เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 13 ก้อนหินของเถียนเซียงจื่อ
ซีถงมาถึงฉางอันเป็นวันที่สามแล้ว วันก่อนเขาให้คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นในฉางอันส่งข่าวที่ตัวเองมาถึงฉางอัน คิดว่าอวิ๋นเยี่ยคงจะหาสถานที่เงียบๆพบกับตัวเอง ไม่นึกว่าคนดูแลบ้านตระกูลอวิ๋นมาหาเขาถึงที่เขาพักอยู่ บอกเขาว่าโหวเหยียจะรอรับแขกสำคัญในบ้านที่อวี้ซัน
ภายในเวลาเพียงปีเดียว ผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจทำให้ชายล่ำสันสูงแปดเชียะจากกวนซีถูกทรมานจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เสื้อผ้าขาดวิ่น ไม่เหลือแม้แต่สตางค์แดงเดียว มีเพียงถุงย่ามใหญ่โตที่สะพายหลังให้คนรู้สึกได้ว่านี่เป็นคนคนหนึ่งไม่ใช่ปิศาจร้ายที่ไหน
บ้านที่ขออาศัยนั้นเป็นเพื่อนแต่เก่าก่อนที่ซีถงเคยมีบุญคุณต่อเพื่อนคนนี้ เจ้าของบ้านป่วยเสียชีวิตนานแล้ว เหลือเพียงบุตรชายสองคนกับมารดาที่เป็นม่าย หากไม่ใช่เพราะมารดายืนกรานให้ซีถงพักอยู่ที่บ้านตัวเอง เขาก็ถูกบุตรชายสองคนที่ไม่เห็นคนจนอยู่ในสายตาไล่ออกไปนานแล้ว
การมาของเหล่าเฉียนทำให้ครอบครัวนี้ตกใจมาก เพียงแค่ชุดผ้าต่วนราคาแพงระยับบนร่างเหล่าเฉียนก็สามารถซื้อทรัพย์สมบัติทั้งหมดของครอบครัวพวกเขาได้ ยังไม่ต้องพูดถึงแผ่นหยกลายเมฆที่ห้อยอยู่ตรงเอว บุตรชายคนโตที่เป็นช่างหยกประเมินราคาไว้ต่ำสุดก็ต้องสี่สิบก้วน
คนดูแลบ้านที่มีท่าทางไม่ธรรมดาคนนี้ถึงขนาดทำความเคารพซีถงที่ราวกับขอทาน ทั้งยังดูไม่ออกถึงความไม่จริงใจแม้แต่นิดเป็นการเชื้อเชิญแขกผู้มีเกียรติอย่างเต็มที่ ทั้งรถม้าที่อยู่เบื้องหลังและทหารคุ้มกันแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็นบ้านตระกูลสูงส่งเชิญไปเป็นแขกผู้มีเกียรติ
“ไม่ได้เจอกันสองปี โหวเหยียบ้านเจ้าสบายดีนะ” ซีถงถามอย่างยิ้มแย้ม
“รบกวนท่านถาม โหวเหยียสุขภาพแข็งแรงมาโดยตลอด ในบ้านใกล้จะเพิ่มนายน้อยคนใหม่ขึ้นมา ทุกคนต่างสุขภาพดีเยี่ยม ได้ยินว่ามีเพื่อนเก่ากลับมาจากทิศเหนือสุดจึงยินดียิ่งนัก กำลังปัดกวาดเช็ดถูอาคาร เปิดประตูใหญ่ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ”
“คนป่าคนดอยไม่สมกับการต้อนรับใหญ่โต พวกพิธีการจอมปลอมก็ช่างเถอะเห็นแล้วน่ากลัว ได้ยินว่าสุราบ้านเจ้าไม่เลวอาหารก็อร่อย บอกเขาเตรียมไว้มากหน่อยข้าอดอยากมานานจะได้บำรุงสักหน่อย” พูดถึงนี่แล้วซีถงยิ้มเห็นฟันขาว ยิ้มด้วยความสดชื่นยิ่งนัก
“ดีที่แขกท่านรู้จัก สุราตระกูลอวิ่นนับได้ว่าสุดยอดในฉางอัน นายท่านเมื่อวานนี้ขุดหาในสวนทั้งวันจนพบสุราที่เคยฝังไว้เมื่อหลายปีก่อน คิดว่าต้องยอดเยี่ยมแน่นอน แขกท่านเป็นยอดคนที่หาได้ยากในแผ่นดิน คงได้ร่วมเมากับนายท่าน”
“ไม่คุยกับเจ้ามากนักแล้ว ร่างกายข้าเหนื่อยเพลียอย่างมาก ทิ้งเงินไว้บ้างแล้วก็ไปเถอะ บอกนายของเจ้าด้วยว่า ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นข้าจะไปถึงบ้านเขาแน่นอน” เหล่าเฉียนคำนับตามพิธีการ ทิ้งกล่องไม้จันทน์เล็กไว้กล่องหนึ่งแล้วลาจากไป
ซีถงมองยังไม่มองกล่องไม้จันทน์นั้น บอกหญิงชราว่า “ซ้อใหญ่ ในนั้นมีเงินอยู่บ้าง ท่านเก็บไว้ดูแลตัวเอง บุตรชายสองคนของท่านหวังพึ่งยาก มีเงินอยู่บ้างจะได้ไม่อดตาย”
คำพูดนี้ทำให้สองพี่น้องอายจนใบหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาที่ร้อนรนจ้องดูกล่องไม้จันทน์ตาไม่กระพริบ หญิงชราถอดใจพูดกับซีถงว่า “ท่านอาพูดเล่นแล้ว ตั้งแต่สามีจากไปเหลือเพียงข้ารับความทุกข์ยาก เงินส่วนนี้ให้พวกเขาไปเถอะ ถือว่าเป็นของขวัญจากท่านอาคนนี้ พรุ่งนี้ท่านอาออกเดินทางข้าจะไม่ส่งแล้ว”
ทั้งคู่ต่างไม่สนใจสองพี่น้องที่ละโมบ ต่างคนต่างกลับห้องตัวเอง ซีถงเดิมคิดเห็นแก่หญิงชราจะเหลือความสัมพันธ์ก่อนเก่าอยู่บ้าง แต่พฤติกรรมของสองบุตรชายทำให้หญิงชราตัดขาดความคิดนี้โดยเด็ดขาด ใช้เงินกล่องนี้จบความสัมพันธ์ที่มีกับซีถง
ถือโอกาสที่ประตูเมืองยังไม่ปิด ซีถงแบกถุงย่ามของตัวเองถือดาบเดินไปเขาอวี้ซัน เขาไม่คิดจะอาศัยแรงช่วยจากคนอื่น ในเมื่อตัวเองสามารถคลานขึ้นมาจากขุมนรกนั้นด้วยตัวเองได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยอมรับความสงสารจากใคร
เห็นชัดเจนว่าบาดแผลเก่าที่ขายังไม่หายดี เดินหน้าแต่ละก้าวจะมีอาการชะงักนิดๆที่สังเกตได้ยากทุกครั้ง แต่ความมุ่งมั่นไปข้างหน้าคงมีอยู่อย่างแรงกล้า เขาอาศัยความมุ่งมั่นนี้จากแผ่นดินน้ำแข็งที่อยู่เหนือสุดกลับมาจงหยวนที่จากไปนานแล้ว ขอเพียงให้ถุงย่ามนี้แก่อวิ๋นเยี่ยแล้วตัวเองก็หมดภาระตามสัญญาทั้งหมด ไม่มีอะไรต้องห่วงใยอีก จะอิสรเสรีเช้าดื่มน้ำจากแม่น้ำตงเหอเย็นหลับนอนได้ที่เขาซีซัน ขอเพียงแค่พอใจจะเป็นลูกจ้างยายป้าที่ไหนตลอดชีวิตก็ได้
เขาเดินได้สักพักก็ต้องหยุดสักพัก ถึงแม้จะมีเกวียนไม่น้อยหวังส่งเขาสักระยะหนึ่งแต่เขาก็ยิ้มปฏิเสธไป ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยรอต้อนรับเขาด้วยพิธีการใหญ่ ตัวเองก็ไม่สามารถทำให้พิธีการใหญ่เช่นนี้ต้องแปดเปื้อนแม้เพียงนิดเดียว
โก่วจื่อเชิญเขากินหมั่นโถวข้าวบาร์เลย์ลูกใหญ่และเหล่าปิงเชิญเขาดื่มสุราชามหนึ่ง ถึงแม้เป็นเวลากลางดึกเขาก็ไม่ได้รั้งรอ หัวเราะร่วนบอกเหล่าปิงว่า “ข้าบอกแล้วว่าจะต้องไปถึงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ให้อวิ๋นเยี่ยเตรียมสุราอาหารอย่างดี ข้าจะต้องกินให้ได้ทั้งหมด”
ในโลกนี้มีเพียงอวิ๋นเยี่ยรู้ว่าตัวเองกับพวกที่ตายทั้งสองร้อยกว่าคนไปทำอะไรกันแน่ ตายไปอย่างเงียบเชียบเทียบไม่ได้กระทั่งสุนัขข้างถนน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ซีถงต้องการ ถ้าหากทุกคนรู้แต่แรกว่าเพื่อไป๋อวี้จิงที่แสนลี้ลับ เช่นนั้นสุดท้ายแล้วคือมีชีวิตเพื่อให้มีชีวิตต่อเท่านั้น
ถ้าหากไม่ให้พวกเขาเทียบไม่ได้แม้กระทั่งสุนัขข้างถนน ก็จะต้องให้อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าตัวเองทำอะไรไป อีกทั้งตัวเองยังนำหลักฐานที่ชัดแจ้งกลับมาด้วยนั่นคือหนังหมีขาวที่สมบูรณ์แบบห้าผืน
มองดวงอาทิตย์ที่โผล่มาแล้วครึ่งดวง ด่าไปคำหนึ่งเพราะสายไปนิดหนึ่ง ประตูใหญ่บ้านตระกูลอวิ๋นเปิดกว้างเต็มที่ ตลาดหน้าบ้านว่างเปล่าไม่มีแม้แต่คนเดียว ร้านค้าก็ยังไม่เปิดประตู เหตุผลเพราะบ้านอวิ๋นวันนี้มีแขกสำคัญมาเยือน ดังนั้นร้านค้าต้องเปิดช้าไปหนึ่งชั่วยาม
ข้างหลังประตูบ้านเต็มไปด้วยคน ร่องประตูมีแต่ลูกตาคนที่อยากรู้อยากเห็น เดิมคิดว่าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติอะไรที่ไหน ที่แท้เป็นชายร่างผอมจนเหลือหนังหุ้มกระดูก ดูอาการเดินโซซัดโซเซแม้แต่ลมยังพัดให้เขาล้มลงไปได้
พ่อค้าที่มีประสบการณ์ดูออกว่าคนนี้จะต้องเดินทางไกลมากๆ รองเท้าบู๊ทหนังม้าที่เคยประณีตแต่ก่อน ว่ากันว่าใส่ห้าปีเดินทางไกลพันลี้ยังไม่เสียหาย เวลานี้พังยับเยินจนเหลือเพียงตราตระกูลหม่าติดอยู่ด้านบนราวกับเป็นเรื่องตลก เถ้าแก่ร้านตระกูลหม่าที่ตลาดอยากพุ่งขึ้นไปเอาบู๊ทคู่ใหม่ที่ดีๆมาแลกบู๊ทคู่ที่พังยับเยินนั้น ท่านคนนี้เดินทางไกลสักแค่ไหนนะ ตราที่ติดนี้เพิ่งเรียนรู้มาจากตระกูลอวิ๋นเมื่อสองปีก่อนนี้เอง การใส่บู๊ทคู่นี้เหมือนตั้งใจจะมาตบหน้าตระกูลหม่าชัดๆ
เหล่าเฉียนเปลี่ยนชุดหรูหราออก เวลานี้ใส่ชุดเขียวหมวกเล็กยืนรออยู่ที่หน้าประตู ซีถงรู้สึกผิดเล็กน้อยบอกเหล่าเฉียนว่า “ข้ามาช้าไปหน่อยแล้ว ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว”
“พอดีๆ ดวงอาทิตย์วันนี้ขึ้นเร็วไปนิด อาจเป็นเพราะนายท่านเร่งให้เร็วขึ้น” คำตอบของเหล่าเฉียนมีอารมณ์ขัน
ซีถงฟังแล้วหัวเราะฮ่าๆพูดว่าไม่เสียแรงเป็นผู้ดูแลบ้านผู้ยิ่งใหญ่ ใช้คำพูดที่ทำให้คนฟังแล้วสบายใจ แล้วก็ไม่ได้เกรงใจใช้เท้าที่เปรอะเปื้อนเลอะเทอะเหยียบขึ้นไปบนพรมแดง เหล่าเฉียนเดินเป็นเพื่อนอยู่นอกพรมแดง ถือโอกาสบอกเขาว่านอกจากนายท่านแล้วยังมีแขกอีกคนมีเกียรติสูงส่งไม่ควรละเมิด แต่คำพูดของเขาเสียเปล่า ซีถงกำลังตกอยู่ในภวังค์เกียรติยศจนไม่ได้รับรู้คำเตือนเลยแม้แต่นิด
พรมแดงสิ้นสุดในบริเวณที่ร่มรื่น มีเสื่อผืนใหญ่บนนั้นปูพรมขาวทับไว้ มีโต๊ะสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่นักตั้งอยู่บนนั้น อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ที่ประธาน ที่แขกด้านข้างเป็นชายหนุ่มผอมบางแววตามีแต่ความอยากรู้อยากเห็นสิ่งแปลกประหลาด
พอเห็นซีถงมาถึง อวิ๋นเยี่ยที่ใส่ชุดลินินเขียวผมสยายอยู่กลางแผ่นหลังถอนหายใจแล้วพูดว่า “สภาพแวดล้อมที่โหดร้ายสยดสยองเช่นนั้นยังไม่สามารถรั้งท่านไว้ที่นั่นได้ ชะตาท่านช่างแข็งจนน่ากลัว ต่อไปจะต้องอยู่ด้วยกันกับท่านน้อยหน่อย ไม่เช่นนั้นเวลาฟ้าผ่าลงมาจะโดนแค่ข้าไม่โดนท่าน ไม่คุ้มแน่ๆ” แล้วหันไปบอกหลี่ไท่ว่า “เสี่ยวไท่ นี่เป็นคำอธิบายของคำว่าผู้มีปัญญาย่อมไม่ยืนอยู่ริมกำแพงที่หมิ่นเหม่จะล้ม ในโลกนี้มักมีตัวประหลาดที่ชะตาแข็งเหมือนแมลงสาบอยู่ด้วย ขอเตือนท่านไว้ว่าให้อยู่ห่างพวกเขาไกลๆหน่อย”
“ของที่ท่านต้องการ ข้านำมาให้แล้ว” ราวกับไม่ได้ยินคำวิจารณ์เหน็บแนมของอวิ๋นเยี่ย ซีถงโยนห่อผ้าไว้ที่พื้นอย่างโล่งอกแล้วก็นั่งตรงที่นั่งแขกสำคัญอย่างสบายใจเฉิบ ยิ้มแยกเขี้ยวให้หลี่ไท่ถือว่าเป็นการทักทาย
ใบหน้าดำเมื่อมมีแต่รอยแผลเป็นทั้งฟันก็หายไปสองซี่ การยิ้มเช่นนี้ทำให้หลี่ไท่แข็งเกร็งไปทั้งตัว นึกอยากยิ้มด้วยแต่ก็หวาดหวั่น ความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่าตื่นเต้นนัก มนุษย์ประหลาด ถ้าไม่แปลกแยกกว่าคนอื่นจะเรียกว่ามนุษย์ประหลาดได้หรือ
เพิ่งนั่งเรียบร้อย สาวใช้ที่แต่งเต็มยศก็ถืออ่างน้ำอุ่นให้ซีถงเช็ดหน้าล้างมือ รอจนพวกนางจัดการเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงดึงเศษกระดาษม้วนในรูจมูกสองข้างออกมา แล้วหายใจยาวมาก
“โรคบ้าความสะอาดของท่านเดี๋ยวนี้ยิ่งทำให้น่ารำคาญมาก ถึงแม้เสื้อผ้าข้าจะปุปะไปหน่อยแต่ก็ไม่ส่งกลิ่นเหม็นโฉ่” อาการรักสะอาดของอวิ๋นเยี่ยตั้งแต่เห็นซุนซือเหมี่ยวเพาะเลี้ยงเชื้อเห็ดราแล้วยิ่งเป็นหนักขึ้น หากไม่ล้างมือวันละเจ็ดแปดรอบแล้วก็จะรู้สึกไม่สุขสบาย
ไหกระเบื้องเขียวเล็กๆใบหนึ่งถูกอวิ๋นเยี่ยโยนมา “ชิมดู ของดีเลย เจ้าโชคดีมาก ข้าค้นหาสุราที่เก่าเก็บมานาน เมื่อวานค้นหาเจอแล้ว ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่ไหเล็กนี้เท่านั้น”
ซีถงแกะกระดาษไขที่ปิดปากไหออก กลิ่นหอมรุนแรงพุ่งออกมาทันทีจนลูกกระเดือกขึ้นๆลงๆ แหงนคอแล้วเทลงไปครึ่งไห กลั้นหายใจไว้นานมากจึงพ่นลมหายใจออกมา รู้สึกว่าทุกรูขุมขนทั้งร่างกายต่างอ้าปากเรียกร้อง
น่องไก่สีแดงม่วงข้างหน้าเคี้ยวทีเดียวหมด ซีถงเอามือมันย่องเช็ดผ้าลินินแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อาจารย์เถียนตายแล้ว ข้านำศพเขาไปถึงแนวป่าจึงได้เผาไป สภาพการณ์เวลานั้นราวกับแผ่นดินปิศาจ ข้าเหนื่อยเกินไปหาไม้ได้ไม่มากก็เผาศพเลย คิดว่าไม่พอค่อยไปหาเพิ่มเพราะห่วงว่าจะมีสัตว์ป่ามากิน ใครจะรู้ว่าไม้แค่นิดเดียวนั้นเผาศพได้จนหมดเกลี้ยงราวกับศพไหม้ไฟเอง ถูกแล้ว ที่นี่ยังมีพระธาตุที่เหลืออยู่หลังเผาศพหมดแล้ว เขาไม่นับถือพุทธแต่ทำไมจึงมีของเช่นนี้ได้นะ”
พูดจบก็ควักกระเป๋าหยิบหินสีสันสดใสออกมาเจ็ดแปดอัน วางอยู่บนโต๊ะ แล้วหาของอร่อยบนโต๊ะกินต่อ
อวิ๋นเยี่ยกับหลี่ไท่ต่างถูกหินสีเหล่านี้ดึงดูดความสนใจกันหมด เคยแต่ได้ยินเรื่องของพวกนี้แต่ไม่เคยเห็น คนรุ่นหลังส่วนใหญ่เชื่อว่าพวกพระธาตุเป็นของปลอม เวลานี้มันถูกวางอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริงทั้งยังมีถึงเจ็ดแปดอัน พระธาตุสีขาวเป็นกระดูก พระธาตุสีดำเป็นเส้นผม พระธาตุสีแดงเป็นกล้ามเนื้อ แล้วก้อนหินสีเขียวเป็นส่วนไหนกัน เถียนเซียงจื่อตายแล้วก็ยังไม่ยอมให้คนอยู่เฉย ยังคงมีตำนานที่แพร่หลายเกี่ยวกับเทพยดา เพียงดูท่าทางหลี่ไท่ที่ตื่นเต้นนักหนาก็รู้ว่าตำนานนี้จะต้องแพร่หลายในอีกไม่นานนี้
แต่ก่อนได้ยินว่าเวลาเผาศพให้ใช้ไฟอ่อนค่อยๆเผา ขณะที่กระดูกถูกเผาจนเป็นขี้เถ้าแต่ยังคงรูปร่างอยู่ จะมีกระดูกส่วนที่ไม่เป็นขี้เถ้าก็คือส่วนกะโหลกในนั้นมีกระดูกรูปร่างคล้ายคนกำลังนั่งสมาธิ เป็นตัวแทนส่วนที่สุดยอด มีคนมากมายต่างหวังจะได้สิ่งนี้ขณะเผาศพเครือญาติตัวเอง ไม่เคยเห็นจึงไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด
สิ่งเดียวที่มั่นใจได้คือเมื่อสองปีก่อนอาจารย์ฟู่อี้เคยใช้เขาแกะหลิงหยางกระแทกหินจินกังสือที่พระสงฆ์จากนอกด่านบอกว่าเป็นพระทนต์ของพระพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าเขาแกะหลิงหยางจะกระแทกพระธาตุแตกได้ไหม