เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 11 หลี่ไท่บ้าคลั่ง
หลี่ไท่สวมชุดทำงานผ้าลินินที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสาบแกะไปฉางอันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ตามที่เขาว่า เขาอยากดูว่าพวกตัวป่วนในราชสำนักยังเหลือจิตใจที่เป็นมนุษย์อยู่บ้างหรือไม่ ตัวเองกับอาจารย์อายุแปดสิบลำบากลำบนทั้งวันทั้งคืนเพื่อรากฐานความมั่นคงของต้าถัง พวกเจ้าไม่ช่วยก็ไม่ว่า มือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำอีก คิดอะไรอยู่กันแน่
ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นมาแล้ว วังไท่จี๋มีแสงทองสาดส่องดังเดิม เหล่าขันทีกับนางกำนัลเช็ดถูเสาทางเดินต้นสุดท้ายเพิ่งเสร็จ ประตูวังเปิดออกเต็มที่ วันนี้เป็นวันประชุมใหญ่ อวิ๋นเยี่ยถือแผ่นอู้ปั่นเดินตามหลังหนิวเจี้ยนต๋าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับว่าข่าวลือสนั่นเมืองนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองแม้แต่นิด เหล่าเฉิงกับเหล่าหนิวถามว่าเขามีแผนรับมืออย่างไร อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วนิ่งไม่พูด บอกเพียงว่าฟ้าถล่มลงมาย่อมมีผู้สูงกว่ายันไว้ ลากแค่โหวเหยียตระกูลอวิ๋นเล็กๆออกมาอายเขาเปล่าๆ เหล่าเฉิงกับเหล่าหนิวก็เห็นดังนั้น จึงเตรียมใจดูละครด้วยความครึกครื้น
อวิ๋นเยี่ยยื่นคอไม่เห็นหลี่ไท่ที่มาฉางอันก่อนเขา คาดว่าคงกำลังร้องทุกข์อยู่กับฮองเฮา หลี่เฉิงเฉียนยืนอยู่ที่หัวแถวของขุนนางฝ่ายบุ๋นมองดูอวิ๋นเยี่ยแบบมีกังวลเล็กน้อย แต่เห็นอวิ๋นเยี่ยพิงเสาหลับตาตั้งสมาธิแล้วก็วางใจที่ห่วงใยลง ฎีกายี่สิบฉบับนั้นมีสิบเจ็ดฉบับที่เป็นของขุนนางฝ่ายบุ๋นวางอยู่บนโต๊ะของหลี่ซื่อหมิน ล้วนใช้คำพูดสำนวนที่ดุเดือดรุนแรง จิตใจที่แข็งแกร่งดังเหล็กเพชรตั้งปณิธานที่จะกำจัดเนื้อร้ายให้ต้าถัง เนื้อร้ายนี้ก็คืออวิ๋นเยี่ย จากการพุ่งเป้าโจมตีของเหล่าขุนนางไม่เชื่อว่าเขาจะรอดพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้
จ่างซุนอู๋จี้ ฝางเสวียนหลิง ตู้หรูฮุ่ย ถังเจี่ยนพวกผู้ยิ่งใหญ่แท้จริงเหล่านี้ต่างนิ่งเฉยราวรูปปั้นไม่แสดงอาการใดๆ ส่วนพวกรองเสนาบดีผู้ว่าการกรมกองต่างๆกลับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันลิงโลดเหลือแสน
ความกระตือรือร้นตามปกติวิสัยทุกวันของเหล่าศักดินาก็หายไปด้วย นอกจากฉินฉยง หลี่จิ้ง อวี้ฉือกงที่คิ้วขมวดแน่นแล้ว ที่เหลือทั้งหมดต่างออกอาการไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองแม้แต่นิด เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นโต้กลับอย่างรุนแรงจนฝ่ายศักดินาไม่อยากต่อกรด้วย
หลังพิธีทำความเคารพกันแล้ว ไม่ทันรอให้อัครมหาเสนาบดีรายงานเรื่องสถานการณ์ทั่วหล้า ผู้ตรวจสอบหวงโย่วก็ชิงรายงานก่อน นี่เป็นเรื่องที่ไร้มารยาทอย่างยิ่ง หวงโย่วกระเ**้ยนกระหือรือเต็มที่ที่จะต้องจัดการในทันที คำตำหนิติเตียนของเว่ยเจิงเมื่อวานนี้ นอกจากพวกเขาไม่สงบเสงี่ยมลงแล้วยังกลับทำรุนแรงขึ้น ติดต่อขุนนางระดับสี่ห้าอีกมากมายเตรียมเล่นงานอวิ๋นเยี่ย
“ฝ่าบาท กระหม่อมหวงโย่วมีรายงาน”
หลี่ซื่อหมินส่งเสียงที่ไม่มีอารมณ์ใดๆแฝงอยู่ “พูดมา”
“กระหม่อมขอฟ้องหลานเถียนโหวอวิ๋นเยี่ยทำผิดกฎหมายรวมยี่สิบหกคดี หนึ่งคือเพิกเฉยพระกรุณาธิคุณ รับผลประโยชน์เข้าตัว สองคือตั้งแนวร่วมกลุ่มยุทธภพ วางแผนการมิชอบ สามคือสมคบชนเผ่านอกด่าน จุดประสงค์ไม่แจ้งชัด สี่คือใช้กลยุทธ์นอกลู่นอกทาง มอมเมาจิตใจผู้คน ห้าคือสะสมผู้มีวิชาดีเลิศทั่วหล้า เพื่อใช้ประโยชน์ส่วนตัว หกคือส่งกลุ่มยุทธภพลงใต้ที่หลิ่งหนาน คล้ายดังก่อกบฏ เจ็ดคือ…”
คดียิ่งใหญ่แต่ละคดีค่อยๆครอบลงมา หากเป็นจริงเพียงแค่คดีเดียว เบาสุดก็ถูกเนรเทศไปชายแดนหลิ่งหนานตกปลา มุมปากจ่างซุนอู๋จี้กระตุกนิดๆส่วนสีหน้าตู้หรูฮุ่ยสุดจะชื่นมื่น ฝางเสวียนหลิงถองเว่ยเจิงที่อยู่ข้างๆกระซิบว่า “เมื่อวานนี้ท่านไม่ได้สั่งสอนพวกเขาหรือ”
เว่ยเจิงค้อนควับบอกว่า “ข้าแทบจะบอกไปเลยว่าทั้งหมดนี้ความจริงเป็นเรื่องที่ฝ่าบาททำเอง พวกเขาเป็นลาโง่ทั้งฝูงฟังภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่อง พอทรัพย์สมบัติตัวเองเสียหายก็คิดจะเอาคืนจากตระกูลอวิ๋น ความโลภบังตาหาที่ตายเองจะโทษใครได้”
“ยี่สิบหกคือวิวาทต่อยตีกับเจ้าครองอาณาจักรด้วยเรื่องสาวประเภทสองทั้งๆที่ตัวเองเป็นโหวของชาติ เป็นที่เสื่อมเสียเกียรติภูมิชาติ กระหม่อมฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ยทั้งหมดยี่สิบหกข้อ ทุกๆข้อได้ผ่านการตรวจสอบแล้วเป็นจริงทั้งหมด ขอให้ฝ่าบาทลงโทษวายร้ายคนนี้เพื่อจะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างทั่วหล้า”
พูดจบแล้วก็หมอบกราบไม่ลุกขึ้นรอคำตัดสินจากฮ่องเต้ ขณะที่มีคนออกมาร้องคำว่า“ร่วมฟ้องด้วย”อีกสามสิบกว่าคน แล้วทั้งหมดก็หมอบกราบรอคอยวันสุดท้ายของอวิ๋นเยี่ย
“อวิ๋นเยี่ย เมื่อก่อนนี้ข้ามักจะเข้าใจว่าเจ้ามีมนุษยสัมพันธ์ดี ทั้งฉลาดเฉลียวคบหาสมาคมกับผู้คนได้สนิทแนบแน่นเป็นอย่างดี อาจารย์เจ้าก็เคยสั่งสอนเจ้าถึงวิธีการสร้างสื่อสัมพันธ์ต่างๆ แล้วทำไมจึงเกิดเรื่องที่คนหลายสิบคนต่างต้องการศีรษะเจ้าขึ้นมา เรื่องนี้หากเกิดขึ้นที่เว่ยเจิงนั้นไม่แปลก แต่เกิดขึ้นที่ตัวเจ้านี่ข้าคิดอย่างไรก็หาคำตอบไม่ได้ ไหนลองว่ามาทำไมจึงเป็นเช่นนี้ได้”
หลี่ซื่อหมินเตรียมดูการเล่นตลกของอวิ๋นเยี่ยด้วยอารมณ์สนุกทางร้ายนิดๆ จริงๆแล้วเขารู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใครๆ แต่พอเห็นอวิ๋นเยี่ยโดนรุมโจมตีจากคนจำนวนมากเช่นนี้ ทำให้อยากรู้นักว่าหมอนี่จะใช้วิธีอะไรที่ทำให้รอดตัวไปได้
อวิ๋นเยี่ยฝืนยิ้มออกไปทำความเคารพแล้วยืนตัวตรงพูดกับขุนนางทั้งราชสำนักว่า “หวงโย่วเป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียนจึงมักเกิดความรู้สึกที่ละอายต่อบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไป ว่าตัวเองอายุครึ่งร้อยมีบุตรชายเพียงแปดคนกับบุตรสาวอีกสี่คนเป็นที่น่าละอายใจมาก จึงได้ขอสูตรเพิ่มสมรรถภาพกับกระหม่อมว่าจะต้องมีบุตรหลานอีกสิบเจ็ดสิบแปดคนจึงจะทดแทนบุญคุณบรรพบุรษได้ แต่ถูกกระหม่อมปฏิเสธ ดังนั้นจึงได้เกิดเรื่องวันนี้ขึ้นมา”
ข้อสงสัยเหล่านั้นไม่มีสักข้อที่สามารถตอบได้อย่างเปิดเผยชัดเจน อวิ๋นเยี่ยจนปัญญาจึงต้องแต่งเรื่องมั่วซั่วออกมา ทำให้ทั้งราชสำนักหัวเราะกันครื้นเครงทันที หวงโย่วใบหน้าแดงก่ำพูดเสียงแหบแห้งว่า“พูดมั่วซั่ว”
รอจนราชสำนักสงบเงียบลงมาแล้วอวิ๋นเยี่ยจึงยิ้มพูดว่า “ย่อมเป็นเรื่องมั่วซั่ว เรื่องมั่วซั่วที่ข้าแต่งขึ้นมาเองแต่แต่งสู้ของท่านไม่ได้ มีตั้งยี่สิบหกข้อมากจริงๆเลย ท่านลองคลำหน้าอกถามใจตัวเองดูสิว่าความผิดทั้งหมดนี้ตัวท่านเองเชื่อหรือไม่เชื่อ”
“ข้าเป็นขุนนางฝ่ายกล่าวโทษ การฎีกากล่าวโทษเป็นงานในหน้าที่ เจ้าทำชั่วมากมาย วันนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าหลุดรอดไปได้”
“เหล่าหวงเอ๋ย ไม่ใช่เพราะท่านคิดอยากร่วมหุ้นร้านฝูลุ่ยที่ถูกท่านทอดทิ้งไปก่อนแล้วโดนเขาไล่ออกจากร้านหรอกหรือ เงินเล็กน้อยเพียงไม่กี่พันก้วนทำให้ท่านต้องโมโหโทโสถึงเพียงนี้เชียวหรือ จะมาจัดการข้าถึงตาย ท่านนึกว่าท่านเป็นใคร ก็แค่คนโง่เง่าคนหนึ่งเท่านั้น หากข้าทำผิดใหญ่โตอะไรมากมายเช่นนั้นจะต้องรอให้ท่านมาพบเห็นหรือ”
“ท่านมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับหัวหน้าที่ทุ่งหญ้า เอาเสบียงอาหารกับอุปกรณ์เหล็กแลกขนแกะที่ไร้ค่ามีหลักฐานชัดเจน เวลานี้ขนแกะของท่านถูกล็อคไว้ที่ท่าเรือฮวงโห ท่านยังจะมีอะไรพูดอีก”
ไม่ทันรอให้อวิ๋นเยี่ยพูดก็มีเสียงที่เคืองแค้นจนสุดแสนผ่านเข้ามา “ที่แท้เจ้าเป็นคนขัดขวางขนแกะของข้าไว้ที่ฝั่งแม่น้ำไม่ให้ข้ามมา” หวงโย่วกำลังจะหันหน้าไปดูว่าเป็นใครกันแน่ ได้ยินเพียงเสียงลมดังเฟี้ยว กระบองอันหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า
มีเสียงดัง“ป๊อก” อวิ๋นเยี่ยสูดลมเย็นถอยไปสองก้าว ฟันเต็มปากของหวงโย่วเหลือเพียงไม่กี่ซี่ทันที หลี่ไท่ที่ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งทั้งตัวโกรธชนิดสุดใจขาดดิ้น ยิ่งคิดยิ่งโมโห ตัวเองลากอาจารย์อายุแปดสิบทำงานถวายชีวิตชนิดไม่รู้วันรู้คืนแต่โดนพวกวายร้ายเหล่านี้ฉุดรั้งไว้ เวลานี้ยังคิดจะสังหารอวิ๋นเยี่ย ตัวเองอยู่กับอวิ๋นเยี่ยมาสามปีมีหรือจะไม่รู้ถึงความสำคัญของอวิ๋นเยี่ย จะถูกสังหารเช่นนี้ได้หรือ
จึงยังคงยกไม้กระบองตีหวงโย่วที่สลบไปแล้วต่ออย่างไม่ยั้ง แต่พอเห็นเหล่าขุนนางอื่นๆที่ร่วมฟ้องด้วยก็หลับหูหลับตาตีแหลกไปทั้งฝูง
ทหารองครักษ์หน้าตำหนักกว่าจะแย่งไม้กระบองจากหลี่ไท่ได้ก็โดนกันไปหลายไม้ หลี่เฉิงเฉียนขึ้นไปกอดหลี่ไท่ที่ผอมจนไม่เหลือสภาพเดิมร้องไห้ลั่น หลี่ซื่อหมินจึงสังเกตได้ว่าคนบ้านั้นเป็นบุตรชายสุดหวงแหนของตัวเอง รีบลงมาจากบัลลังก์มังกร เห็นสภาพที่แสนอนาถของหลี่ไท่แล้ว ความโกรธพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า
“อวิ๋นเยี่ย สถานศึกษาเจ้ามีผีดูดเลือดหรือ ลูกชิงเชวี่ยข้าทำไมจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ในสามเดือน เจ้าต้องอธิบายให้ข้าพอใจ มิฉะนั้นข้าจะเอาข้อหายี่สิบหกข้อนั้นรวมไว้บนศีรษะเจ้าทั้งหมด” ดูหลี่ซื่อหมินที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเวลานี้ ไม่ได้เป็นฮ่องเต้ของจักรวรรดิอีกแล้ว กลายเป็นบิดาที่รักบุตรอย่างที่สุดชนิดไม่คำนึงถึงเหตุผลใดๆทั้งสิ้น
“ฝ่าบาท ไม่ว่าเป็นใคร ขอให้นอนเพียงวันละสองชั่วยามโดยทำงานไม่หยุดหย่อน เพียงสามเดือนก็จะกลายเป็นเช่นนี้ได้ทั้งนั้น” อวิ๋นเยี่ยรีบชี้แจงให้หลี่ซื่อหมินเข้าใจ หากไม่แล้วจะเอาไว้ไม่อยู่แน่นอน
อธิบายแล้วก็ยังไม่ได้ผล หลี่ซื่อหมินยังคงคว้าคอเสื้อสอบสวนอวิ๋นเยี่ยต่อ “แล้วเจ้าปล่อยให้ลูกชิงเชวี่ยข้า ทำงานทั้งวันไม่เลิก เขาเป็นองค์ชายไม่ใช่กุลี เจ้ากล้าทำกับองค์ชายเช่นนี้หรือ”
“ฝ่าบาท ให้ชิงเชวี่ยพูดเองดีกว่ากระมัง หากเขาไม่ยินดี ใครเลยจะกล้าบังคับฝืนใจองค์ชายได้” หลี่ซื่อหมินคิดแล้วก็เป็นจริงดังนั้นจึงปล่อยอวิ๋นเยี่ยออก สั่งทหารองครักษ์นำหวงโย่วกับขุนนางอื่นๆที่หัวร้างข้างแตกไปให้หมอหลวงรักษา แล้วตัวเองมาเบื้องหน้าสองโอรสที่กำลังกอดคอร้องไห้บอกหลี่ไท่ว่า “ลูกชิงเชวี่ย เจ้าบอกเสด็จพ่อสิ หากมีความคับแค้นใจ เสด็จพ่อจะจัดการให้”
หลี่ไท่นึกถึงความตรากตรำที่ราวกับอยู่ในนรกสามเดือนแล้วสะเทือนใจ หากไม่มีเสด็จพ่อ ตัวเองสามารถรับความทุกข์ยากมากกว่านี้ก็ยังไหว แต่พอเสด็จพ่อถามขึ้นมา น้ำตาก็ไหลพรากออกมาทันที
“เสด็จพ่อไม่รู้ อาจารย์ข้ากงซูมู่ประดิษฐ์เครื่องจักรกล สามารถปั่นขนแกะเป็นเส้นด้ายแล้วทอให้เป็นผ้าขนแกะได้ ผ้าชนิดนี้เนื้อผ้าหนาแน่นกันหนาวได้ดีเยี่ยม แต่ทดลองมาแล้วหลายครั้งยังไม่สำเร็จ แม้ทอผ้าได้แล้วแต่ยังไม่ได้คุณภาพตามที่คิดไว้ อวิ๋นเยี่ยยังไม่ให้ผ่านมาตรฐานบอกว่ายังไม่สำเร็จสมบูรณ์ ลูกเกิดความคิดประหลาดจึงผสมใยลินินเข้าไปปั่นด้ายด้วยกัน ดูว่าจะได้ผ้าที่มีเนื้อทนทานไม่ฉีกขาดได้ง่ายไหม ลูกกับอาจารย์อายุแปดสิบกินนอนอยู่ในโรงงานทั้งวันทั้งคืน เฝ้าดูพวกช่างปั่นทอทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า
พอทดลองมากครั้งเข้าขนแกะก็ไม่พอใช้ ลูกจึงให้ตระกูลอวิ๋นไปรับซื้อที่ทุ่งหญ้า อาจารย์อายุแปดสิบของลูกสู้ไม่ไหวจริงๆจึงล้มป่วย ไข้ขึ้นจนสะลึมสะลือก็ยังไม่ลืมเรื่องคุณภาพของผ้าว่าสำเร็จหรือไม่อย่างไร
เสด็จพ่อ ท่านว่าลูกจะกล้าผ่อนคลายอะไรได้แม้เพียงเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยพยายามเปลี่ยนเมนูอาหารให้ข้า แต่ในเมื่อทอผ้ายังไม่ได้คุณภาพ ไม่ว่าอาหารจะเลอเลิศแค่ไหนลูกก็ยังไม่สามารถกลืนได้ลงคอ ตอนนี้กำลังทดลองในขั้นที่สำคัญมากที่สุด พวกเขากลับล็อคขนแกะไว้ที่ท่าเรือไม่ให้ข้ามแม่น้ำมา เมื่อขาดขนแกะแล้วลูกจะไปทดลองอะไรได้ ฟังอวิ๋นเยี่ยว่า ขอเพียงให้ของนี้ทดลองสำเร็จทุ่งหญ้าก็จะไม่มีวันเป็นศัตรูกับจงหยวนอีกตลอดไป จะกลายเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้มากสุดของจงหยวน มีคุณค่ามากกว่ากองทหารนับล้านคนทีเดียว”
พูดแล้วก็ควักกระเป๋าเอาชิ้นผ้าที่ยังทดลองไม่สำเร็จให้หลี่ซื่อหมินดู หลี่ซื่อหมินลูบคลำชิ้นผ้าที่เนื้อผ้าหยาบกร้าน แล้วมองดูโอรสที่ผอมโซ รู้สึกนัยน์ตาร้อนผ่าว นี่มันเป็นชิ้นผ้าที่ไหน มันคือเลือดเนื้อของโอรสตัวเองแท้ๆ แต่ก่อนนี้เป็นเพียงเด็กน้อยอ้วนท้วนที่คอยออเซาะฉอเลาะ ตอนนี้สามารถแบ่งเบาภาระที่หนักอึ้งของตัวเองได้แล้ว
อาศัยสายตาที่เฉียบคมของหลี่ซื่อหมินมีหรือจะไม่รู้ว่าหากขนแกะที่ไร้ค่ากลายเป็นทรัพย์สินมหาศาลได้แล้ว ชิ้นผ้าเล็กๆชิ้นนี้ ไม่แน่ว่าจะสามารถเทียบเคียงกับกองทหารนับล้านได้จริงๆ