เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 6 การกล่าวเตือนด้วยใจจริงของหลี่เค่อ
ทุกครั้งที่เขาบาดเจ็บ อวิ๋นเยี่ยจะรีบกลับไปที่สำนักศึกษา หลบอยู่ในห้องทำงานเล็กๆ ของเขาเพื่อเลียแผล ซึ่งนี่กลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว มีเพียงการอยู่ที่นี่เขาจึงจะรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของตนเอง
เมื่อเทียบกับปีศาจมารร้ายในเมืองหลวงแล้ว อวิ๋นเยี่ยกลับคิดถึงวันแห่งความสงบสุขบนทุ่งหญ้าเป็นอย่างมาก การมีความสัมพันธ์ทางกายเพียงครั้งเดียวโดยปราศจากปัจจัยใดๆ ทางอารมณ์ แต่กลับมาเป็นบ่วงพันธนาการรอบคอตนเองก่อนหน้านี้เป็นเพียงร่างกายที่ทำให้เขาไม่สามารถปล่อยวางได้ ตอนนี้ไม่แน่ว่าร่างกายนั้นอาจจะกำลังสร้างเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาอยู่ก็เป็นได้ เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้พื้นที่ราบเรียบด้านหนึ่งให้นูนสูงขึ้นมาได้
เดินเล่นอยู่ในสำนักศึกษาราวกับผีดิบเดินได้ อยากจะเปิดประตูห้องเรียนใครจะรู้ว่าประตูนั้นกลับหนักเป็นอย่างมาก เขาเกือบจะใช้เรี่ยวแรงจนหมดสิ้นจึงจะเปิดประตูนั้นได้ ห้องเรียนนั้นเงียบสงบไร้เสียง นักเรียนทั้งสิบคนพร้อมใจกันจ้องมองเขา ดูเหมือนว่าอยากจะรู้ความคิดของเขาเกี่ยวกับประตู
สีหน้าของหลี่ไท่มีอาการเย้ยหยันปรากฏอยู่เล็กน้อย ความเหนือชั้นของนักเรียนหัวกะทินั้นโดดเด่นออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย หลี่เค่อดูเหมือนพยายามจะหลบเลี่ยงสายตาของอวิ๋นเยี่ย จะต้องทำอะไรผิดแน่ หั่วจู้สีหน้าตื่นตระหนกเหล่มองอวี้ฉือเป่าหลินที่นั่งกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ที่ทำให้ประตูหนักมากถึงเพียงนี้แน่ มีเชือกอยู่ด้านหลังประตูแขวนอยู่บนคานเส้นหนึ่งที่ล็อกประตูไว้ หากอยากเปิดประตูจะต้องยกของหนักมาแขวนอยู่ที่ปลายเชือกอีกด้านหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยเกาะขอบหน้าต่างและมองออกไปด้านนอกเห็นเชือกอีกด้านหนึ่งมัดถังไม้ไว้
ออกแบบได้ค่อนข้างน่าสนใจ หากต้องการเปิดประตูก็ต้องยกถังน้ำที่เต็มถังขึ้นตามเชือกในแนวทแยงและเทน้ำเข้าไปในรางน้ำ เมื่อประตูปิดถังก็จะกลับลงไปในสระเพื่อเติมน้ำอีกครั้ง รอให้ผู้ที่เปิดประตูเป็นคนถัดไปยกมันขึ้นอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เป่าหลิน เจ้าเป็นคนทำสิ่งนี้ใช่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยรู้สึกประหลาดใจกับการฉลาดขึ้นอย่างฉับพลันของอวี้ฉือเป่าหลิน
“อาจารย์ข้าเป็นคนทำ หั่วจู้ช่วยข้าออกความคิดมากมาย ข้าเห็นชายชราที่รดน้ำในสวนดอกไม้ ทุกครั้งที่หิ้วน้ำก็ไอเอาเป็นเอาตาย จึงได้คิดหาวิธีที่ว่าเขาจะได้ไม่ต้องหิ้วน้ำเอง”
ไม่น่าแปลกใจที่หลี่กังจะชอบอวี้ฉือเป่าหลินมากถึงเพียงนี้ บางครั้งยังลำเอียงอีกด้วย อวี้ฉือจอมโง่ที่ยิ้มอย่างซื่อบื้อจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ก็มีความน่ารักของเขาอยู่ สงสารและเมตตาผู้อ่อนแอซึ่งเพียงแค่เรื่องนี้ก็มากพอที่จะทำให้อวิ๋นเยี่ยหันมามองเขาใหม่
“ดีมาก เจ้าสามารถใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้วนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ แม้ว่าอาจจะยังเป็นการทำแบบหยาบๆ แต่ก็ได้เริ่มก้าวแรกแล้วซึ่งก้าวนี้นั้นสำคัญมาก วันหนึ่งเราจะปล่อยให้น้ำไหลเข้าไปในบ้านด้วยตัวของมันเอง นี่เป็นระบบวิศวกรรมอย่างหนึ่ง หากแก้ปัญหาได้ข้าเชื่อว่ามันจะนำพาเกียรติยศและเงินทองมากมายมาให้พวกเจ้าไม่มีที่สิ้นสุด ข้าจะให้คะแนนเพิ่มอีกห้าคะแนนสำหรับผลการสอบของเป่าหลินในปีนี้ ขอให้ทุกคนพยายามกันอย่างเต็มที่ ผลคะแนนไม่ได้มีจากการสอบได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“อาจารย์ อวี้ฉือเป่าหลินออกแบบของสิ่งนี้ได้ ข้าเชื่อว่าทุกคนในห้องนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน หรืออาจจะดีกว่าด้วย อย่างเช่นมันต้องออกแรงมากเกินไป เพียงแค่ติดตั้งฟันเฟืองอีกสองชุดปัญหานี้ก็จะสามารถแก้ไขได้ วิธีการที่ดูเกือบจะปัญญาอ่อนประเภทนี้ข้าไม่เห็นด้วย เขาได้รับคะแนนพิเศษมาง่ายเกินไป คะแนนของพวกเราไร้ค่าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
หลี่ไท่ลุกขึ้นอย่างโกรธเคืองมาก ต่อว่าว่าอวิ๋นเยี่ยลำเอียงเข้าข้างอวี้ฉือเป่าหลิน
“ชิงเชวี่ยเจ้าพูดถูกทุกอย่าง แล้วทำไมเจ้าไม่ไปทำล่ะ หากคนทำเป็นเจ้าและทำสิ่งนี้ให้สมบูรณ์แบบ เจ้าจะได้รับคะแนนเพิ่มอีกสิบคะแนน ตนเองไม่ทำแล้วยังจะโทษเพื่อนคนอื่นที่ทำอีก ซึ่งมันไม่ถูกต้อง คนที่ไม่ลงมือทำไม่มีสิทธิ์ที่จะตำหนิคนที่ลงมือทำ เพราะเขาเดินไปได้ไกลกว่าเจ้าการได้รับรางวัลมันก็สมเหตุสมผลแล้ว
วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาที่ต้องลงมือทำจริงๆ การเปลี่ยนความรู้ให้เป็นสิ่งของจริงที่จับต้องหรือเห็นได้จึงจะเป็นความยอดเยี่ยมของวิชานี้ มิฉะนั้นมันก็จะกลายเป็นเพียงกองขยะที่อยู่ในหัวสมองเจ้า”
นี่เป็นส่วนที่อวิ๋นเยี่ยชื่นชอบมากที่สุด การพูดคุยกันที่นี่จึงจะยิ่งได้ใกล้ชิดกับยุคปัจจุบันมากกว่า ในตอนนี้ได้ทำให้วัยรุ่นอายุสิบกว่าขวบเหล่านี้ได้กลายเป็นตัวเองอีกคนหนึ่ง ก็รู้สึกดีใจจากส่วนลึกในหัวใจ
สำหรับความเข้าใจเรื่องของกำลัง ทั้งสิบสองคนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องแรงเสียดทาน ได้ทำให้หลี่ไท่ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดอย่างสุดตัว เขากำลังคิดไตร่ตรองเรื่องกังหันน้ำของตนเองอยู่
ตอนนี้มักจะมีสิ่งแปลกประหลาดหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างตกลงมาจากท้องฟ้าเป็นระยะๆ ถึงกับมีหมูวิ่งชนหน้าต่างจนพังและตกลงบนโต๊ะของอาจารย์หลี่กัง เรื่องร่มที่ลอยลงมาไม่ใช่หลี่ไท่คนเดียวที่สนใจอีกต่อไป จนกระทั่งมีวันหนึ่งขณะที่เมิ่งปู้ถงโดดร่มลงมาจากท้องฟ้า อาจารย์ผู้สูงวัยก็คลุ้มคลั่งอย่างที่สุด เมิ่งปู้ถงที่กลัวจนปัสสาวะราดซึ่งคาดหวังว่าจะได้รับรางวัลจากสำนักศึกษากลับถูกโบยอย่างแรงไปสิบไม้
สำนักศึกษานั้นดูแลยากแล้ว หลี่กังเป็นทุกข์กับเรื่องนี้จนกระทั่งผมเส้นสุดท้ายยังหงอกเลย สำนักศึกษาอวี้ซันนั้นไม่เหมือนสำนักศึกษาอื่น เหล่านักเรียนนั้นไม่ร้จักรักษากฎระเบียบ ลูกชายคนโตของหลี่ต้าเลี่ยงหลี่เผิงเฉิงมาสำนักศึกษายังไม่ถึงเจ็ดวัน ตอนนี้ก็เอาแต่วิ่งเล่นกินดื่มอยู่บนสนามบอลทุกวันอย่างสนุกสนาน เอาชนะคู่ต่อสู้ไปมากมาย แม้โดนโบยก็นิสัยเสียแก้ไม่หาย
ก่อนหน้านี้เป็นเด็กที่ดีมากเพียงใด อ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพและมีมารยาท แม้ว่าเวลาพูดจะอึกอักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการใฝ่เรียนของเด็กคนนี้ การให้เขาอยู่ร่วมห้องกับต้วนเหมิ่งและเฉิงฉู่เลี่ยงตนเองยังกังวลว่าเด็กที่มีสภาพไม่สมบูรณ์คนนี้จะถูกกลั่นแกล้ง ใครจะคิดว่าต้วนเหมิ่งและหลี่เผิงเฉิงที่สุดจะเยียวยาที่สุดในสำนักศึกษาแห่งนี้จะทนฟังการพูดของเขาไม่ไหวจนอยากจะต่อยเขา ต้องบอกให้ชัดเจนก่อน ไม่ใช่เพราะเจ้าพูดไม่คล่องจึงได้ต่อยเจ้า แต่เป็นเพราะลูกผู้ชายคนหนึ่งแต่แม้แต่ลิ้นของตนเองก็ไม่สามารถควบคุมได้ ช่างเป็นพวกไม่เอาไหนเสียเลยจึงได้ต่อยเจ้า
ในห้องมืดๆ เล็กๆ ที่ด้านหลังของห้องเรียนมีคนสองคนเข้ามา คนที่ออกมาคือหลี่เผิงเฉิง แม้ว่าจะขอบตาดำ จมูกมีเลือดไหลออกมา แต่ปากกลับพูดอย่างต่อเนื่องว่าสะใจยิ่งนัก โดยพูดต่อเนื่องกันอย่างไหลลื่นไร้ที่เปรียบเลย นับแต่นั้นมาเขาก็หลงชอบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทุกประเภท อีกทั้งยังไม่ยอมแก้นิสัยด้วย
นักเรียนของสำนักศึกษาไม่เคยซ้ำเติมข้อบกพร่องของผู้อื่น แต่จะท้าทายจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าโดยเฉพาะ ในด้านการศึกษาสายวิชาการนั้นหลี่ไท่เหนือชั้นกว่าพวกเขาราวฟ้ากับเหว สำหรับวิชาที่การต่อสู้ก็ถูกต่อยจนร้องไห้โฮกลับไปเช่นกัน ในสำนักศึกษามีโอกาสให้รังแกหลี่ไท่ได้ไม่มากนัก ดังนั้นทุกครั้งที่ได้จับคู่ต่อสู้กับเขาฝ่ายตรงข้ามจะลงมืออยางสุดกำลัง โดยทั่วไปในเวลาเช่นนี้หลี่เค่อเพิ่งชนะคู่ต่อสู้ของเขาได้ซึ่งก็จะล้างแค้นให้กับน้องชายของเขา ต่อยคู่ต่อสู้ของหลี่ไท่จนร้องไห้โฮ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เกิดความโกรธแค้นของทุกคน ไม่ทันไรก็จะมีพวกหยาบกระด้างกลุ่มหนึ่งกระโดดออกมาตอบโต้เพื่อความเป็นธรรม อย่างเช่น ต้วนเหมิ่งได้รับหมัดที่รุนแรงของหลี่เค่อ สำหรับต้วนเหมิ่งแล้วเนื่องจากมีผลงานที่ยอดเยี่ยมจึงเป็นที่สนใจของหลี่เผิงเฉิง…
หลี่ไท่และหลี่เค่อสองพี่น้องกลับไปที่วังพร้อมกับรอยฟกช้ำที่มุมปาก เล่าวีรกรรมอันเลิศเลอในการปราบผู้อื่นไปทั่วของพวกเขาให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ฟัง เด็กผู้ชายมักจะไม่เคยพูดว่าตนเองถูกต่อยกี่ครั้ง แต่จะบอกว่าตนเองต่อยตีคนอื่นได้อาการสาหัสเพียงไร สำหรับรอยฟกช้ำที่มุมปากของตนเองนั้นเป็นเพราะประมาททั้งสิ้นหรือไม่ก็เกิดจากการลอบโจมตีเท่านั้น
ทุกการเคลื่อนไหวในทุกๆ วันของพวกเขาจะมีคนคอยเขียนฎีการายงานให้หลี่ซื่อหมิน มีหรือที่หลี่ซื่อหมินจะไม่รู้ว่าพวกเขาถูกต่อยมา ฟังพี่น้องสองคนพูดเข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแต่กลับไม่เปิดโปงความจริง นั่งฟังจนจบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นได้มอบหลี่อั้นและหลี่โย่วให้กับพวกเขาสองพี่น้อง โดยให้พวกเขาพาไปด้วยเมื่อเดินทางกลับไปสำนักศึกษา เหตุผลก็คือพี่น้องสองคนนี้แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติด้านลบที่เลวร้าย
ในบรรดาลูกชายทั้งหมดของหลี่ซื่อหมินมีเพียงหลี่เฉิงเฉียนที่พำนักอยู่ตามลำพังในวังตะวันออก หลี่ไท่และหลี่เค่อเวลาโดยส่วนใหญ่จะพักอยู่ในสำนักศึกษา ลูกชายทั้งสามคนนี้จะยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานของพวกเขาเอง อีกทั้งยังทำได้ดีอีกด้วย นี่คือสิ่งที่ทำให้หลี่ซื่อหมินรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด สามพี่น้องไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ชั่วคราว แต่ละคนจะเดินไปตามทางของตัวเองซึ่งดูเหมือนจะมีแนวโน้มว่ายิ่งเดินยิ่งห่างกันออกไปเรื่อยๆ
ในวังได้ถูกหลี่อั้นและหลี่โย่วทำให้สับสนอลหม่านไปหมด ถึงกับมีเรื่องที่ว่าพวกเขาทำอนาจารนางกำนัลในวังเกิดขึ้นด้วย หลี่ซื่อหมินมองดูลูกชายคนโตสองคนซึ่งมีความน่าเกรงขามที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาและมองไปที่คนที่หัวอ่อนไร้สมองซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ลูกชายคนเล็กที่ขี้ขลาดตาขาว เอามือนวดขมับแล้วนั่งกลัดกลุ้มอยู่ในใจ หรือจะบอกว่าวิธีที่เขาสอนลูกชายนั้นยังห่างไกลจากการสั่งสอนของสำนักศึกษากัน
“หลี่อั้น หลี่โย่ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพวกเจ้าไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาอวี้ซัน สำหรับกฎกติกาพี่ชายทั้งสองของเจ้าจะบอกเจ้าเอง ในภาคการศึกษานี้หากไม่มีธุระสำคัญห้ามกลับวัง”
หยางเฟยรู้ว่าการไปสำนักศึกษาครั้งนี้หลี่อั้นจะต้องพบเจอความทุกข์ยากไม่จบไม่สิ้น หลี่เค่อนั้นค่อยยังดีหน่อยเพราะเขามีเหตุผลตั้งแต่ยังเป็นเด็ก การต้องให้ไปอยู่ข้างนอกก็ยังให้นางวางใจได้ โดยเฉพาะในปีนี้ที่เขาดูมีบารมีเหมือนท่านอ๋องแล้ว ในเวลาอีกไม่ถึงสองปีก็สามารถปกครองที่ดินศักดินาได้แล้ว นางมีความมั่นใจในตัวลูกชายคนโตของนาง ภายหน้าจะต้องเป็นท่านอ๋องที่ดีได้แน่ แต่หลี่อั้นไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติจึงได้มีนิสัยดื้อรั้นสุดจะเอ่ยมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อาจารย์ในวังก็ถูกเขากลั่นแกล้งจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อพูดถึงเขาก็จะส่ายศีรษะ ตอนนี้ยิ่งมาคลุกคลีกับหลี่โย่วจึงยิ่งทำให้นางเป็นกังวลมากขึ้น ตอนนี้มีพี่ชายเขามาดูแล ไม่แน่บางทีอาจจะเปลี่ยนนิสัยเสียของเขาได้
พี่ชาย ที่สำนักศึกษามีอะไรน่าเล่นบ้าง พวกเราสองพี่น้องร่วมมือกันจัดการพวกในสำนักศึกษาให้หมด ทำให้พวกลูกชนชั้นสูงทั้งหมดยอมศิโรราบกับพวกเรา แล้วบังคับให้มอบทรัพย์สมบัติในบ้านของพวกเขาออกมาให้พวกเราให้หมด” หลี่อั้นคิดวางแผนจะตั้งตนเป็นใหญ่ด้วยจิตใจที่ทะเยอทะยาน
“เสี่ยวอั้น ข้าเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าคำว่าท่านอ๋องในสำนักศึกษานั้นใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้” หลี่เค่อยิ้มเจื่อนๆ พลางพูดกับน้องชาย ด้วยนิสัยข้อนี้หากอยู่ในสำนักศึกษาและไม่ถูกทำร้ายจนตายคงจะเป็นเรื่องแปลก อยากจะเป็นอ๋องหรือเป็นใหญ่ ฝันไปเสียเถอะ
“หรือว่าพวกเขากล้าตีข้า” ดวงตาของหลี่อั้นเบิกกว้างขึ้น
“เจ้าคิดว่ารอยฟกช้ำที่มุมปากของข้าได้มาจากไหน เมื่อไปถึงสำนักศึกษาเจ้าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จะต้องตื่นนอนก่อนฟ้าสางทุกวัน พับผ้าห่มสวมเสื้อผ้า ตักน้ำ หุงข้าว เจ้าจะต้องทำด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้ยังมีนักเรียนที่มาขอฟังบรรยายคอยช่วยเหลือ ตอนนี้นักเรียนที่มาขอฟังบรรยายเหล่านั้นได้กลายเป็นนักเรียนอย่างเป็นทางการแล้ว ดังนั้นเรื่องของตนเองก็ต้องทำเอง”
“ข้าเป็นท่านอ๋อง ต่อให้ต้องตายก็จะไม่ทำงานที่ชนชั้นต่ำถึงทำกันเด็ดขาด” หลี่อั้นพูดด้วยสีหน้าที่อึดอัด
“ท่านอ๋องและอ๋องน้อยที่อยู่ในสำนักศึกษามีอย่างน้อยก็สิบกว่าคน พวกเขาต่างก็ยอมจัดการเรื่องต่างๆ ของตัวเองแต่โดยดีทั้งนั้น คิดว่าสำนักศึกษาจะมีข้อยกเว้นสำหรับเจ้า เสี่ยวอั้น ข้าจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ด้วยนิสัยของเจ้ารับรองว่าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนีไม่พ้น แล้วก็อีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าจงจำไว้ให้ดีว่ายอมโดนโบยดีกว่าการถูกจองจำให้สำนึกผิด จำเอาไว้”
” ข้าต้องถูกตีหรือ”
“ด้วยนิสัยของเจ้าต้องโดนอย่างแน่นอน เรื่องการยอมให้ถูกกักขังอย่าได้ยอมรับโทษนี้อย่างเด็ดขาด รัชทายาท อวิ๋นเยี่ย หลี่หวยเหริน จั่งซุนชง พวกเขาต่างก็ได้รับความทุกข์ทรมานจากมันมาแล้วทั้งสิ้น พี่ชายไม่อยากให้ถึงเวลานั้นแล้วเจ้าต้องถูกลากออกมา ข้านั้นสู้ต้วนเหมิ่งไม่ได้ เพียงแต่หลังจากเขาถูกกักขังเป็นเวลาสี่วันแล้ว แม้แต่เดินก็ยังไม่เป็นเลย จำเอาไว้ให้ดี
หลี่อั้นได้แต่กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกๆ เขาได้ยินว่าแม้แต่รัชทายาทก็หนีไม่พ้นจากมือมารของสำนักศึกษา ก็รู้ว่าคราวนี้เกรงว่าเขาอาจหนีไม่พ้นเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ จึงคว้าพี่ชายไว้ด้วยความกลัวและพูดว่า “ข้าจะพักอยู่กับท่าน”
“เป็นไปไม่ได้ ทางสำนักศึกษาไม่ยอมให้นักเรียนชั้นต้นอยู่พักร่วมห้องกับนักเรียนรุ่นพี่ ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คืออยู่กับนักเรียนใหม่ด้วยกัน สี่คนต่อหนึ่งห้อง