เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 14 โรคเฉพาะของคนฉลาด
“เจ้าไม่เก็บไว้เป็นที่ระลึกหรือ”
“ที่ระลึกกะผี คนตายแล้วก็เหมือนตะเกียงดับ ในเมื่อขึ้นสวรรค์ไม่ได้ก็สมควรรับทุกข์ต่อไปในโลกมนุษย์ ซากหนังนั้นจะใช้ทำประโยชน์อะไรได้ หากไม่ใช่เพราะเคารพอาจารย์เถียนแม้แต่ศพข้าก็ไม่ลากออกมา นี่เป็นหินไม่กี่ก้อนได้ยินว่าเป็นสิ่งมงคลมหาศาล ขอมอบเป็นของขวัญแต่งงานให้น้องสาวทั้งหลายของท่าน”
หลี่ไท่ร้อนรนจนถูมือไม่หยุด ใกล้ถึงวันเกิดเสด็จพ่อเขาแล้ว กำลังกลุ้มใจเรื่องของขวัญวันเกิด ของตรงหน้านี้เป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุด ทั้งมงคลทั้งคุณค่าสูงไม่ใช่ของที่จะหาได้ง่ายๆ ส่วนจะเป็นพระธาตุของพระสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์หรือของเถียนเซียงจื่อสำหรับเขาแล้วไม่ได้ต่างกัน
“หากชอบก็หยิบไปสักสองอัน ดูท่าทางท่านน่าขายหน้าจริงๆ” มองดูหลี่ไท่ที่กำลังอึกอักอยากได้แต่ไม่กล้าเอ่ยปากแล้วอวิ๋นเยี่ยจึงเอ่ยปากให้แทน ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเกิดการแย่งชิงกันจะยิ่งอับอายขายหน้ากว่านี้
หลังจากดื่มสุราอึกใหญ่ไปแล้วซีถงเช็ดปากแล้วพูดอีกว่า “ไม่รู้ว่าครั้งที่ท่านกับอาจารย์ท่านไปได้อย่างไร แผ่นดินปิศาจนั้นมีเวลากลางคืนทีเดียวครึ่งปีแค่มีสีขาวที่ขอบฟ้าบ้างเท่านั้นราวกับฟ้าใกล้สางตลอดเวลา พอลมพัดมาราวกับมีดกำลังกรีดเนื้อ ข้าได้ยินเสียงปิศาจร้องอู้ๆอ้าๆวนเวียนอยู่รอบตัวไม่ยอมหยุด”
หลี่ไท่ฟังจนน้ำลายหยดติ๋งๆ เด็กคนนี้ก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงให้เป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้จักก็จะเกิดความอยากรู้อยากเห็นทันที แม้นิสัยหยิ่งยโสแต่พอเจอยอดมนุษย์หมอนี่จะย่อมย่อตัวลงแน่นอน เอาตะเกียบกลางคีบอาหารให้ซีถงไม่หยุด สุราก็เติมให้จนเต็มตลอดเวลา ปรนนิบัติอย่างเต็มที่ ซีถงกลืนอาหารแล้วพูดต่อว่า
“บนฟ้าไม่มีหิมะตก แต่ลมพัดหิมะจากพื้นขึ้นไปอัดเข้ามาตามรูช่องเสื้อผ้า หากไม่ใช่เพราะท่านบอกพวกเราก่อนว่าไม่ให้เหลือช่องของเสื้อผ้า ทั้งรอยต่อทั้งหมดต้องมีสายรัดให้แน่นแล้วพวกที่ตายในหิมะจะต้องมีมากกว่าครึ่ง หนาวอย่างเดียวยังพอทนไหวสร้างบ้านหิมะสักหลังก็พอได้ พวกสิงโตทะเลที่ท่านว่าอยู่กันเต็มหาดแค่จับมาสักสองตัวเคี่ยวน้ำมันจุดไฟไม่เลวทีเดียว ตัวพรรค์นั้นมีแต่ไขมันเต็มตัวเสียอย่างเดียวเหม็นคาวมากกินไม่อร่อย”
ใบหน้าอวิ๋นเยี่ยอนาถสุดแสน ซีถงพูดอย่างสบายๆแต่ความจริงสภาพการณ์จะต้องย่ำแย่จนขีดสุด ตัวเองแค่อยู่ในทุ่งหญ้ายังหนาวจนทนไม่ไหวยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้วโลกที่หนาวจัดกว่าทุ่งหญ้าหลายเท่า หลี่ไท่ไม่ได้แตะอาหารตรงหน้าเลย สนใจยิ่งนักต่อเรื่องราวที่ซีถงเล่ามา
น่องไก่ในปากหมุนทีเดียวออกมาเหลือแต่กระดูกอันเดียว ใช้ตะเกียบชี้ปลาในจานแล้วพูดว่า “เมื่อก่อนท่านบอกว่าโลกนี้มีปลาคุนยักษ์ข้านึกว่าท่านขี้โม้ ขณะที่ผ่านทะเลเดือดเพราะพายุ ที่ผิวน้ำมีเสาน้ำพุ่งสูงขึ้นมานึกว่าเป็นสัตว์ประหลาดทะเลปั่นป่วนไปหมด รีบอาศัยแสงอาทิตย์ที่มีเพียงระยะสั้นๆมองไป โอ้โฮ เป็นปลายักษ์ที่ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ”
พูดแล้วชูแขนขึ้นทั้งสองแขนแต่รู้สึกว่ายังไม่ใหญ่โตตามที่เห็น จึงชี้หอเล็กของตระกูลอวิ๋นว่าใหญ่โตขนาดนั้น
“ปลาหนึ่งตัวใหญ่โตเท่ากับบ้านทั้งหลัง” หลี่ไท่รู้สึกว่าเชื่อถือไม่ได้ จึงตั้งคำถาม
“ไม่ใช่ ที่ใหญ่เท่าบ้านนั่นแค่หัวปลาเท่านั้น” ซีถงมองหลี่ไท่อย่างดูแคลน รู้สึกว่ามีความคิดแค่ระดับเด็กๆเท่านั้น
“ขอพูดอะไรที่ท่านอาจไม่ชอบใจ ทำไมข้ารู้สึกว่าท่านกำลังแต่งนิทาน” หลี่ไท่กล้าหาญมาก ถึงแม้หน้าตาท่าทางซีถงน่ากลัวมาก แต่ก็ยังถามคำถามที่คาใจออกมาอย่างไม่หวาดหวั่น
คาดว่าซีถงคงเคยคุยให้คนอื่นฟังแต่ไม่มีใครเชื่อ ก็ทำอะไรไม่ได้ เวลานี้มีพยานอยู่ย่อมคุยได้อย่างออกรสจึงชี้อวิ๋นเยี่ยว่า “ไม่เชื่อท่านถามเขาดู” หลี่ไท่หันหน้าที่แสนสงสัยไปยังอวิ๋นเยี่ย
“ซีถงพูดถูกแล้วนี่ยังไม่ใช่ปลาใหญ่ที่สุด นับประสาอะไรกับแค่หอนี้ ตามที่ข้ารู้มามีปลาวาฬยักษ์ที่ผลิตหลงเสียนเซียง เรียกว่าปลาวาฬสเปิร์มหมั่วเซียงจิง เพิ่งเกิดมาก็มีความยาวสองสามจั้ง โตเต็มที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง น้ำหนักน้อยสุดหนึ่งแสนชั่ง อีกชนิดหนึ่งเรียกปลาวาฬสีน้ำเงิน แค่ลิ้นเดียวก็หนักหกเจ็ดพันชั่ง ดังนั้นที่ซีถงว่าเห็นปลาตัวโตกว่าบ้านนั้นไม่นับว่าแปลกมากสักเท่าไรกัน”
หลี่ไท่ประสานมือขอโทษซีถงทั้งยังรินสุราให้เต็มถ้วย ซีถงดื่มอย่างหน้าชื่นตาบานจนหมดแล้วพูดอีกว่า “พวกเราอยู่นานมากแต่ก็ไม่ได้เห็นแสงเหนือที่ท่านว่า คนส่วนใหญ่ว่าท่านหลอกพวกเราจะกลับมาฉีกเนื้อท่านเป็นชิ้นๆ อาจารย์เถียนบอกว่าไม่จำเป็น ในเมื่อสิ่งที่ท่านพูดไว้เรื่องกลางคืนยาวไม่รู้จบกับเรื่องปลาวาฬยักษ์ต่างก็ปรากฏให้เห็นแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มีหมีขาวกับแสงเหนืออีก ให้ทุกคนอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น ใครจะรู้…”
พูดถึงนี่แล้วซีถงสะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก หลี่ไท่ควักผ้าเช็ดหน้าตัวเองให้อย่างไม่ลังเล หวังเพียงให้ซีถงระงับความโศกเศร้าแล้วเล่านิทานให้เขาฟังต่อ
สะอื้นไปหลายทีแล้วซีถงฝืนยิ้มว่า “เพิ่งกำลังสงสัย ใครจะรู้ว่าได้เจอหมีขาวในทันที ตัวขนาดพันสองพันชั่งกระโดดเข้ามากัดเลย เหล่าโจวยังไม่ทันได้สู้ก็โดนกัดตายคาที่ เหล่าเหลียงขึ้นชื่อลือชาเรื่องเอ็นทองแดงกระดูกเหล็กโดนมือตบทีเดียวหายไปเลย จนพวกเราช่วยกันฆ่าหมีได้สำเร็จค่อยไปหาเหล่าเหลียง หน้าท้องแนบติดกับหลังเครื่องในออกมาทางปากสยดสยองมาก ทีนี้ไม่มีใครบอกว่าจะคิดบัญชีกับท่านอีกแล้ว”
หลี่ไท่เคี้ยวถั่วจนมีเสียงดังกรอดๆ เรื่องเช่นนี้เหมาะกับรสนิยมเขามากที่สุด เหล่าเฉียนที่ยกอาหารมาก็ฟังจนหูผึ่งยืนอยู่ข้างๆไม่ยอมไป บอกว่าไม่มีคนคอยปรนนิบัติจะดูไม่ดี
หัวใจหมูแผ่นใหญ่เข้าปากอีก ซีถงดื่มน้ำชาแล้วยังรู้สึกกระหายน้ำจึงดื่มอีกอึกแล้วพูดต่อว่า “ครั้งที่ข้าแยกกับอวิ๋นโหวได้รับปากอวิ๋นโหวว่าจะหาหนังที่นั่นให้สักหลายชิ้น ยังดีที่ว่าตอนหลังข้าพบวิธีฆ่าหมีได้ง่ายหน่อยจึงไม่ต้องบาดเจ็บล้มตายกันมาก ในถุงผ้านั้นเป็นหนังหมีห้าผืน นำมาให้ท่านแล้วถือว่าได้หมดเรื่องที่ติดค้างในใจ”
หลี่ไท่ลุกขึ้นมาวิ่งไปที่ถุงผ้าแล้วเปิดถุงออกมา ให้เหล่าเฉียนช่วยกันคลี่หนังหมี โห หลี่ไท่อุทานเสียงดัง หนังหมียักษ์คลี่ออกมาปูได้ห้าเชียะ สามารถนึกภาพหมีตัวนี้ขณะเป็นๆนั้นได้ว่าใหญ่โตขนาดไหน หนักพันสองพันชั่งตามที่ซีถงว่าไม่ได้เกินเลยแม้แต่นิด
“ห้ามเปิดปากบอกว่าจะเอา ข้าจะให้ฝ่าบาทสองผืนเพื่อขอหนังสืออภัยโทษให้ซีถง เขาจะต้องมีชีวิตต่อไปไม่ต้องไปพเนจรที่ไหนอีก ดังนั้นหนังสือรับรองจึงสำคัญมาก ที่เหลือข้าจะเปิดประมูลขายในงานประมูลเพื่อรวบรวมเงินซื้ออุปกรณ์ใช้ในการทดลองต่างๆ ดังนั้น โปรดปิดปาก”
ได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้แล้วหลี่ไท่บ่นพึมพำ “ข้าก็ออกหนังสือชนิดนี้ได้ ไม่ต้องอุตส่าห์ไปหาถึงเสด็จพ่อหรอก”
“พูดชุ่ยๆ หนังสือท่านจะเหมือนของฝ่าบาทได้อย่างไร นี่เกี่ยวข้องกับเรื่องตลอดชีวิตของซีถง จะต้องเป็นของฝ่าบาทจึงจะใช้ได้ เรื่องนี้ท่านจำไว้ห้ามเกี่ยวข้องด้วย ท่านไม่เข้าใจว่าเถียนเซียงจื่อเป็นตัวแทนอะไรหรือ”
เหล่าเฉียนเห็นดังนั้นแล้วรีบม้วนหนังหมีคืนทันที แบกถุงผ้าวิ่งไปด้านหลัง ไม่ได้ยินหรืออย่างไรว่านี่เป็นของขวัญให้โหวเหยีย ยังไม่รีบเก็บอีกเดี๋ยวอ๋องเหยียอยากได้ก็จะขาดไปผืนสองผืนเงินต้องขาดไปอีกตั้งเท่าไร อีกอย่างหนึ่ง ฮูหยินเล็กยังรอฟังข่าวอยู่ว่าเป็นแขกที่ไหนมา ทำให้ต้องเรียกให้นางลงจากเขา
ซีถงถามอวิ๋นเยี่ยอย่างครุ่นคิดว่า “อวิ๋นโหว ท่านว่าหนังหมีชนิดนี้ราคาแพงมากเลยหรือ”
“แน่นอนอยู่แล้ว หนังปกติสีขาวจะแพงที่สุด มีเสือขาวสักตัวสองตัวล้วนถือว่าเป็นมงคล จริงๆแล้วเป็นผลจากเสื่อมถอยของเม็ดสีเท่านั้น ทำให้ขาวแบบอมโรค แต่หนังหมีขาวที่เจ้านำมาขาวจนขึ้นเงา ทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์จากขั้วโลกเหนืออีกด้วย ผืนหนึ่งได้หลายพันก้วนไม่มีปัญหาเลย หากส่งไปประมูลเจอผู้ซื้อที่ต้องการใช้เป็นกรณีพิเศษ ขายได้ถึงหมื่นก้วนก็ไม่แปลก”
“อวิ๋นโหว ถ้าปีหน้าข้าส่งมาอีกสิบผืนฝากท่านขาย ไม่รู้ว่าจะแลกเสบียงอาหารกับของใช้ประจำวันได้มากมายไหม” ซีถงลืมตาโตมองอวิ๋นเยี่ยรอฟังคำตอบจากเขา
“หากเป็นภายในเขตแดนต้าถังจะไม่มีปัญหาใดๆ แต่ถ้าหากเป็นต่างเผ่าพันธุ์ เสบียงอาหารกับเครื่องเหล็กจะไม่อนุญาตให้ขนออกไปได้ ไม่ว่าเงินมากเท่าไรก็ไม่ได้” เรื่องเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยให้ความสำคัญมาก ทางกลับมาของซีถงอาจต้องผ่านแผ่นดินเกาลี่กับแผ่นดินของหมัวเจี๋ย ทั้งสองประเทศสองเผ่าพันธุ์นี้ล้วนเป็นพื้นที่ต้าถังต้องพิชิต อวิ๋นเยี่ยจะปล่อยให้เป็นภัยแฝงใดๆไม่ได้
“เป็นเส้นทางเหอเป่ยล้วนเป็นราษฎรต้าถัง หากเป็นคนเกาลี่หรือชนเผ่าป่าเถื่อนข้าคงตายแล้วตายอีกไปหลายรอบแล้ว” ซีถงดูราวกับขี้อายนิดๆ จะต้องเกี่ยวข้องกับใครสักคนแน่นอน
“หากเป็นราษฎรต้าถังเจ้าจะเอาเสบียงอาหารเท่าไรก็เอาไปเถอะ ตระกูลอวิ๋นกับตระกูลเฉิงมีกองคาราวานไปเหอเป่ยอยู่แล้วให้นำไปด้วยได้เลย รีบเล่าเรื่องต่อไปกำลังรอฟังอยู่แล้ว”
หลี่ไท่พยายามสะกดความผิดหวังที่ไม่ได้หนังหมี นั่งลงมาฟังนิทานซีถงต่อ
“อวิ๋นโหว โลกนี้มีแสงสีสันมากมายบนท้องฟ้าจริงๆ ราวกับคลื่นซัดมาจากขอบฟ้าวิ่งเข้ามา คล้ายดังถนนที่มีสีสัน พวกเราตามแสงสีเหล่านี้จากซ้ายไปขวาจากหน้าไปหลัง จนกระทั่งแสงสีหายหมด กลางวันถาวรมาถึงก็ยังไม่สามารถเข้าไปได้
คนมากมายตายไปเงียบๆระหว่างนี้ ขณะที่เหลือข้ากับอาจารย์เถียนเขาก็ยังไม่ยอมทอดทิ้ง สุดท้ายแล้วเขาหลับตาอย่างผิดหวังท่ามกลางทะเลที่สวยงาม กระทั่งตายเขาก็ยังซาบซึ้งใจท่าน อวิ๋นโหว ที่ท่านทำให้เขาห่างความฝันของตัวเองเพียงแค่ก้าวเดียว เขาเพียงแต่ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูกจึงทำให้ไป๋อวี้จิงปิดทางของเขาทั้งหมด
เขาสำนึกในความผิดทั้งหมดที่เขาทำก่อนที่แสงสีจะหายไป สาบานว่าชาติหน้าเขาจะไม่ฆ่าคนอีก ไม่ทำร้ายใครแม้เพียงคนเดียว จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ข้าเชื่อว่าชาติหน้าเขาจะต้องขึ้นไปในทางแสงสีนั้นได้”
ความจริงเถียนเซียงจื่อเสียสติไปก่อนหน้านี้แล้ว อวิ๋นเยี่ยรู้สึกได้ตั้งแต่เห็นเขาครั้งแรกว่าเขาเป็นคนบ้าที่มีสติปัญญา ปัญญาที่ยิ่งใหญ่ทำให้เขาล็อคความบ้าคลั่งทั้งหมดไว้ในส่วนลึกสุดของหัวใจ จนกระทั่งปัญญาไม่สามารถกดความไม่รู้ได้อีก สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเขาจะทำหรือสามารถทำเรื่องอะไรออกมาได้บ้าง การระเบิดนี้จะทำอันตรายต่อต้าถังถึงขั้นล่มจมได้
คนชนิดนี้หากไม่ให้เขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ห่างไกลจริงๆแล้วเขาจะไม่ยอมหยุดยั้งฝีเท้าที่บ้าคลั่งของตัวเอง โชคดีที่ไป๋อวี้จิงมีเงื่อนไขที่เหมาะสมทุกอย่างและขั้วโลกเหนือก็มีเงื่อนไขที่เหมาะสมทุกอย่าง ก็ให้เขาไปแย่งชิงกับสวรรค์เองเถอะ หากสามารถขึ้นสวรรค์ได้สำเร็จอวิ๋นเยี่ยจะจุดธูปอธิษฐานเพื่อเขา ถึงเวลานั้นแล้วเถียนเซียงจื่อจะเป็นความยุ่งยากของเง็กเซียนฮ่องเต้ ไม่ใช่ความยุ่งยากของตัวเองอีกต่อไป แต่ดูแล้วเขาทำไม่สำเร็จ
หลี่ไท่กัดนิ้วตัวเองด้วยความตกใจ ตื่นเต้นดีใจที่ตัวเองรู้ความลับที่ยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน ในชั่วขณะนี้เขาราวกับเห็นตัวเองยืนอยู่บนก้อนเมฆที่สูงที่สุดก้มมองแผ่นดิน ตัวเองคือเทพ เถียนเซียงจื่อล้มเหลวแล้วเพราะเขาโง่เกินไปที่มองเห็นความหวังแล้วแต่ไม่สามารถคืบหน้าต่อได้ เป็นการแสดงออกถึงความโง่และไร้ความสามารถที่สูงที่สุด ข้าหลี่ไท่หากไปถึงจุดนั้นแล้วจะไม่มีทางที่จะล้มเหลวอย่างเด็ดขาด
อวิ๋นเยี่ยมองหลี่ไท่อย่างใช้ความคิด คนฉลาดมักจะมีโรคชนิดเดียวกันก็คือดูถูกผู้อื่นโดยมักจะคิดว่าตัวเองจะต้องสำเร็จ เถียนเซียงจื่อไม่ใช่มีความคิดเช่นนี้จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายที่แผ่นดินรกร้างหรอกหรือ