกลงมาจะทำอย่างไร” สือสือหัวเราฮิๆไม่ตอบแต่ใช้นิ้วชี้ผนังหน้าผา อวิ๋นเยี่ยแหงนหน้าดูเห็นควันดำออกมาจากจุดที่สือสือดึงหญ้าออกมาเมื่อครู่นี้ ที่แท้ถ้ำนั้นเป็นจุดที่ควันออกไปได้
กลับเข้าไปในถ้ำใหม่ ในนั้นไม่มีควันดำอีกคงเหลือแต่กลิ่นไหม้ไฟ สือสือยกก้อนหินออกมาสองก้อนถือว่าเป็นเก้าอี้ของทั้งคู่ ภูเขากลางฝนเย็นสบายดีแท้แต่สำหรับสือสือที่เสื้อผ้าเปียกปอนนับว่าหนาวแล้ว
อวิ๋นเยี่ยถอดเสื้อคลุมที่มีความชื้นให้สือสือ นางโบกมือปฏิเสธ “รีบเปลี่ยนเสื้อเปียกออกแล้วใส่ตัวนี้ รอผึ่งแห้งแล้วค่อยเปลี่ยนคืน” อวิ๋นเยี่ยชักมีอารมณ์ จะมาขนบธรรมเนียมอะไรกันนัก เด็กน้อยตัวราบเรียบราวไม้กระดานยังจะกลัวใครดูอีกหรือ