เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 8 สิ่งที่หลี่อั้นค้นพบ
รอยยิ้มของอวิ๋นเยี่ยนั้นอ่อนโยนมาก คำพูดก็พูดอย่างนุ่มนวล แม้ว่ามือของเขาจะเคลื่อนไหวไปมาไม่ยอมหยุดอยู่บนหน้าอกของหลี่โย่วและเลือดก็ไหลออกมาเหมือนน้ำตก แต่กลับอธิบายให้หลี่อั้นฟังอย่างใจเย็น
“หัวใจของเสี่ยวโย่วมีของสิ่งสกปรกบางอย่างอุดตันอยู่ เขาไม่สามารถพึ่งพาตนเองเพื่อฟื้นสติปัญญาของตนเอง มีเพียงวิธีเดียวคือเปลี่ยนหัวใจให้แก่เขา เสี่ยวอั้น เจ้าดูนะ นี่คือหัวใจของแพะตัวหนึ่งและเป็นแพะตัวผู้ด้วย นอกจากจะกล้าหาญดุดันแล้วยังรักพวกพ้องอีกด้วย เหมาะที่สุดที่จะนำมาเปลี่ยนให้เสี่ยวโย่ว เจ้าอย่าบอกเสี่ยวโย่วต่อไปเขาจะค่อยๆ เป็นเด็กดี ภายหน้าจะต้องกลายเป็นท่านอ๋องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
หลี่อั้นตาโตจ้องมองชายชุดขาวถือถาดเดินเข้ามา ด้านบนมีหัวใจขนาดกำปั้นที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่จริงๆ อวิ๋นเยี่ยคว้าหัวใจวางไว้บนร่างกายของหลี่โย่ว มือก็ออกแรงดึง หัวใจของหลี่โย่วก็ถูกดึงออกมา สีดำสนิทน่ารังเกียจเป็นอย่างมาก หลี่อั้นหลับตาปี๋อย่างเต็มที่ไม่กล้าที่จะมองอีกต่อไป เหงื่อไหลออกมาเหมือนลำธารเล็กๆ แล้ว
ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรไปครู่หนึ่ง จึงเริ่มลืมตาขึ้นเล็กน้อย ตกใจกลัวจนปัสสาวะไหลออกมา อวิ๋นเยี่ยก็เบิกตาจ้องมองเขากันตาต่อตา ไม่รู้ว่าหลี่โย่วเป็นอย่างไรบ้าง บางทีเขาอาจตายไปแล้วก็ได้
“พี่ชาย ข้าสัญญาว่าภายหน้าจะตั้งใจเรียนอย่างหนัก ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายอีกแล้ว เจ้าไม่ต้องเปลี่ยนหัวใจให้ข้าได้หรือไม่ ข้าสาบาน” หลี่อั้นรีบสาบานอย่างรุนแรงโดยบอกว่าเขาจะต้องปรับปรุงตัวแน่นอน
อวิ๋นเยี่ยขมวดคิ้วดูเหมือนไม่เชื่อ “ไม่อย่างนั้น ข้าตัดนิ้วมือสาบานก็ได้!” หลี่อั้นรีบเพิ่มระดับความรุนแรงทันใด ซึ่งสิ่งนี้ทำให้สีหน้าของอวิ๋นเยี่ยดูดีขึ้นเล็กน้อย พูดกับชายสวมชุดขาวข้างหลังเขาว่า “ในเมื่อเสี่ยวอั้นยอมปรับปรุงตัว พวกเราก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องเหล่านั้นแล้ว นอกจากนี้ยังมีข้อเสียบางประการในการเปลี่ยนหัวใจด้วย อย่างเช่นระยะนี้เสี่ยวโย่วจะชอบกินหญ้า จัดหาผักให้เขามากขึ้นอีกหน่อย อย่าปล่อยให้เขาไปที่ทุ่งหญ้า ท่านอ๋องคนหนึ่งคลานกินหญ้าบนพื้นดินหากเผยแพร่ออกไปจะทำให้ฝ่าบาททรงเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย ในช่วงสองเดือนนี้ก็กินผักให้มากหน่อยเถอะและอย่าให้เขาเข้าใกล้ฝูงแพะ บางทีเขาอาจเรียนรู้การร้องเรียกแบบแพะ”
ดวงตาของหลี่อั้นนั้นเบิกกว้างจนตึงอย่างที่สุด ฉากอันน่าสะพรึงกลัวที่หลี่โย่วกำลังคลานอยู่บนพื้นหญ้ากินหญ้าอยู่ อย่างไรเสียหัวใจของเขาก็ไม่ใช่หัวใจมนุษย์ แต่เป็นหัวใจของแพะตัวหนึ่ง เป็นแพะไม่กินหญ้าแล้วจะให้กินอะไร
จากนั้นปล่อยหลี่อั้นออกจากโครงที่มัดไว้ ชายชุดขาวใช้น้ำเย็นอาบน้ำให้เขาและให้สวมชุดของสำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยถอยหลังหนึ่งก้าวและพูดกับชายชุดขาวว่า “เสี่ยวอั้นโตขึ้นแล้วจริงๆ เมื่อสวมชุดของสำนักศึกษาแล้วพอดีตัวมาก พรุ่งนี้ข้าจะพาเขาไปพบพระสนม”
หลี่อั้นให้อวิ๋นเยี่ยจูงมือนำตัวออกจากคุกใต้ดินที่น่าหวาดกลัวอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม ไปห้องพักที่ทางสำนักศึกษาจัดเตรียมไว้ให้พร้อมกับเขา เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้าก็มีความรู้สึกเหมือนเป็นคนสองภพ
หลี่โย่วอยู่ในห้องพักแล้วและนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง ดวงตาก็เอาแต่จ้องมองผนังสีขาวโดยไม่พูดอะไรเลย หลี่อั้นจู่ๆ ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าขึ้นมา ด้านหลังเขามักจะมีหัวแพะโผล่ออกมายิ้มกับตนเอง
“เสี่ยวโย่ว เหม่ออะไรอยู่ ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ทำไมเจ้าไม่ไปทานอาหารล่ะ” เมื่อเสียงของอวิ๋นเยี่ยดังขึ้นหลี่โย่วก็สะดุ้งเฮือก กระโดดลงจากเตียงอย่างรวดเร็วและยืนบนพื้นอย่างเชื่อฟัง
อาทิตย์อัสดงของสำนักศึกษานั้นน่าดูมาก ยืนอยู่ในพื้นที่สำนักงานบนชั้นสามของสำนักศึกษามองเนินเขาเขียวขจี ดูนกบินกลับคืนสู่ป่าก็เป็นความงามอีกอย่างหนึ่ง อินเฟยเพิ่งไปคารวะอาจารย์หลี่กังหวังว่าจะขอร้องแทนลูกชายของนาง โดนโบยสามสิบไม้เด็กอายุสิบสองปีทนรับไม่ไหวหรอก
จึงถูกโดนอาจารย์ดุกล่าวไปยกใหญ่ว่าการตามใจลูกจะทำให้เสียคน อินเฟยจึงน้อมรับคำสอนด้วยความเต็มใจ แต่ก็ออดอ้อนขอร้องหลี่กังให้ยกโทษให้หลี่อิ้วสักครั้ง ในที่สุดอาจารย์ผู้สูงวัยก็ยอดพูดออกมา
“หลี่โย่วและหลี่อั้นไม่ได้ถูกลงโทษ เพราะเห็นแก่ที่พวกเขายังเด็กและยังไม่ได้เข้าเรียนอย่างเป็นทางการดังนั้นอวิ๋นเยี่ยบอกว่าไม่เหมาะสมที่จะใช้กฎของสำนักศึกษาลงโทษในเวลานี้ หากยังมีคราวหน้าอีก จะไม่ได้รับการยกเว้นอย่างเด็ดขาด”
หลังจากพูดจบแล้วก็มองไปที่ขันทีที่อยู่หลังอินเฟยและพูดอีกว่า “อย่างไรเสียสำนักศึกษาก็เป็นสถานที่ที่เปิดเผยถูกต้อง จะปล่อยให้ขันทีเข้าออกมั่วๆ ได้อย่างไร หากอยากฟังการบรรยาย หากอยากจะเที่ยวชมก็ให้นางกำนัลติดตามก็พอ สำนักศึกษาไม่อนุญาตให้ขันทีเข้ามา”
บารมีอันน่าเกรงขามของไท่ฟู่ทำให้ขันทีแทบจะก้มศีรษะจนติดพื้นดินแล้ว ตั้งแต่คราวที่แล้วที่อวิ๋นเยี่ยโดนอู๋เสอเล่นงาน หลี่กังที่นิสัยแข็งกร้าวก็ได้ออกคำสั่งนี้และถูกบันทึกไว้ในกฎระเบียบของสำนักศึกษา
อินเฟยที่กล่าวคำอำลากับหลี่กังแล้วยืนอยู่ที่ระเบียงชื่นชมทัศนียภาพก็มองเห็นลูกของนางอย่างรวดเร็ว เรียบร้อยมาก อวิ๋นเยี่ยมือข้างหนึ่งจูงหนึ่งคนเดินตรงไปยังเรือนใหญ่แห่งหนึ่ง ทั้งสามคนดูเหมือนจะกำลังพูดคุยกันอยู่ เมื่อเห็นลูกชายของตนเองยอมรับคำสอนอย่างเชื่อฟัง ในใจของอินเฟยก็รู้สึกโล่งใจ ลูกชายของนางมีนิสัยอย่างไรมีหรือนางจะไม่รู้ ต่อยตีขันที กลั่นแกล้งนางกำนัล คราวที่แล้วหากไม่ใช่ว่าตนเองพบเข้าเสียก่อน ต้องมีเรื่องฉาวโฉ่เผยแพร่ออกมาแน่ ตอนนี้ดีแล้ว เมื่อเห็นเขาอยู่สำนักศึกษาอย่างเรียบร้อย อินเฟยก็ชื่นชมวิถีแห่งความเป็นครูของอาจารย์อย่างที่สุด
“อาจารย์สวี่ อาจารย์อวิ๋นจะพาเสี่ยวโย่วและเสี่ยวอั้นไปที่ใดกัน” อินเฟยอยากรู้อยากเห็นทุกเรื่องในสำนักศึกษาเป็นอย่างมาก
สวี่จิ้งจงที่เป็นผู้นำทางอินเฟยชื่นชมทัศนียภาพของสำนักศึกษาน้อมกายตอบว่า “พระสนม ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็น อวิ๋นโหวพาท่านอ๋องทั้งสองไปที่โรงอาหารเพื่อทานอาหารค่ำ อาคารเรือนสูงนั้นก็คือโรงอาหารของสำนักศึกษา ทุกครั้งที่ถึงเวลาอาหารผู้คนก็จะแน่นขนัด คึกคักมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ตอนนี้มีนักเรียนมากกว่าแปดร้อยคนในสำนักศึกษากล่าวได้ว่าเป็นสำนักศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์ถังเรา เมื่อพวกเขาทานอาหารเสร็จ กระหม่อมทูลเชิญพระสนมเสด็จไปเยี่ยมชมโรงอาหาร”
“ทานอาหารค่ำด้วยกันแปดร้อยกว่าคน คิดว่ามันน่าสนใจมากๆ ” อินเฟยอยากจะไปเห็นตอนนี้เลย แต่นางก็รู้สึกไม่เหมาะสม
“หาได้มีเพียงแค่แปดร้อยคน พระสนมคงทรงลืมแล้ว ยังมีอาจารย์อีกหนึ่งร้อยกว่าคนและคนรับใช้ในสำนักศึกษาอีกร้อยกว่าคน ตอนนี้เหล่าองครักษ์รักษาความปลอดภัยก็แยกตัวออกไปเริ่มตั้งเตากันแล้ว มิฉะนั้นจะมีคนทานอาหารร่วมกันกว่าพันคนในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่มาก”
หลังจากพักอยู่ในสำนักศึกษาเป็นเวลานานนิสัยขี้ประจบประแจงที่กลั่นออกมาจากแก่นแท้ของเขาก็ลดหายไปไม่น้อย เขาชอบวิธีการพูดที่เขาพูดในตอนนี้
อวิ๋นเยี่ยและท่านอ๋องทั้งสองมาถึงโรงอาหาร ในเวลานี้ผู้คนลดน้อยลงไปมาก หลี่โย่วและหลี่อั้นที่มีแววตาแหลมคมก็ได้พบใบหน้าที่คุ้นเคย ท่านอาเล็กทั้งสามของตนเองและพี่น้องท่านลุงท่านอากลุ่มใหญ่ด้วย แต่ละคนถือจานอาหาร คาบตะเกียบไว้ในปาก เข้าแถวรอบริเวณหน้าต่างเล็กๆ เพื่อตักอาหาร พวกเขาเรียนรู้ที่จะตักข้าวเองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ก่อนหน้านี้ต้องให้นางกำนัลนำอาหารมาให้ที่โต๊ะแล้วจึงค่อยทานไม่ใช่หรือ หลี่หยวนชิ่งที่เพิ่งอายุสิบขวบ ปีที่แล้วเห็นว่ายังต้องให้นางกำนัลป้อนข้าวอยู่เลย ทำไมตอนนี้เขาจึงยกถาดอาหารมานั่งกินข้าวที่โต๊ะด้วยตนเองได้คล่องแคล่วเพียงนี้ ยังมีหลี่หยวนหมิงที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบกินเต้าหู้ ตอนนี้กลับตักเต้าหู้เข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย
“เสี่ยวอั้น เสี่ยวโย่ว พวกเจ้าสองพี่น้องก็มาแล้วหรือ เยี่ยมไปเลย คราวที่แล้วบอกพวกเจ้าแล้วว่าในวังน่าเบื่ออย่างสุดๆ ให้พวกเจ้าออกมาก็ยอมฟัง เป็นอย่างไร ตอนนี้ไม่อยากมาก็ต้องมา ระดังโดนสั่งโบยนะ”
หลี่หยวนเจียที่อายุสิบสี่ปียังคงน่ารังเกียจ อวิ๋นเยี่ยส่งเสียง ฮึ เพียงคำเดียวหลี่หยวนเจียก็หดคอถือถาดข้าววิ่งหนีไป
“คนนี้ก็คงถูกเปลี่ยนหัวใจเช่นกันสินะ” หลี่อั้นมองหลี่หยวนเจียที่วิ่งหนีจากไปด้วยความสงสัยแล้วแอบคิดอยู่ในใจ นิสัยบ้าอำนาจขณะอยู่ในวังนั้นตอนนี้กลายเป็นคนเรียบร้อย ต้องมีผีแน่ๆ เพียงแต่หัวใจที่เขาเปลี่ยนเข้าไปเป็นหัวใจของอะไร เมื่อครู่เห็นเขากินเนื้อต้องไม่ใช่หัวใจของแพะแน่เลย ใจเสาะเพียงนี้หรือว่าเป็นหัวใจของสุนัขจิ้งจอก หลี่อั้นพบว่าเขาดูเหมือนจะเข้าใจถึงความมืดมนที่สุดของสำนักศึกษาแล้ว
ไม่ได้เข้าแถวเหมือนคนเหล่านั้น อวิ๋นเยี่ยรับถาดอาหารสามถาดออกมาจากช่องหน้าต่างที่เขียนว่าอาจารย์ ถาดหนึ่งส่งให้หลี่อั้น อีกถาดหนึ่งส่งให้หลี่โย่ว ถือของตัวเองถาดหนึ่งแล้วนั่งบนโต๊ะยาวขนาดใหญ่และเริ่มกินอาหารกัน
หลี่อั้นใช้ช้อนตักข้าวขึ้นมาหนึ่งช้อน แต่ดวงตากลับจ้องมองที่หลี่โย่ว เป็นจริงดังคาด หลี่โย่วไม่ได้แตะต้องเนื้อที่มันๆ เลย แต่คีบผักในจานขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย จบกัน เป็นผลมาจากหัวใจแพะแน่ๆ
เพื่อทดสอบว่าตัวเองถูกเปลี่ยนหัวใจหรือไม่ หลี่อั้นตักก้อนเนื้อชิ้นใหญ่ๆ ใส่เข้าปากและเคี้ยวมัน อร่อยมาก เนื้อไม่เลี่ยนเลยทั้งยังนุ่มอีก อร่อยถูกปากมากเลย เขาอดไม่ได้ที่จะกินอีกสองสามคำ
กระเพาะอาหารของอวิ๋นเยี่ยกำลังบิด แต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า หลายครั้งที่เกือบจะป้อนข้าวใส่จมูก พฤติกรรมของหลี่อั้นตลกมากจริงๆ เขาถึงกับเชื่อว่ามีเรื่องไร้สาระอย่างการเปลี่ยนหัวใจว่ามีอยู่จริงด้วย ตอนนี้หลี่โย่วจำเป็นต้องเป็นมังสวิรัติ กินยาชำระจิตของซุนซือเหมี่ยวหกเม็ดติดต่อกัน ถ้าสามารถกินเนื้อได้มันก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว
ตอนนี้หัวใจแพะก้อนนั้นคงจะเข้าไปอยู่ในกระเพาะของหลิวเซี่ยนแล้ว หัวใจแพะหากนำมาแกล้มเหล้านั้นจะเป็นอาหารที่อร่อยมากอย่างหนึ่ง
ตั้งแต่ที่ได้รับแจ้งจากหลี่ซื่อหมิน หนังศีรษะของอวิ๋นเยี่ยก็ขนหัวลุกแล้ว นี่คือสองจอมสารเลวที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ คนหนึ่งถูกบิดาตนเองให้คำพูดถึงว่า “แม้สัตว์ร้ายก็สามารถปราบพยศได้ สามารถทำให้เชื่องต่อคน การแกะสลักหินผา อาจกลายเป็นเครื่องมือได้ แม้ผู้ที่มืดมนมีหรือจะสู้สัตว์ร้ายหรือหินผาไม่ได้” อีกคนหนึ่งเป็นจอมสารเลวที่วางอำนาจบาตรใหญ่ทำจนผู้คนในเขตที่ดินพระราชทานอย่างเมืองฉีโจวอยู่ไม่เป็นสุข สุดท้ายแม้แต่เฉวียนว่านจี้อาจารย์ของตัวเองก็ฆ่ามทิ้ง หลี่ซื่อหมินส่งสองคนนี้มาที่นี่ถือเป็นการทดสอบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักศึกษาชัดๆ
เห็นได้ชัดว่าวิธีการสอนแบบธรรมดาทั่วไปนั้นใช้ไม่ได้ผล มีเพียงใช้วิธีที่ดุดัน เบื้องหน้าอวิ๋นเยี่ยตอนนี้จะมีเงาของหวงสู่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว ตั้งแต่ที่เคยถูกอวิ๋นเยี่ยข่มขวัญและถูกหลี่ไท่เหยียดหยามแล้ว ผู้ชายคนนี้ได้กลายเป็นคนดีที่ดูแลครอบครัว เว้นแต่สำนักศึกษาได้มอบหมายภารกิจให้เขา ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ก้าวขาออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว ลูกติดที่อิงเหนียงพามาด้วยเขาก็รักเอ็นดูจากใจจริง ลูกชายที่ขี้เหร่ของตนเองยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ไม่มีใครในสำนักศึกษาพูดถึงอดีตตอนที่เป็นโจรปล้นสุสานของเขาแล้ว เมื่อพบหน้ากันก็ทักว่าอาจารย์หวงอย่างเกรงอกเกรงใจ คำเรียกนี้หวงสู่หวงแหนเป็นอย่างมาก เมื่อทำงานก็ยอมทุ่มเททั้งชีวิต เมื่อพานักเรียนออกไปข้างนอกเรื่องที่เป็นอันตรายเขาจะทำด้วยตัวเองเสมอ ดีต่อนักเรียนจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้ว ก็หวังเพียงอยากจะฟังพวกเขาเรียกตัวเองว่าอาจารย์หวงให้มากขึ้นอีกหน่อย
หลี่โย่วและหลี่อั้นสามารถทำเช่นเดียวกันได้หรือไม่ ถวายฎีกาลับให้ฮ่องเต้โดยบอกว่าจำเป็นต้องใช้วิธีการสอนแบบใหม่ซึ่งอาจจะมีแรงกระตุ้นทางจิตใจมากเสียหน่อย จึงถามฮ่องเต้ว่าจะอนุญาตหรือไม่ ฎีกาที่ส่งในตอนเช้าได้รับการอนุมัติในตอนบ่าย ขอเพียงแค่ไม่ทำให้พวกเขาถึงตายให้สำนักศึกษาลงโทษได้เลย
เมื่อได้รับการยินยอมจากหลี่ซื่อหมิน หลิวเซี่ยนก็รู้สึกเศร้าใจแทนนายน้อยทั้งสองคน ตกอยู่ในกำมือของอวิ๋นเยี่ย ถูกเล่นงานจนตายเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ารอดมาได้ก็ถือว่าโชคดี ขณะที่จัดสถานที่และฉากนั้น ในใจก็รู้กังวล ไม่รู้ว่าเด็กป่าเถื่อนสองคนนี้จะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่
เด็กซุกซนมักจะมีบางอย่างที่เหนือความคาดหมายและใจถึงมาก หลี่อั้นไม่ได้สลบไปอย่างที่อวิ๋นเยี่ยคาดเอาไว้ เบิกตากว้างเฝ้าดูกระบวนการทั้งหมดจนจบ ซึ่งนี่ทำให้อวิ๋นเยี่ยค้นพบข้อดีที่หาได้ยากมากของเขา นั่นคือสติสัมปชัญญะที่แข็งแกร่งหรือต้องบอกว่าเส้นประสาทใหญ่มาก จำเป็นต้องให้การคำแนะนำ ใช้พรสวรรค์ของเขาอย่างถูกต้อง ใครบอกว่าภูผาไม่สามารถเป็นวัตถุดิบชั้นดีได้