เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 55 โชคสองชั้นถึงบ้าน
ยืนอยู่ที่ปากถ้ำมองดูฝนหมอกที่อึมครึมของเขาเซ่าซื่อซัน ฟังเสียงก๊อกแก๊กที่อยู่ข้างหลังแล้วอวิ๋นเยี่ยนึกขำ เด็กหนอเด็กถึงอย่างไรก็ยังต้องเชื่อฟังคนที่แก่กว่า
“เสร็จแล้ว” เสียงเล็กๆผ่านเข้ามา หันกลับไปดูแล้วอวิ๋นเยี่ยหัวเราะกิ๊กออกมา เสื้อตัวโตมากจนสือสือต้องจับชายเสื้อไว้ไม่ให้ตกลงบนพื้น อวิ๋นเยี่ยเก็บไม้ท่อนหนึ่งแขวนเสื้อของเด็กน้อยปักไว้ข้างกองไฟรอผึ่งให้แห้ง
วัดเส้าหลินกินข้าวเพียงวันละสองมื้อ ซินเย่ว์ห่วงว่าอวิ๋นเยี่ยจะหิวจึงตั้งใจใส่ของกินไว้ในอกเสื้อให้เขา ควักห่อกระดาษน้ำมันออกมาในนั้นมีหูปิ่งอันใหญ่ใส่ไว้อยู่ หูปิ่งมีไส้เป็นเนื้อแพะตากแห้ง หักหูปิ่งออกเป็นสองชิ้นแล้วยื่นให้สือสือชิ้นหนึ่ง
นางลังเลนิดหนึ่งแต่ก็ทนความเย้ายวนของอาหารไม่ได้ เด็กวัยนี้กินเก่งที่สุดตอนอวิ๋นเยี่ยในวัยนางอยากกินทั้งวัน ขนาดแม่ใช้ให้ไปซื้อเกลือยังสามารถเลียนิ้วจุ่มลงไปชิมเกลือ พูดได้ว่าขอให้เป็นของที่กินได้ล้วนลองกินมาจนหมด ไม่ว่าจักจั่น ตั๊กแตน นกกระจอก ปลาเล็กปลาน้อยในแม่น้ำล้วนลองมาหมดแล้ว ไม่เกี่ยวกับความหิวแต่เพียงเพราะอยากลองรสชาติใหม่ๆเท่านั้น
จริงดังนั้นปฏิกิริยาของสือสือไม่ต่างกับตัวเองในวัยเด็กเลย หลังจากควักเนื้อแพะป้อนให้ลูกสุนัขสองสามชิ้นแล้ว นางก็ค่อยๆกินคำเล็กๆ อย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวหูปิ่งครึ่งชิ้นก็เข้าไปอยู่ในท้อง อวิ๋นเยี่ยโยนกระติกน้ำให้สือสือ ตัวเองค่อยๆกินต่อช้าๆ เนื้อแพะตากแห้งเค็มมากนางต้องคอแห้งแน่ ดูนางพลิกไปพลิกมาไม่รู้วิธีเปิดกระติกน้ำ อวิ๋นเยี่ยวางหูปิ่งตัวเองลงแล้วบิดเปิดกระติกน้ำ เวลานี้ตระกูลอวิ๋นสามารถมีเครื่องทำเกลียวไม้ได้แล้ว แต่ยังทำเกลียวเหล็กไม่ได้เพราะยังหามีดทำเกลียวที่เหมาะสมไม่ได้จึงต้องยกเลิกไป
เอากระติกดื่มน้ำแล้วสือสือแอบดูชายหนุ่มตรงหน้า แม้แต่กินข้าวก็ยังดูสุภาพเรียบร้อย ได้ยินว่าพวกคุณชายที่เรียนหนังสือต่างสุภาพเรียบร้อยเช่นนี้ พวกพระสงฆ์ในวัดนอกจากเจ้าอาวาสแล้วต่างไม่ชอบยิ้ม เขายังมีของที่ถูแล้วมีไฟลุกติดขึ้นมาได้ เคียวไฟตัวเองใช้มานานจนเวลานี้จุดไฟไม่ติดแล้ว
“บิดาเจ้าเล่า ทำไมจึงปล่อยให้เจ้าเด็กสาวคนเดียววิ่งไปทั่วภูเขา” อวิ๋นเยี่ยถามสือสือ ท่าทีของพระสงฆ์ในวัดที่มีต่อนางประหลาดมาก คล้ายเป็นรุ่นอาวุโสทางสายเลือดแต่ก็ราวกับมีอะไรขวางกั้นอยู่ การมีเด็กสาวในวัดของพระสงฆ์ย่อมไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
“ท่านพ่อต้องสวดมนตร์ทั้งยังต้องสอนวิทยายุทธให้พระสงฆ์อื่นอาศัยอยู่ในวัด มีข้าอยู่ที่เชิงเขาคนเดียว” สือสือแหงนหน้าใช้นัยน์ตาที่แวววับมองอวิ๋นเยี่ย
บิดานางเป็นพระสงฆ์? อวิ๋นเยี่ยอดกลั้นอยู่นานที่ไม่ถามคำนี้ออกมาเพราะเกรงว่าจะทำให้เด็กน้อยเสียใจ แต่ไหนแต่ไรมาอวิ๋นเยี่ยยอมรับนับถือเด็กแข็งแกร่งที่สามารถสู้ชีวิตด้วยตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย พวกเขาไม่ต้องรอความสงสารหรือเห็นใจ ต่อให้ถูกตีศีรษะแตกพวกเขาก็ยังสามารถปีนจากร่องน้ำขึ้นมาได้
อวิ๋นเยี่ยอยากรู้นักว่ากระเป๋าในอกเสื้อตัวเองซินเย่ว์ใส่อะไรลงไปบ้าง จึงควักออกมาทีละอย่างเริ่มด้วยไม้ขีดไฟต่อด้วยผ้าเช็ดหน้าตามมาด้วยของหนึ่งห่อ ไม่เลว ยังมีเนื้อวัวแห้งผลไม้แห้งอุดมสมบูรณ์มาก ตั้งแต่ไม่มีเรื่องบุหรี่แล้วอวิ๋นเยี่ยก็ติดของกินจุกจิก เวลาว่างๆหากไม่มีของอะไรขบเคี้ยวมักรู้สึกว่าขาดอะไรไป
แบของกินจุกจิกออกมาแล้วก็ชวนสือสือร่วมลงมือกินกัน ปากเล็กๆเคี้ยวได้รวดเร็วมาก เนื้อวัวแห้งถูกนางอมไว้ในปากราวกับจะชิมจนรสชาติสุดท้ายออกมาให้หมด หรี่ตารับความสุขที่ได้จากอาหารที่เอร็ดอร่อย
ในเวลาน้ำชาตอนบ่ายที่สบายอารมณ์ มีของที่น่ากินมากเท่าไรก็ไม่เพียงพอให้สองคนที่นิยมการกินอาหารอร่อย เสื้อที่อยู่ข้างกองไฟไม่มีควันขาวออกมาอีกแล้ว กำแล้วรู้สึกถึงความอุ่นในมือ ยื่นเสื้อให้สือสือแล้วอวิ๋นเยี่ยออกไปนอกถ้ำ ฝนข้างนอกได้หยุดโดยไม่ทันรู้สึก อากาศนำความหอมกรุ่นของป่าเขามาด้วย เมื่อสูดเข้าไปแล้วรู้สึกสดชื่นไปทั่วทั้งร่าง
สือสือเดินออกมาจากถ้ำ ทั้งคู่สบตากันแล้วยิ้มต่างเข้ากันได้ดีมาก กุมมือน้อยๆของสือสือไว้ในมืออย่างเป็นกันเองแล้วลากนางลงเขา ความจริงก็ชอบวิธีการเช่นนี้มากอยู่แล้ว การพบกันโดยบังเอิญในถ้ำทำให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
สำหรับสือสือแล้วอวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้เลยว่าชอบเด็กคนนี้จากส่วนลึกของหัวใจ ทั้งแข็งแกร่งทั้งเข้าใจเรื่องราว คล้ายดอกไม้ป่าที่ทั้งติดดินทั้งเป็นธรรมชาติ
วัดเส้าหลินอยู่ที่เชิงเขา ค่ำแล้วพระสงฆ์เคาะระฆังทองแดงเสียงดังก้องกังวาน คละด้วยเสียงสั่นเทิ้มสะท้อนอยู่ท่ามกลางป่าเขา ประตูหลังยังเปิดอยู่ ทั้งคู่กำลังจะย่องเข้าวัด แต่ใครจะรู้ว่าเจวี๋ยหย่วนยืนอยู่ในประตูหลัง พอเห็นอวิ๋นเยี่ยกับสือสือจูงมือกันเข้าประตูก็พูดกับสือสือทันทีว่า “ให้ลงเขาทุกวันก่อนเข้าเรียนค่ำ นี่เป็นกฎระเบียบ เจ้าลืมแล้วหรือ ทำไมยังรบกวนแขกอีก ยิ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง”
“อาจารย์เจวี๋ยหย่วน วันนี้ข้าชวนสือสือนำข้าเที่ยวชมเขาเซ่าซื่อซันกลางฝน หากไม่ใช่เพราะนางรู้จักถ้ำเล็กที่หลบฝนได้ ข้าต้องกลายเป็นลูกสุนัขตกน้ำแน่นอน ขอให้อาจารย์เห็นแก่หน้าข้าโปรดให้อภัยนางสักครั้ง ครั้งนี้ผิดที่ข้าเอง สือสือโดนข้าทำให้ต้องผิดกฎระเบียบ”
ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้แล้ว ใบหน้าเจวี๋ยหย่วนจึงผุดรอยยิ้มออกมานิดหนึ่ง พูดติดๆกันว่ามิกล้าแล้วพูดกับสือสือว่า “ครั้งนี้เห็นแก่เจ้าที่พาอวิ๋นโหวท่องเที่ยว ยอมปล่อยให้ครั้งหนึ่ง ครั้งหน้าหากทำผิดจะไม่ให้อภัยอีก ไปเถอะ จัดการให้เรียบร้อยแล้วลงเขาไป”
“ได้ ท่านพ่อ ข้าจะลงเขาแล้ว” สือสือมองเจวี๋ยหย่วนแวบหนึ่งแล้วคลายมืออวิ๋นเยี่ยออก ไปห้องเตรียมนำตะกร้าลงเขา ที่แท้พระสงฆ์นั้นคือเจวี๋ยหย่วน พระสงฆ์วิทยายุทธอันดับหนึ่งที่ทรงเกียรตินอกจากกินเนื้อได้แล้วยังมีภรรยาได้อีก? ไม่แหวกแนวมากไปหน่อยหรือ
เห็นอวิ๋นเยี่ยมองดูเขาด้วยความงุนงง เจวี๋ยหย่วนฝืนยิ้มพูดว่า “อวิ๋นโหวคงไม่รู้ ข้านั้นเคยทำผิดศีลข้อกาเมจนมีพยานบาปคนนี้ ข้าเคยถูกวินัยธรบัญญัติโทษให้ก่อเนินเขา ท่านดูเนินดินหน้าวัดก็คือผลงานที่ข้าใช้แรงงานทำมาห้าปี แต่ไม่ว่าโทษจะหนักเท่าไร ข้าก็ไม่สามารถทอดทิ้งเด็กคนนี้ได้ ผ่านมาโดยไม่รู้ตัวสิบปีแล้ว ดูเด็กคนนี้เติบโตขึ้นทุกวันจนไม่สามารถอาศัยอยู่ในวัดได้อีก จึงสร้างบ้านให้นางหลังหนึ่งไว้ที่เชิงเขาเพื่อให้นางพอใช้พักอาศัยได้ กลางวันนางมาที่วัดได้ แต่กลางคืนจะต้องลงเขาไปอยู่บ้าน บางครั้งข้าเป็นห่วงจนนอนไม่หลับทั้งคืนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อมีกังวลแล้วโพธิจิตบกพร่องยังน่ากลัวกว่าผิดศีลกาเมเสียอีก”
นี่ยังนับว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งเมื่อผิดศีลกาเมแล้วก็รับผิดจะมีอะไรมากมายนัก หาบดินก่อเนินเขาสูงขนาดตึกห้าชั้นนับว่าได้ชดใช้ความผิดต่อพระวินัยของวัด เพียงแต่เด็กหญิงไม่สามารถให้อยู่ในวัดได้ เจวี๋ยหย่วนก็แสดงออกถึงความห่วงใยในฐานะบิดาคนหนึ่ง เพียงแต่คำพูดสองคำสุดท้ายฟังดูไม่เป็นภาษามนุษย์ เห็นอยู่ชัดๆว่าเจ้าเป็นต้นเหตุให้เด็กลำบากยังมีหน้ามาพูดว่าโพธิจิตบกพร่อง แล้วตอนผิดศีลกาเมทำอะไรอยู่หรือ
สือสือหิ้วตะกร้าทำความเคารพเจวี๋ยหย่วนกับอวิ๋นเยี่ยแล้วก็จะลงเขา ลูกสุนัขสีเหลืองเดินกระดิกหางตามอยู่ข้างหลังเห็นแล้วรู้สึกอนาถใจ อวิ๋นเยี่ยนึกอะไรขึ้นมาแล้วพูดว่า “สือสือ รอก่อน เจ้ามานี่ ข้ามีอะไรจะบอก”
สือสือเดินมาอย่างเชื่อฟังทั้งคอยดูสีหน้าของเจวี๋ยหย่วน นางไม่อยากจากบิดาไป เจวี๋ยหย่วนหันหน้าไปอีกทางหนึ่งไม่ดูพวกเขาทั้งสอง
อวิ๋นเยี่ยเดินขึ้นหน้าลูบศีรษะสือสือพูดว่า “ข้าชื่ออวิ๋นเยี่ย หรือปู๋ชี่ ขุนนางชั้นสาม บรรดาศักดิ์หลานเถียนโหว วิชาคณิตศาสตร์แม้ไม่นับว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินแต่คนที่เทียบเคียงได้ก็หาได้ยากนัก เจ้ากับข้าพบกันนับว่ามีวาสนา ข้าแสนถูกใจเจ้าที่มีความซื่อบริสุทธิ์ทั้งเห็นใจเจ้าที่ขาดที่พึ่ง เจ้าสนใจที่จะเป็นลูกศิษย์ข้าฝึกวิชาคณิตศาสตร์หรือไม่”
สือสือลืมตาโตไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่เจวี๋ยหย่วนกลับคุกเข่าลงไปเสียงดังโครมทั้งลากตัวสือสือลงไปด้วย สำหรับสือสือแล้วนี่เป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า โอกาสชั้นเลิศเช่นนี้จะไม่รีบคว้าไว้ได้อย่างไร ชื่อเสียงอวิ๋นเยี่ยสือสือนั้นไม่รู้แต่เจวี๋ยหย่วนมีหรือที่จะไม่รู้
“สาธุ สาธุ จางสือได้รับการอุปถัมภ์จากอวิ๋นโหวเป็นวาสนาของนางแท้ๆ ทั้งเป็นวาสนาของเจวี๋ยหย่วนด้วย ข้าขอแสดงความยินดีกับอวิ๋นโหวด้วย” อาจารย์อวี้หลินไม่รู้ปรากฏตัวอยู่หลังอวิ๋นเยี่ยตั้งแต่เมื่อไรปรบมือด้วยความยินดี
สือสือคุกเข่าที่พื้นโขกศีรษะด้วยความเคารพสามครั้ง เจวี๋ยหย่วนในฐานะผู้ปกครองคุกเข่าด้านข้างก็โขกศีรษะขอบคุณด้วย นี่เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ อวิ๋นเยี่ยรับการกราบสามครั้งจากสือสือ หมายความว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเขาคืออาจารย์ของสือสือ มีทั้งอำนาจและภารกิจแทบจะเท่ากับบิดามารดาของสือสือ
อวิ๋นเยี่ยลูบคลำศีรษะของสือสืออีกครั้งหนึ่งพูดว่า “เป็นลูกศิษย์ข้า ต้องรู้จักความละอายใจ ไม่ใช่ไม่ทำดีเพราะเรื่องเล็ก ไม่ใช่ทำชั่วเพราะเรื่องเล็ก การศึกษาอาศัยความขยันมาก่อน การปฏิบัติตนความกตัญญูมาก่อน พวกเราไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เคารพเพียงบรรพบุรุษ อาศัยมือเราเบิกฟ้าเราเอง บุกเบิกแผ่นดินเราเอง แม้สิ้นหนทางก็ไม่ท้อ แม้ถึงจุดตายก็สู้เพื่ออยู่รอด สิ่งเหล่านี้เจ้าทำได้หรือไม่”
คำสอนของอวิ๋นเยี่ยทำให้อวี้หลินกับเจวี๋ยหย่วนอ้าปากค้าง ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าอาจารย์สอนลูกศิษย์เช่นนี้ ไม่มีกฏระเบียบที่ละเอียดชัดเจน มีแต่ขอบเขตที่กว้างขวาง ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เคารพแต่บรรพบุรุษ สนับสนุนให้ลูกศิษย์ตัวเองใช้ทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตรอด นี่เป็นกฎระเบียบของสำนักไหนกัน ลูกศิษย์ที่มาจากอาจารย์เช่นนี้เชื่อได้ว่าล้วนเป็นคนที่พยศสุดแสน หากหวังเป็นสุภาพบุรุษนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
สือสือกลับตอบรับด้วยความยินดีว่า “ลูกศิษย์จะต้องทำได้”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยหัวเราะฮ่าๆ เตะตะกร้าใต้เท้ากระเด็นไป อุ้มสือสือพาดไหล่เดินสาวเท้าอาดๆไปที่ค่ายพักแรมของตัวเอง สือสือฟุบบนบ่าอวิ๋นเยี่ยลาบิดาด้วยน้ำตานองหน้า
อวิ๋นเยี่ยแบกเด็กสาวคนหนึ่งกลับมาค่ายพักแรมย่อมเกิดโกลาหล จนอวิ๋นเยี่ยบอกฐานะสือสือให้ทุกคนรับรู้แล้ว บ่าวไพร่ตระกูลอวิ๋นต่างขึ้นมาทำความเคารพนายหญิงจิ๋ว เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ก็มอบของขวัญให้ ซ่านอิงใช้มีดสลักหุ่นไม้ทันทีจนได้รับคำชมไปทั่ว ซินเย่ว์มีรุ่นอ่อนอาวุโสเป็นคนแรก ใช้ศีรษะสือสือเป็นเวทีการแสดง บนนั้นปักแน่นไปด้วยเครื่องประดับระยิบระยับ เสี่ยวหนิวฮูหยินกับจิ่วอีก็ยินดีอย่างยิ่ง จับสือสือแต่งตัวเป็นหุ่นกระบอก
ซินเย่ว์กำลังค้นผ้าให้สือสือเพื่อเตรียมตัดเสื้อผ้าใหม่ แต่เกิดอาการคลื่นไส้กะทันหันจนน้ำตาน้ำมูกออกพร้อมกันหมด หญิงสาวทั้งสองข้างตกใจจนต้องรีบพยุงเอาไว้เตรียมเรียกให้หมอมาตรวจ
“อาจารย์แม่จะมีน้องชายแล้ว” สือสือพูดออกมาคำหนึ่ง ซินเย่ว์ได้ยินแล้วลืมตาจนกลมโตชี้สือสือพูดว่า “เจ้าพูดอีกครั้งซิ”
“ชุยผอผอบอกว่า ผู้หญิงคลื่นไส้ก็คือจะมีน้องชายแล้ว” สือสือกระพริบตาโตพูดอีกรอบหนึ่ง
จิ่วอีที่เคยคลอดบุตรตบศีรษะตัวเองอย่างแรงไปหนึ่งที อาการที่ชัดเจนขนาดนี้ตัวเองกลับไม่ได้สังเกตเห็น ต้องอาศัยเด็กสาวสิบขวบมาเตือนสติ รีบพุ่งตัวออกไปหาหมอมาจับชีพจรให้ซินเย่ว์
ซินเย่ว์พูดได้เพียงคำเดียวว่าสวรรค์แล้วก็ค่อยๆลงไปนอนบนเตียง เพิ่งนอนลงไปก็ค่อยๆคลานขึ้นมาอีกปากพร่ำพูดว่า “ช้าไว้ ช้าไว้ อย่าทำให้เด็กเป็นอะไร อย่าทำให้เด็กเป็นอะไร” แล้วเรียกสือสือ จูบที่หน้านางถี่ๆราวกับลูกไก่จิกข้าวกิน
เสี่ยวหนิวฮูหยินเอ็ดตะโรลั่น ทำจนคนทั้งค่ายพักแรมปั่นป่วนกันหมด ถึงแม้ยังไม่ได้ตรวจชัดเจน แต่เหล่าเฉียนก็ร้องไห้จนน้ำตานองหน้าไปแล้ว ตระกูลอวิ๋นมีทายาทแล้วหมายความว่าครอบครัวตัวเองสามารถอยู่รับความอู้ฟู่ต่อในบ้านตระกูลอวิ๋น ปีก่อนๆที่เคยคิดจะไปหาทางเจริญก้าวหน้าที่อื่นนั้นมลายหายไปจนหมดสิ้น