เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 9 สวรรค์ไร้สิ้นหนทาง
ลุกตื่นขึ้นจากที่นอนอันอ่อนนุ่มเหนือคำบรรยาย หยางเฟยยังคงเคลิบเคลิ้มอยู่กับฝันหวานที่เมื่อคืนได้ฝันถึงชีวิตในวัยเด็กที่งดงามที่สุดของนางจนทำให้คลั่งไคล้ใหลหลงสยายผมนั่งอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง ปล่อยให้นางกำนัลหวีผมให้นางตามใจชอบ ทันใดนั้นจู่ๆ นางก็ลุกขึ้นยืนและผลักหน้าต่างให้เปิดออก สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางเบื้องหน้าทำให้นางรู้สึกสุขสบายจนอยากจะร้องครางออกมา
บนถนนหินสายเล็กๆ ที่อยู่ไกลลิบนั้นมีเด็กหนุ่มสองคนกำลังแบกถังน้ำขนาดใหญ่ด้วยความยากลำบาก เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้านั้นค่อนข้างอ้วนเล็กน้อย เมื่อร่างกายเสียหลักเล็กน้อยน้ำที่อยู่ในถังก็กระเฉาะออกมาบางส่วน เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหลังก็ต่อว่าต่อขานไม่ยอมหยุด
นากำนันยกมือป้องปากแอบหัวเราะ ท่าทางการหาบน้ำของสองราชนิกุลช่างชวนให้น่าขันจริงๆ ถังนั้นใบใหญ่เกินไปจนแทบจะเท่าตัวของพวกเขาแล้วและน้ำเต็มจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นตกลงไปจึงมีใบไม้ขนาดใหญ่ที่ล้างสะอาดแล้วปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง เดินโซซัดโซเซราวกับตุ๊กตาล้มลุก
ทั้งสองวางถังลง หลี่ไท่นั่งนวดไหล่พลางกัดฟันกร่อดๆ “อาเค่อ ถังใบใหญ่เกินไป แม้ว่าข้าจะเป็นน้องชายเจ้าแต่เจ้าก็ไม่ควรหาเรื่องทรมานข้า เปลี่ยนถังที่เล็กกว่านี้สักหน่อยได้ไหม”
หลี่เค่อนั้นเหนื่อยกว่าเขามาก ถังน้ำถูกเลื่อนมาไว้ใกล้กับเขามาก หากในยามปกติแล้วเขาจะต้องคัดค้านอย่างแน่นอน แต่วันนี้เขากัดฟันทำโอยไม่บ่นอะไรเลย ครั้งก่อนที่ฮองเฮาเสด็จมาประทับที่สำนักศึกษานั้นย่อมต้องอยู่ใกล้กับน้ำตกเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้หยางเฟยประทัยอยู่ในอาคารเล็ก ระยะทางในการหาบน้ำจึงไกลขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัว
หลี่เค่อนั้นรู้จักนิสัยของหลี่ไท่เป็นอย่างดี หากให้ช่วยหาบเพียงรอบเดียวเขายังให้ความร่วมมือแต่หากให้หาบสองรอบเขาจะต้องบ่ายเบี่ยงแน่นอน ดังนั้นหลี่เค่อจึงได้สั่งทำถังขนาดใหญ่ใบใหม่ไว้แต่เนิ่นๆ แล้วเพื่อป้องกันโรคขี้เกียจกำเริบของหลี่ไท่
“อาไท่ อดทนอีกหน่อย ประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว อย่างมากที่สุดคราวหน้าหากฮองเฮาเสด็จมาข้าจะช่วยเจ้าหาบน้ำอีกครั้ง เสด็จแม่ข้าจะออกจากวังได้สักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องให้ท่านพักผ่อนให้เต็มที่ ต้องใช้น้ำที่ดีที่สุด นี่เป็นความกตัญญูที่พวกเราซึ่งเป็นลูกควรกระทำ”
ในด้านมารายาทแล้วหลี่ไท่วางตัวได้ดีมาก เขาพยักหน้ารับ ขณะที่เตรียมจะก้มตัวลงไปหาบน้ำต่อ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ตบที่หน้าผากของตนเองอย่างแรงและพูดกับหลี่เค่อว่า “พวกเราเป็นลาโง่สองตัว ก็เพียงแค่ลำเลียงน้ำสะอาดจากน้ำตกเข้ามาใช้ก็สิ้นเรื่อง แต่พวกเรากลับพยายามหาบน้ำอย่างไม่คิดชีวิต แม้แต่วิธีที่จะประหยัดแรงที่อวี้ฉือจอมโง่ยังคิดได้ แต่เจ้ากับข้าที่เป็นนักเรียนสองคนที่ฉลาดที่สุดในสำนักศึกษากลับคิดไม่ออก ถ้าต้องเหนื่อยตายก็สมควรแล้ว ทั้งยังจะไม่มีใครเห็นใจอีกด้วย ไม่แน่ว่าตอนนี้อวิ๋นเยี่ยอาจจะหลบอยู่ที่นั่นหัวเราะเยาะพวกเราอยู่ก็เป็นได้”
หลี่เค่อนั้นถึงกับอ้าปากค้าง ระยะทางหนึ่งลี้นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา น้ำตกนั้นอยู่สูงแต่อาคารเล็กนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่า ดังนั้นน้ำจะต้องไหลเข้ามาอย่างแน่นอน เพียงแค่ตัดปล้องไม้ไผ่และเชื่อมต่อเข้าด้วยกันก็ใช้ได้แล้ว วิธีง่ายๆ เช่นนี้ทั้งสองคนกลับคิดไม่ถึง
เมื่อครู่ยังมีกำลังใจในการหาบน้ำ ทันใดนั้นก็พบว่าความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเช่นนี้ควรจะตำหนิในความโง่เขลาของตนเอง จึงทำให้หมดแรงในทันทีแล้วยังจะมีแรงในการหาบน้ำอีกหรือ
“เสี่ยวอั้น เสี่ยวโย่ว พวกเจ้าดูไว้ นี่คือจุดจบของลาโง่ พวกเขาต่างก็ยอมรับแล้ว ต่อไปพวกเจ้าอย่าได้เอาพวกเขาเป็นเยี่ยงอย่าง” กังวลอะไรก็มักจะเกิดเหตุการณ์นั้น อวิ๋นเยี่ยพาหลี่โย่วและหลี่อั้นโผล่ตัวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ หลี่โย่วและหลี่อั้นสองพี่น้องต่างคนต่างกำลังถือกล่องอาหารอยู่ในมือซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะนำอาหารไปถวายให้หยางเฟยและอินเฟย
หลี่ไท่อวดอ้างตัวว่าเป็นคนฉลาดมาโดยตลอด คราวนี้ถูกอวิ๋นเยี่ยจับจุดอ่อนได้ จึงได้แต่ใบหน้าแดงก่ำหาข้อโต้แย้งอะไรไม่ได้เลยหลี่เค่อเองก็เช่นกัน อวิ๋นเยี่ยเดินเข้าไปหาและตบไหล่หลี่ไท่และหลี่เค่อเบาๆ แล้วพูดว่า “จุดเริ่มต้นของพวกเจ้าก็คือความกตัญญู แม้ว่าจะทำเรื่องที่โง่เขลาเพียงใดก็ควรได้รับการให้อภัย อย่างไรเสียความกตัญญูกตเวทีต้องมาก่อน เหมือนใครนะที่นอนหมอบอยู่บนพื้นน้ำแข็งเพื่อใช้ความร้อนในร่างกายละลายพื้นน้ำแข็งหนาๆ และจับปลาให้แม่ของเขา แม้ว่าการใช้สิ่วกะเทาะน้ำแข็งจะเร็วกว่า แต่เราก็ไม่ใช้มัน วิธีการอันโง่เขลาเช่นนี้ก็คล้ายกับวิธีการของพวกเจ้าสองคน ช่างเรียกได้ว่าวิถีที่แตกต่างแต่ผลลัพธ์นั้นเหมือนกัน”
ในตอนนี้หลี่เค่อและหลี่ไท่อยากจะกัดอวิ๋นเยี่ยให้ตาย ลิ้นอสรพิษที่พ่นพิษไม่ยอมหยุด ในสำนักศึกษาได้เคยซักถามเกี่ยวกับเรื่องเล่าในตำรา “เซี่ยวจิง” มาตั้งนานแล้วซึ่งในท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มคนโกหกที่ไร้สาระทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้องไห้จนหน่อไม้งอก หรือเรื่องนอนหมอบบนน้ำแข็งเพื่อจับปลา ล้วนแล้วแต่เป็นพวกพิการทางสมองจึงจะทำกัน อวิ๋นเยี่ยนำพวกเขาไปเปรียบเทียบกับคนที่ชื่อหวังเสียง เห็นได้ชัดว่ากำลังหัวเราะที่พวกเขาเป็นผู้พิการทางสมอง แม้จะไม่รู้ว่าพิการทางสมองคืออะไร แต่คำพูดที่มาจากปากของอวิ๋นเยี่ยนั้นจะต้องไม่ใช่คำที่ดีอย่างแน่นอน
หาบน้ำได้เพียงครึ่งทาง แน่นอนว่าจะละทิ้งกลางคันไม่ได้ ทั้งสองจึงยกถังน้ำขึ้นเดินหน้าต่อโดยไม่พูดอะไรเลย ภายใต้คำพูดที่เหน็บแนมของอวิ๋นเยี่ยที่พูดมาตลอดทาง สองพี่น้องก็ได้หาบน้ำไปจนถึงอาคารเล็กในอึดใจเดียว
หยางเฟยและอินเฟยที่ยืนอยู่ด้านหน้าอาคารเล็กนั้นน้ำตาไหลอาบแก้มตั้งนานแล้ว นี่คือผลจากการอบรมสั่งสอนของสำนักศึกษาอย่างนั้นหรือ อินเฟยรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก หยางเฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาขับเหงื่อให้หลี่ไท่และหลี่เค่อที่เหงื่อไหลไคลย้อย เช็ดเหงื่อพลางร้องไห้ อินเฟยยังบอกอีกว่าพี่หญิงช่างมีวาสนายิ่งนักที่มีลูกชายที่กตัญญูเหมือนกับหวังเสียง ซึ่งทำให้สองพี่น้องฟังแล้วไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
ทางด้านนี้หลี่อั้นจู่ๆ ก็ร้องไห้เสียงดัง คุกเข่าบนพื้นกอดขามารดาไม่ยอมปล่อยมือ เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายเพียงอย่างเดียว น้ำตาและน้ำมูกไหลอาบแก้ม รู้สึกคับข้องใจจนแทบจะชักดิ้นชักงออยู่แล้ว
ในที่สุดเขาก็หยุดร้องไห้และชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยและพูดกับมารดาว่า “เสด็จแม่ ข้าไม่ต้องการเรียนในสำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยเป็นปีศาจ เขาควักหัวใจของเสี่ยวโย่วออกมาและเปลี่ยนหัวใจแพะเข้าไปแทน ตอนนี้เสี่ยวโย่วเอาแต่ชอบกินหญ้า ไม่ชอบกินเนื้อ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะควักหัวใจของพวกเสด็จอาเจียอ๋องออกมาแล้วเปลี่ยนหัวใจสุนัขจิ้งจอกเข้าไปแทน ข้าล้วนแล้วแต่เห็นมากับตาตัวเอง เสด็จแม่ ข้าไม่อยากโดนควักหัวใจ ข้าอยากกลับวัง”
อินเฟยเปิดอกเสื้อของหลี่โย่วด้วยความงุนงงสงสัย เห็นว่าหน้าอกก็ยังคงขาวนวลเหมือนปกติ ไม่มีร่องรอยใดๆ แม้สักนิด ขณะที่กำลังจะปิดเสื้อของหลี่โย่วกลับเหมือนเดิม คิดไม่ถึงว่าหลี่โย่วก็เริ่มร้องไห้โฮเล่าระบายสิ่งที่น่าสังเวชของตนที่ประสบพบเจอมา
อวิ๋นเยี่ยยืนหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ มองดูสองพี่น้องร้องไห้ระบายความอัดอั้น หลี่ไท่หัวเราะจนตัวงอ หลี่เค่ออายจนหน้าแดงไปถึงใบหูจนแทบอยากจะอุดปากของหลี่อั้นเสียให้ได้ แต่หยางเฟยนั้นกลับมีท่าทีรู้สึกเจ็บใจที่ลูกดูไม่เอาไหนเสียเลย อินเฟยเองก็เช่นกัน
ก่อนหน้านี้พวกเขาสองคนมักปั้นน้ำเป็นตัว แต่ไม่เคยแสดงท่าทีกุเรื่องได้สมจริงเหมือนครั้งนี้เลย เรื่องคนประหลาดที่มีรอยแผลเป็นเต็มตัว เรื่องการสลับสับเปลี่ยนหัวใจอะไรพวกนี้ ทำให้พระสนมทั้งสองฟังจนรู้สึกขนลุกขนพอง แต่กลับไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว
สิ่งแรกหลี่อั้นสัมผัสได้ก็คือสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่เขาคาดการณ์ไว้ พี่ชายของเขากำลังโกรธ แต่ทว่าโกรธเขา มารดาของเขากำลังโกรธซึ่งก็โกรธเขาด้วย แม้แต่มารดาของหลี่โย่วผู้ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกทำร้ายก็ไม่พอใจเขาทั้งสองคนเช่นกัน
ทันทีที่เห็นรอยยิ้มอันน่าสยดสยองของอวิ๋นเยี่ย เขาก็หยุดร้องไห้ในทันใดและพูดกับมารดาอย่างจำยอมว่า “เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ฝันร้ายของลูกเอง ต่อไปจะไม่พูดถึงอาจารย์ในทางที่ไม่ดีอีก ลูกจะตั้งใจเล่าเรียน”
หลี่โย่วหันกลับไปมองหลี่อั้นด้วยความงงงวย นานๆ ครั้งที่ทั้งสองจะพูดความจริงออกมา เหตุใดจึงกลายเป็นความฝันไปได้ ทั้งยังเตรียมวิงวอนต่อมารดาอีก ใครจะรู้มารดากลับตบเข้าที่ด้านหลังศีรษะหนึ่งฝ่ามือด้วยสีหน้าโกรธเคืองที่เขาไม่เอาไหน จึงได้เข้าใจว่าเหตุใดหลี่อั้นจึงต้องพูดโกหก
อวิ๋นเยี่ยประสานมือกล่าวเกลี้ยกล่อมว่า “พระสนมอย่าได้ทรงกริ้ว เสี่ยวอั้นและเสี่ยวโย่วเพิ่งมาถึงสำนักศึกษาเป็นครั้งแรก ไม่ว่าอะไรก็ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ย่อมต้องรู้สึกไม้คุ้ยชินเป็นธรรมดา เมื่ออยู่นานไปก็จะสามารถปรับตัวได้เอง เด็กๆ อาจจะติดนิสัยเอาแต่ใจบ้างถือเป็นเรื่องปกติ การลงโทษพวกเขานั้นหาใช่วิธีการแก้ไขปัญหา ขอเพียงแค่พวกเขาคิดว่าจำเป็นต้องเล่าเรียนเขียนอ่าน เช่นนี้แล้วจึงจะตั้งใจเรียนเอง มิฉะนั้นก็เป็นเพียงการฝืนเรียน ไม่ว่าเรียนอย่างไรก็จะไม่เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย”
ฉวยโอกาสที่พระสนมทั้งสองแสดงการคารวะกลับ อวิ๋นเยี่ยแอบส่งแววตาที่เย็นชาน่ากลัวเป็นที่สุดให้หลี่โย่วและหลี่อั้นทำให้ทั้งสองพี่น้องตัวสั่นเทา เมื่อเห็นว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงหยิบกล่องอาหารทั้งสองกล่องที่อยู่บนพื้นส่งให้หลี่โย่วและหลี่อั้นแล้วจึงกล่าวกับสนมทั้งสองว่า “ขณะทานอาหารเช้า นี่เป็นซาลาเปาของสำนักศึกษาที่พวกเขาสองคนรู้สึกว่าอร่อยมาก ซึ่งอยากให้สนมทั้งสองได้ลิ้มลองด้วยจึงได้ซื้อเพิ่มขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง นี่ก็เป็นน้ำใจของเด็กทั้งสองคน ขอพระสนมทั้งสองได้โปรดลองเสวยพ่ะย่ะค่ะ”
สองพี่น้องส่งกล่องอาหารให้มารดาของตนด้วยท่าทางที่แข็งทื่อ จากนั้นก็ไปยืนอยู่ด้านหลังอวิ๋นเยี่ยอย่างสุภาพ ซึ่งทำให้พระสนมทั้งสองเห็นแล้วปราบปลื้มอยู่ครู่หนึ่ง
ภายใต้ข้ออ้างที่ว่าต้องแบ่งชั้นเรียนให้ทั้งสองคน จากนั้นอวิ๋นเยี่ยก็กล่าวคำอำลาและมอบหมายเรื่องการต้อนรับพระสนมให้หลี่ไท่และหลี่เค่อดูแล จากนั้นก็พาเด็กน้อยทั้งสองเดินมุ่งหน้ายังไปสำนักศึกษา เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางหลังจากอ้อมเนินเขาเล็กๆ อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่หยุดเดิน สองพี่น้องก็กลัวจนหมอบลงพื้นสองมือกุมศีรษะร้องขอวิงวอนเต็มที่ สาบานอย่างรุนแรงว่าภายหน้าพวกเขาจะไม่กล้าเปิดเผยความลับของสำนักศึกษาอีกแล้ว
ได้ผลออกมาดีมาก อวิ๋นเยี่ยแอบคาดเดาว่าด้วยท่าทีเช่นนี้ของหลี่อั้นและหลี่โย่วไม่มีเหตุผลที่จะสอนให้ดีไม่ได้ ตอนนี้ก็เหลือเพียงหลี่เผิงเฉิงเท่านั้นที่ยังเป็นตัวอันตราย ขณะที่ลงมือทะเลาะวิวาทด่ากราดไปทั่วโดยไม่มีท่าทีว่าพูดจาติดขัดเลยแม้แต่น้อย เหตุใดเมื่อเข้าห้องเรียนแล้วกลับพูดติดอ่างอึกอักจนผู้คนทนไม่ไหว หรือจะบอกว่ามีเพียงการทำการผ่าตัดหลอกๆ จึงจะทำให้เขามั่นใจได้เท่านั้น คงต้องดูไปก่อน หากยังไม่สำเร็จอีก คงจะทำได้เพียงวิธีนี้เท่านั้นเอง
ท่าทางที่กำลังครุ่นคิดของอวิ๋นเยี่ยทำให้หลี่โย่วและหลี่อั้นที่อยู่ข้างหลังหวาดผวา ยังคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังคิดแผนการชั่วร้ายอะไรบางอย่างอีกเพื่อที่จะรับมือกับพี่น้องของพวกเขา ตอนนี้แม้พูดความจริงมารดาของตนเองก็ยังไม่เชื่อ กำลังเสริมจากภายนอกก็ถูกตัดขาด การสงบเสงี่ยมเชื่อฟังเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้มีชีวิตรอดต่อไปได้ สองพี่น้องไม่กล้าคาดหวังสำหรับอนาคตของพวกเขาอีกแล้วแม้แต่น้อย
เมื่อหลิวเซี่ยนเห็นหลี่โย่วและหลี่อั้นสองพี่น้องที่อยู่ตรงหน้าเขาวางตัวสุภาพเรียบร้อย เอ่ยปากรู้จักขอบคุณ กล่าวคำรู้จักนอบน้อมก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก นี่คือสองจอมมารน้อยที่ทำตัวไร้กฎเกณฑ์อยู่ในวังที่ไหนกัน หากแต่เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์สองคนที่มีกริยามารยาทนอบน้อม ยิ่งเมื่อสวมชุดสีน้ำเงินครามยิ่งแสดงออกให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ของราชนิกุลอย่างเด่นชัด เมื่อมองดูอวิ๋นเยี่ยซึ่งยืนอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าไม่แยแสแอบยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาเต็มที่
“หลี่โย่ว หลี่อั้น รหัสนักศึกษาของพวกเจ้าคือ แปดร้อยเจ็ดสิบหก แปดร้อยเจ็ดสิบเจ็ด จัดให้อยู่ในอาคารหมวดอักษร “ตี้” ห้องหมายเลขสามศูนย์หก ชั้นสาม ทุกวันต้องตื่นในยามเหม่าสือ[1] ให้เวลาอาบน้ำและแปรงฟันเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป หากเกินกำหนดเวลาจะถูกลงโทษด้วยการวิ่งสี่ลี้ ยามเฉินสือ[2]รับประทานอาหารเช้า จากนั้นให้เวลาครึ่งชั่วยามเพื่อจัดการที่พักตนเอง เวลาที่เหลือก็คือเวลาเรียน พวกเจ้าจะได้รับแจกตารางเรียน ยามอู่สือ[3]คือเวลาอาหารกลางวัน มีเวลาพักหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นเข้าเรียนต่อ มีคาบเรียนเพียงหนึ่งชั่วยามในช่วงบ่าย เวลาที่เหลือเป็นเวลาอิสระ อาหารเย็นทานในยามเซินสือ[4] หากเลยจากเวลาที่กำหนดแล้วจะไม่มีการรอ ยามไฮ่สือ[5]เศษๆ ให้เข้านอนให้ตรงเวลา ห้ามกระทำฝ่าฝืนกฎ พวกเจ้าฟังเข้าใจแล้วหรือไม่”
“เข้าใจดีแล้ว” ทั้งสองตอบกลับพร้อมกัน เมื่อเห็นหลี่อั้นมีอาการลังเลเล็กน้อย หลิวเซี่ยนจึงถามต่อว่า “หลี่อั้น เจ้ายังจะถามอะไรอีกไหม”
“อาจารย์ พวกเรามีเวลาเล่นสองชั่วยามใช่หรือไม่” เขาพบปัญหานี้เมื่อดูจากตารางเวลาและถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ พวกเจ้ายังเด็กอยู่ ดังนั้นคาบเรียนจึงยังไม่หนักหนา เวลาสองชั่วยามให้เป็นกิจกรรมยามว่างของพวกเจ้าเอง ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าไปเล่นฟุตบอลหรือเข้าร่วมการออกกำลังกายซึ่งจะเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับพวกเจ้าในภายหน้า แต่เป็นการสมัครใจ หากเจ้าไม่เข้าร่วมก็ไม่มีใครว่าอะไร สำนักศึกษามีคนมากมายก้าวออกไป แต่จะไม่มีเศษสวะก้าวออกไป พวกเจ้าได้ยินชัดเจนหรือไม่” หลิวเซี่ยนตั้งใจอธิบายให้หลี่อั้นฟังโดยเฉพาะ
“ได้ยินชัดเจนแล้ว!” สองพี่น้องตอบเสียงดังมากกว่าเดิม บางที สำนักศึกษาก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดไว้ ยกเว้นอวิ๋นเยี่ย!
——
[1] เหม่าสือ เป็นเวลา ประมาณ ตี 5 ถึง 7 โมงเช้า
[2] เฉินสือ เป็นเวลา ประมาณ 7 โมงเช้า ถึง 9 โมงเช้า
[3] อู่สือ เป็นเวลา ประมาณ 11 โมงเช้า ถึง บ่ายโมง
[4] เซินสือ เป็นเวลา ประมาณ บ่าย 3 โมง ถึง 5 โมงเย็น
[5] ไฮ่สือ เป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม