เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 61 การบริหาร
เรื่องภายในสวนหลังบ้านตัวเองอวิ๋นเยี่ยยังไม่มีแรงพอที่จะไปควบคุม ปล่อยให้พวกนางเล่นไปตามเรื่องแล้วกัน ต่อให้รู้ว่าเสี่ยวอู่เป็นบูเช็คเทียน (อู่เม่ยเหนียง) ก็ไม่สนใจ ตั้งแต่มาต้าถังแล้วเขาเห็นพวกคนแน่ๆมาแล้วมากมาย อู่เม่ยเหนียงแม้นับว่าเป็นคนที่พิเศษหน่อยก็ไม่มีอะไรนักหนา
เฟิงฉงหู่กับอวิ๋นฉงหลงทุกๆทรราชที่ขึ้นมาได้ล้วนอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ เพียงแต่ว่าจะต้องเกิดวิกฤติยิ่งใหญ่พวกเขาจึงจะถือโอกาสพุ่งทะยานขึ้นมาขย่มฟ้าดินได้ หากสถานการณ์ราบเรียบไร้คลื่นลมต่อให้มีความสามารถเท่าไหน ทำได้มากที่สุดแค่ขย่มสระน้ำในบ้านตัวเองได้ก็เก่งแล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งต้องอาศัยโชคแล้วก็โชคแล้วก็โชคอีกจึงจะขึ้นถึงบัลลังก์สูงสุดนั้นได้ เวลานี้ต้าถังสงบราบเรียบ นางคงเพียงแค่หาตระกูลไหนแต่งงานไปเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น
โรงงานทั้งหมดของตระกูลอวิ๋นหยุดไปหมดสิ้น เตาเผาปูนถูกรื้อทิ้ง เตาเผาอิฐถูกรื้อทิ้ง สุราที่บ่มออกมาแล้วก็ไม่ขายต่างเก็บไว้ในห้องใต้ดินทั้งหมด ขุนนางกระทรวงโยธาธิการมองดูเตาเผาแต่ละแห่งที่อยู่ในมือตระกูลอวิ๋นต่างเหลือเพียงซากกองอยู่แล้วเจ็บปวดจนแทบจะร้องไห้ ลากตัวผู้ดูแลบ้านอวิ๋นถามว่าทำไมต้องรื้อของวิเศษเหล่านี้ทิ้งหมด คำตอบที่ได้คือตระกูลอวิ๋นกำลังเตรียมเพาะปลูกเสบียงอาหาร
พื้นที่เตาเผาทั้งหลายแหล่ปลูกพืชไร่ได้หรือ เหล่าขุนนางกระทรวงโยธาธิการต่างงุนงง ป้อมปราการเมืองมากมายกำลังรอปูนยาให้แข็งแรง สิ่งก่อสร้างทั้งหลายรออิฐมาก่อสร้าง เวลานี้ตระกูลอวิ๋นกลับรื้อเตาเผาทั้งหมดทิ้ง ไม่รู้ว่าจะเกิดผลกระทบเสียหายมากเพียงไหน
หลังจากฝ่ายทหารขนเสบียงอาหารล็อตสุดท้ายตามสัญญาจ้างแล้วก็ยืนยันไม่ยอมรับสัญญาจ้างใหม่อีก พูดอีกทีก็คือเหล่าเกษตรกรในหมู่บ้านอวิ๋นทั้งหมดจะต้องกลับไปทำเกษตรที่บ้านตัวเอง ที่ตระกูลอวิ๋นวางแผนจะบุกเบิกพื้นที่ทำเกษตรอีกสามพันหมู่ในปีนี้ ไม่มีคนมากพอทำให้ทั้งหมดต้องถูกทอดทิ้ง เกษตรกรไม่มีพื้นที่เพาะปลูกจะเรียกว่าเกษตรกรได้อย่างไร ต้องเรียกว่าคนว่างงาน
เหอเซ่าคืนหุ้นทั้งหมดกลับมาให้ตระกูลอวิ๋น ตระกูลอวิ๋นก็คืนเงินลงทุนทั้งหมดให้เหอเซ่า แม้แต่รัชทายาทกับฮองเฮาก็คืนเงินลงทุนให้ทั้งหมดในครั้งเดียวกันนี้ คืนกลับเป็นเงินเหรียญทั้งคันรถลากเป็นคันๆกลับไปพระราชวัง
ตระกูลอวิ๋นเลิกแล้วใครอยากทำอะไรต่อก็เชิญ ตระกูลอวิ๋นเลิกแล้วโรงงานน้ำหอมของตระกูลเป็นแค่เครื่องสำอางให้เหล่าสตรีได้สนุกครื้นเครงกันบ้าง คงไม่ต้องมาประลองกำลังในสินค้าประเภทนี้กันกระมัง
ไม่เพียงแต่ตระกูลอวิ๋น ตระกูลเฉิงกับตระกูลหนิวก็เช่นเดียวกัน ต่างปิดโรงงานไปทั้งหมด เฉิงฮูหยินขายโรงงานเหล็กโรงงานไม้โรงงานหนังเล็กๆทั้งหมดที่อยู่หลังวัดฉือเอินให้ชาวบ้าน หลายปีนี้ตระกูลเฉิงกับตระกูลหนิวได้เงินมามากพอแล้ว ต่อไปเพียงตั้งใจเพาะปลูกอย่างเดียวไม่ยุ่งกับเรื่องทำธุรกิจอีก การอยู่รอดปลอดภัยย่อมดีกว่าทุกอย่างแน่นอน
ประกาศของราชสำนักยังไม่ทันออกมา สามตระกูลนี้ก็ถอนตัวออกจากวงการธุรกิจจนหมดเกลี้ยง คนทั้งตระกูลล้วนแต่ทำไร่ไถนา แม้แต่เหล่าเฉิงยังใช้พื้นที่ในสวนเตรียมปลูกพวกหัวผักกาดกับพืชผักต่างๆเพื่อลดค่าใช้จ่ายในบ้าน
“ข้าไม่ได้กินเนื้อมาสามวันแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง เหล่าเว่ย วันนี้เลี้ยงพวกพี่น้องบ้างสิ แทบจะเปิดฝาหม้อข้าวที่บ้านไม่ไหวแล้ว” ทุกครั้งที่ราชสำนักเลิกแล้วเหล่าเฉิงก็จะโวยเว่ยเจิง
“บ้านเหล่าเฉิงยังดีที่ปลูกหัวผักกาดไว้พอมีใบผักกาดให้กินได้อีกหลายมื้อ น่าสงสารข้าที่ต้องไปตกปลาริมแม่น้ำ อาศัยปลาที่ตกได้มาประทังความหิวอยู่อย่างอดมื้อกินมื้อ วันนี้เว่ยกงเลี้ยงแขกจะขาดข้าไม่ได้เลยทีเดียว”
“ได้ยินว่าอวี้ฉือเมื่อวานล่าสัตว์ไม่ได้เลย หากไม่ใช่จับลิงกลางทางมาได้ตัวหนึ่งไม่แน่ว่าจะต้องอดกันทั้งตระกูล คนเป็นร้อยล้อมวงกินลิงตัวเดียวอย่างหิวกระหาย” คนที่พูดนี้ควักขนมอิ๋งชุนเกาออกจากอกเสื้อดมทีเดียวก็เก็บคืน ว่าจะเก็บไว้ให้หลานสาว ตัวเองเสียดายไม่ยอมกิน
เว่ยเจิงสะบัดแขนเสื้ออย่างแรงกัดฟันไม่พูดไม่จา การตัดทางรับทรัพย์ของผู้คนย่อมเกิดความแค้นที่หนักหนาสาหัส ตระกูลอวิ๋นตระกูลเฉิงกับตระกูลหนิวปิดร้านไปทั้งหมดไม่ทำธุรกิจแล้ว เหล่าศักดินาหาแพะรับบาปไม่ได้ ตัวเองก็ไม่อยากเป็นหนังหน้าไฟจึงต้องปิดร้านตัวเองด้วย สายตาทั้งหมดจับจ้องอยู่ที่ขุนนาง หากมีคนไหนกล้าเปิดร้านก็จะมีเหล่าศักดินานับไม่ถ้วนเข้ามาซื้อเชื่อ บางคนหน้าด้านขนาดแย่งชิงแถมยังใช้คำพูดไพเราะเสนาะโสตว่า อยู่ร่วมราชสำนักด้วยกันคงไม่ใจดำปล่อยให้อดตายใช่ไหม
ฉากเบื้องหน้าที่เว่ยเจิงเห็นยังเลวร้ายกว่าที่เขาคาดคิดไว้ทั้งหมด เตาเผาที่มีอยู่หนาแน่นทางฝั่งตะวันออกของเขาอวี้ซันหายไปหมดเกลี้ยงแล้ว ทิวทัศน์ที่มีแต่ควันดำแต่ก่อนนี้หายไปหมดสิ้น เหลือเพียงที่ดินผืนใหญ่ที่แม้แต่ฐานรากเดิมก็ยังถูกรื้อทิ้ง ทำแปลงที่นาเตรียมเริ่มไถหว่านกัน
เลือดในใจของเขากำลังไหลหยดออกมา ทรัพย์สินมหาศาลตั้งเท่าไรพอว่ารื้อก็รื้อจนหมดเกลี้ยงโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด ไม่ได้รู้สึกเสียดายแม้สักนิดเดียว ฟันฉับทีเดียวหมดได้เด็ดขาดยิ่งนัก ผลความขมขื่นนี้คงมีเว่ยเจิงคนเดียวที่ต้องทนกล้ำกลืนลงไป
ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ข่มขู่ใคร เพียงทำตามนโยบายราชสำนักที่เลิกทำธุรกิจกลับคืนสู่การเกษตรเท่านั้น นับว่าได้กลับเนื้อกลับตัวแล้ว แต่ตลาดความต้องการที่มหึมาจะให้ใครมาชดเชย เตาเผาที่จะรอดไม่รอดแหล่ของหลวงจะเผาปูนที่ใช้งานได้ดีออกมาได้สักเท่าไรกัน ขุนพลที่เฝ้าด่านต่างรู้ถึงความแข็งแรงของปูน เมื่อมีวัสดุที่ดีเช่นนี้แล้วใครจะยังไปใช้ก้อนหินกับข้าวเหนียวมาสร้างผนังป้อมปราการกันอีก
การส่งเสบียงให้กองทัพกลับไปอยู่ที่กระทรวงกลาโหม การร่วมส่งเสบียงให้กองทัพของตระกูลอวิ๋นไม่มีอีกแล้ว กลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมไปในทันที
ความจริงไม่ว่าตระกูลอวิ๋นแน่แค่ไหนก็ไม่กล้าปฏิเสธกองทัพ แต่ขุนนางทั้งราชสำนักต่างจ้องดูธุรกิจนี้ รู้สึกว่าภายในนั้นต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลแน่นอน จึงถวายฎีกาติดๆกันนับไม่ถ้วนฉบับขอให้ตระกูลอวิ๋นถอนตัวออก ความเป็นความตายของประเทศชาติจะตกอยู่ในกำมือของตระกูลเดียวไม่ได้ แม้ว่าตระกูลนี้จะมีผู้ชายเพียงคนเดียวก็ไม่ได้ หลี่ซื่อหมินเห็นชอบตามฎีกานี้ ขอเพียงให้ตระกูลอวิ๋นรับการตรวจสอบ เชื่อว่าวิสัยการปฏิบัติงานของตระกูลอวิ๋นคงไม่เกิดปัญหาแน่นอน แต่ต้องทำเพื่อปิดปากขุนนางเหล่านั้นเท่านั้นเอง ผลคือตระกูลอวิ๋นอ้างว่าตัวเองไม่เข้าเงื่อนไขด้านสาธารณสุข ขอรับผิดต่อกระทรวงกลาโหม โดนเสนาบดีกระทรวงกลาโหมตู้หรูฮุ่ยที่ยิ้มแย้มแจ่มใสปรับเงินไปสองพันก้วนแล้วจบเรื่องไป
สิ่งที่ตระกูลอวิ๋นทำต่อมาเกินความคาดหมายของแทบทุกคน พวกเขารื้อโรงสียุ้งฉางไปทั้งหมดตั้งแต่คืนนั้น กว่าเหล่าขุนนางจะรู้กัน โรงสีเดิมก็กลายเป็นลานพืชพันธุ์ธัญญาหารมีแต่กองรวงข้าวสาลีเต็มไปหมด ตระกูลอวิ๋นไม่มีความสามารถจัดการเสบียงกองทัพ การที่ครั้งนี้สามารถถอนตัวออกไปได้เพราะผู้ใหญ่ในราชสำนักผ่อนปรนให้ ตระกูลอวิ๋นได้นำของขวัญมอบให้แล้ว ทำให้ตู้หรูฮุ่ยต้องทนฝืนยิ้มไม่เลิก
ตระกูลอวิ๋นเลิกทำธุรกิจแล้ว นี่คือคำพูดที่อวิ๋นเยี่ยตอบหลี่ซื่อหมินขณะที่ถูกถาม ช่วงเวลาที่ผ่านมาได้รับคำสั่งสอนจากขุนนางสำคัญหลายคน เข้าใจถึงเหตุผลที่ผู้ไม่ชั่วร้ายทำธุรกิจไม่ได้ แทบจะพาราษฎรต้าถังไปสู่ความชั่วร้าย เกิดความรู้สึกสำนึกผิดยิ่งนัก โชคดีที่ว่าระยะเวลาที่กระทำนี้ยังสั้นอยู่ทำให้ราษฎรไม่ได้ถูกพิษร้ายจากตระกูลอวิ๋นหนักมากนัก ยังพอที่จะเยียวยาทัน ดังนั้นตระกูลอวิ๋นตัดสินใจบริจาดเงินหนึ่งหมื่นก้วนสร้างสถานศึกษาขึ้นอีกหลายแห่ง เพื่อไถ่บาปที่ได้กระทำไว้ สร้างผลบุญให้ทายาทตระกูลอวิ๋นสืบต่อไป
“กวนอินปี้ วิธีการของอวิ๋นเยี่ยครั้งนี้ไม่เหมือนนิสัยดั้งเดิม ถอนตัวออกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยไม่ได้โต้แย้งแม้แต่คำเดียว ไม่ได้ขอร้องทั้งเจ้าทั้งข้า เดิมข้าเข้าใจว่าอย่างน้อยเขาต้องดิ้นรนเล็กน้อยไม่แน่ว่าอาจต้องตอบโต้บ้าง ข้ายังคิดอยู่ว่าอยากดูผลตอนจบว่าจะไปต่อถึงไหน ไม่ว่าดีหรือร้ายล้วนจะทำให้ข้ามีความคิดหรือได้รับบทเรียนมากขึ้น ไม่นึกว่าเขากลับใช้วิธีถอนรากถอนโคน ไม่รู้ว่าเขาใช้ยุทธวิธีถอยเพื่อรุกหรือถอดใจอยากถือโอกาสถอนตัวจริงจัง ข้ารู้ว่าเขาเข้าวังคุยกับเจ้าตลอดบ่าย ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน”
ขอให้เป็นเรื่องของอวิ๋นเยี่ย หลี่ซื่อหมินมักจะต้องขอความเห็นจากจ่างซุน ถึงอย่างไรจ่างซุนก็รู้จักอวิ๋นเยี่ยอย่างดี อีกทั้งอวิ๋นเยี่ยก็มีความเคารพรักจ่างซุนราวกับมีสายเลือดเดียวกัน หลี่ซื่อหมินเห็นจุดนี้ได้อย่างชัดเจน เป็นเหตุผลที่เขามักใช้วิธีตักเตือนแทนการลงโทษอวิ๋นเยี่ยตลอดมา หลี่ซื่อหมินชื่นใจในความรู้สึกเช่นนี้ของอวิ๋นเยี่ยมาก อย่างน้อยแสดงว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่ทำสิ่งที่เสียหายต่อราชวงศ์ ยิ่งดูจากการที่เขาทุ่มเทสุดกำลังในการช่วยเหลือให้รัชทายาทเติบใหญ่ อีกทั้งทุ่มเทสุดกำลังให้การศึกษาแก่บุตรตัวเองอีกสี่คน วางตัวเองราวกับเป็นพี่ชายใหญ่ซึ่งทำให้เกิดผลดีอย่างเห็นได้ชัดเจน
มีอยู่หลายครั้งที่หลี่ซื่อหมินเกิดความคิดที่จะรับอวิ๋นเยี่ยเป็นบุตรบุญธรรม แต่คิดว่าตระกูลอวิ๋นมีเขาเป็นทายาทคนเดียว หากรับเป็นบุตรบุญธรรมแล้วอวิ๋นเยี่ยจะต้องเปลี่ยนชื่อกลายเป็นหลี่เยี่ย
จ่างซุนวางซื่อจื่อในอ้อมอกไว้ในเปลเบาๆ ไกวพลางกระซิบพลางว่า “อวิ๋นเยี่ยให้ข้าเตรียมเงินจำนวนมาก บอกว่าจะมีแผนอะไรอย่างหนึ่งแต่ไม่ยอมบอกข้า ข่มขู่อย่างไรก็ไม่สำเร็จบอกแค่ว่าจะสั่งสอนพวกโง่เง่าให้รู้สึก ไม่รู้พวกโง่เง่าที่เขาว่าหมายถึงใคร ทางรัชทายาทก็ได้รับจดหมายเตรียมเงิน ข้ารู้สึกว่าครั้งนี้พวกขุนนางราชสำนักทำให้เขาโกรธจริงจัง ข้าไม่สนใจเรื่องราชสำนักท่านไม่ต้องบอกข้า ข้าแค่เตรียมเงินไว้ใส่คลังเก็บในวังให้เต็มๆหน่อย อย่าให้เหมือนเมื่อก่อนที่แม้แต่หนูยังอดตาย”
“เขารื้อโรงงานทั้งหมดทิ้งจนเกลี้ยงเพราะอะไรกัน” หลี่ซื่อหมินคิดว่าราชสำนักไม่มีช่องทางให้อวิ๋นเยี่ยมุดเข้าไปได้ ก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องภายนอกพวกนี้ ปล่อยให้ฮองเฮาควบคุมอวิ๋นเยี่ยก็พอแล้ว
“ข้าได้ยินรัชทายาทว่าการรื้อย้ายโรงงานอยู่ในแผนแล้ว อวิ๋นเยี่ยต้องการปรับปรุงเป็นระยะๆ ใครจะรู้ว่าเกิดคลื่นลมในราชสำนักก็เลยรื้อทิ้งให้หมดทีเดียวจะได้ไม่ต้องยุ่งยากทีหลัง เรื่องข้ารู้มานานแล้ว นี่เป็นการตัดสินใจของเน่ยฝู่กับตระกูลอวิ๋นและตระกูลเหอมาก่อนแล้ว มีบันทึกไว้ เวลานั้นข้าเพิ่งคลอดเสร็จรัชทายาทเป็นผู้ดูแลเน่ยฝู่ พวกเขาตกลงกันแล้ว”
หลี่ซื่อหมินไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรื้อโรงงานที่ยังดีๆอยู่เพื่อปรับปรุงอะไร แต่เมื่ออวิ๋นเยี่ยทำแล้วย่อมมีเหตุผลของเขา จนถึงเวลานี้ที่หลี่ซื่อหมินนับถือเขามากที่สุดก็คือฝีมือการเสกหินให้เป็นทองของเขา
“หลานหลิงกับเกาหยางอยากไปชมหมู่บ้านอวิ๋นกับเขาอวี้ซันมานานแล้ว พอดีพรุ่งนี้ไท่เอ๋อร์กับเค่อเอ๋อร์หยุดพักกลับวังจะได้ให้เขาพาพวกน้องสาวไปสถานศึกษาสักเที่ยว พูดจริงๆ ที่นั่นอยู่แล้วสุขสบายจริงๆ ข้าเตรียมจะไปสร้างวังพักร้อนที่นั่นสักหลัง หอเล็กที่นั่นถึงแม้ดูเก๋ไก๋แต่ออกจะง่ายๆไปหน่อย ให้พวกเขาสร้างตามแบบแปลนของหอเล็กแต่ต้องมีที่เรียกว่าห้องน้ำอยู่ในนั้นด้วย”
“ฝ่าบาทไม่กลัวว่าพวกศักดินากับขุนนางในราชสำนักทะเลาะกันหรือ”
“ทะเลาะไปเลย ถ้าไม่ทะเลาะกันข้าจะเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร หากสามัคคีกันหมดข้าจึงจะเดือดร้อนจริง เวลานี้ต่างคนต่างไม่พอใจกันค่อยเหมือนราชสำนักหน่อย ข้าเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยไม่ให้ใครเป็นใหญ่อยู่ฝ่ายเดียวก็พอแล้ว”