เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 19 ฟันที่แหลมคม
ไม่ควรป้อนอาหารให้กับสุนัขล่าสัตว์ ไม่งั้นมันจะล่าเหยื่อเป็นได้อย่างไร นกเหยี่ยวป่าก็ควรต้องผูกเชือกไว้ที่ลำคอเพื่อไม่ให้มันกลืนกินปลาตัวใหญ่เข้าไป หลี่ซื่อหมินพยายามทำตัวเป็นนายพรานและชาวประมง แต่กลับไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก ตระกูลที่มีอำนาจก็ยังคงเจริญรุ่งเรือง ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก กำจัดไปได้แล้วคนหนึ่งก็มีอีกคนหนึ่งมาแทนที่ ราวกับเนื้องอกร้ายบนร่างกายที่ไม่สามารถตัดทิ้งได้ทั้งหมด โดยหากตัดทิ้งทั้งหมดอาจถึงตายก็เป็นได้ ตัดทิ้งไปได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เพื่อไม่ปล่อยให้มันเติบโตจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต
ชาวบ้านล้วนแต่ขายผ้าเอาหน้ารอดให้ผ่านไปวันๆ ใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนอะไร อวิ๋นเยี่ยกับหลี่ซื่อหมินเคยถกกันอย่างล้ำลึกครั้งหนึ่งในพระราชวัง ครั้งนี้ ในที่สุดหลี่ซื่อหมินก็แสดงความโลภออกมาให้อวิ๋นเยี่ยได้ประจักษ์ ทั้งที่มีผ้าขนสัตว์แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องทำสงครามกับชนเผ่าฉ่าวหยวนอีกต่อไป ทว่าทุ่งหญ้าที่ไร้พรมแดนหมายถึงความมั่งคั่งอันไม่มีที่สิ้นสุด เป้าหมายต่อไปจึงเป็นชนเผ่าเซวียเหยียนถัวและชาวถู่อวี้หุน แค่มองเห็นผลประโยชน์ ฝ่าบาทก็พร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้น เพียงแต่ว่าในตอนนี้บ้านเมืองยังคงได้รับความเสียหายอย่างมาก และการทำสงครามก็คือการต่อสู้ปลุกระดมความกล้าหาญ ซึ่งถ้าหากปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน พวกทหารก็คงจะอยู่กันสบายเกินไป เมื่อให้ยกดาบขึ้นสู้รบอีกครั้งก็จะเป็นการยาก
ยิ่งไปกว่านั้น เกาจู้ลี่ที่อยู่ทางตะวันออกก็คอยจ้องมองมาอย่างมุ่งร้าย แคว้นที่รบชนะอย่างแคว้นสุยก็เกิดโลภเพิ่มขึ้นมาอีกทันที พวกเขาเริ่มขยายอาณาเขตไปทางทิศตะวันตกตามแผนการที่วางไว้ และอาจจะมีสงครามเกิดขึ้นในไม่ช้า
ผู้นำของฝ่ายเริ่มคือหลี่ซื่อหมินมาโดยตลอด ขอแค่เจ้าไม่เป็นมิตรกับข้า เจ้าก็คือศัตรูของข้า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม หลี่ซื่อหมินก็พร้อมที่จะแทงเข้ามาจากทางด้านหลัง แทนที่จะพูดว่าเรื่องนี้เป็นการหาเงินให้ตัวเอง ไม่สู้พูดว่าเป็นการเก็บเงินให้กับพวกทหารเห็นจะเหมาะกว่า
เมื่อศิษย์ในสำนักศึกษานั่งนับจำนวนเศรษฐีในเมืองฉางอัน ศิษย์ที่สนใจได้ทำสถิติขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง พวกขุนนางและผู้มีอำนาจที่อยู่ใกล้บริเวณเมืองฉางอันเป็นผู้ครอบครองพื้นที่สามส่วนของทั้งหมด ส่วนบรรดาราชวงศ์ก็ครอบครองพื้นที่ห้าส่วนของทั้งหมดเช่นกัน ในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดนี้ ประชากรนับล้านคนครอบครองพื้นที่เพียงสองส่วนเท่านั้นเอง
นี่คือรายงานของหม่าโจว หากเรื่องราวไม่ถูกเปิดเผย ทุกคนล้วนไม่มีทางรู้ว่ามันร้ายแรงถึงเพียงไหน ทว่าพอมีข้อมูลตัวเลขที่แท้จริงออกมา คำพูดที่สวยงามเพียงใดก็ไม่สามารถปกปิดความจริงที่โหดร้ายนี้ได้ คนมีความสามารถล้วนต้องถูกมองเห็น ถึงแม้ว่ารอบนี้จะไม่ได้รับการแนะนำ แต่หม่าโจวก็ยังคงเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดจากเหล่าศิษย์ทั้งหมดในสำนักศึกษา
เมื่อหนังสือเรื่อง ‘การกระจายที่ดิน’ ตีพิมพ์ออกมา มันได้แยกหม่าโจวออกจากพวกขุนนางชั้นสูงในราชวงศ์ทันที อวิ๋นเยี่ยได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงที่ต้องเรียกว่ามีหยดเลือดและน้ำตาไปทั่วทุกหนแห่ง และไม่ได้มีเพียงข้อมูลในอดีตของราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังมีสถานการณ์ปัจจุบันของแผ่นดินฉางอันอีกด้วย เพราะได้บอกวิธีแก้ปัญหาไว้ว่าให้สลับเปลี่ยนกรรมสิทธิที่ดินของพวกเหล่าขุนนางไปเป็นที่ดินที่ไร้การพัฒนาแทน ที่ดินในกวนจงซึ่งเป็นผืนที่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนา เมื่อปรับเปลี่ยนแล้วเหล่าขุนนางก็จะต้องใช้ทรัพย์สินมาพัฒนาพื้นที่ห่างไกลยากจนข้นแค้นเหล่านั้นเอง ซึ่งคิดไม่ถึงเลยว่าพื้นที่ที่ไกลที่สุดจะเป็นเกาะไหหลำไปได้
อวิ๋นเยี่ยคิดว่าจะอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ถึงแม้เจ้าจะยกเกาะห่างไกลเช่นเกาะภูเก็ตให้กับข้า ก็ใช่ว่าข้าจะพาครอบครัวของข้าไปอยู่ที่เมืองสวรรค์นั่นไม่ได้ แต่ความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แม้แต่เพื่อนร่วมห้องของเขายังไม่เห็นด้วยที่เขาจะทำเช่นนี้
สำนักศึกษาถือเป็นสถานที่ที่เหมาะสม จึงมีการจำลองเป็นสมรภูมิให้กับพวกเขาภายในโรงอาหารเพื่อให้พวกเขาได้ถกเถียงประลองฝีปากกัน ให้พวกเขาได้รู้จักการประนีประนอม ยอมอ่อนข้อให้ซึ่งกันและกัน และบรรลุสัญญาในตอนท้ายที่สุด
ศิษย์ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ถกเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครกล้าที่จะไม่สนใจ และเมื่อบรรลุสัญญา สำนักศึกษาก็จะนำไปเสนอให้กับพระราชสำนัก ให้จักรพรรดิได้ทำการตัดสินใจ
เมื่อเดินผ่านโรงอาหารของสำนักศึกษา ก็เห็นคนนั่งอยู่ข้างในนั้นเต็มไปหมด บางคนก็ถกเถียงกันต่อเนื่องอย่างดุเดือด อวิ๋นเยี่ยไม่อยากจะฟังเนื้อหานัก หม่าโจวเป็นคนมีความสามารถในการเสนอปัญหา แต่ไม่มีความสามารถในการแก้ปัญหา เขาไปในทางอุดมคติมากเกินไป
จั่งซุนมีปฏิกิริยาต่อเรื่องเงินอย่างรวดเร็ว ตอนเที่ยงได้รับรายงานจากหลี่เฉิงเฉียน ตอนบ่ายก็มีกองทัพทหารเข้ามาล้อมที่บ้าน โชคดีที่ท่านย่าพาพวกเด็กๆ ไปที่เขาหยู้แล้ว ทั้งบ้านเหลืออยู่แค่อวิ๋นเยี่ยกับพวกป้าน้าอา ให้พวกเธอทรมานได้ตามอําเภอใจ
รุ่งเช้าของวันต่อมา รถม้าของจั่งซุนก็ได้มาถึงบ้านตระกูลอวิ๋น เธอตรงดิ่งเข้าไปที่ถ้ำโดยไม่พูดอะไรเลย สวนดอกไม้เต็มไปด้วยกองทัพทหาร ในถ้ำถูกตรวจค้นทุกซอกทุกมุม ทว่าตระกูลอวิ๋นก็ได้ย้ายการผลิตน้ำหอมออกไปจากถ้ำแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา
จั่งซุนมองไปยังสินค้าเครื่องแก้วที่สวยงามพวกนั้น เห็นได้ว่าขาของเธออ่อนแรงลง เธอไล่สาวใช้ข้างกายกับผู้ดูแลทั้งหมดออกไปแล้วปิดประตู เหลือเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยกับรัชทายาทอยู่
“เจ้าจะจัดการกับสิ่งของพวกนี้อย่างไร” จั่งซุนถามอวิ๋นเยี่ยด้วยท่าทีน่าเกรงขาม
อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วคว้าเครื่องแก้วรูปหงส์ขึ้นมาหนึ่งชิ้น ใช้แรงหักที่คอหงส์แก้ว เห็นสีหน้าเสียดายของจั่งซุน เขาขว้างเครื่องแก้วรูปหงส์ที่คอหักไปยังมุมกำแพงแล้วเอ่ยกับจั่งซุนว่า “ฮองเฮา สิ่งของพวกนี้ไม่ได้มีค่าอะไร เครื่องแก้วทั้งหมดในห้องนี้ล้วนเกิดจากการเผาทรายทั้งนั้น เครื่องแก้วของพวกโจรพวกนั้นก็เกิดจากการเผาทรายเช่นกัน ยังเผาไม่ดีเท่าของเราด้วยซ้ำไป แต่กลับเอาไปหลอกขายเสียได้ ที่น่าตลกคือกลับมีคนหลงกล”
พูดจบก็มองไปที่เครื่องประดับแก้วสีเขียวที่อยู่ตรงเอวของจั่งซุน ได้ยินมาว่าซื้อมันมาในราคาสูง
จั่งซุนดึงเครื่องประดับออกและพูดด้วยความโมโห “เจ้ารู้นานแล้วใช่ไหม เห็นข้าอับอายขายขี้หน้าก็ไม่พูดอะไร หัวเราะเยาะข้าทุกวัน?”
“ฮองเฮา ใครจะมามองเครื่องประดับของท่านตลอดเวลา กระหม่อมหมายถึง แก้วพวกนี้ไม่ใช่สิ่งมีค่าอะไร ที่กระหม่อมพูดเช่นนี้เพียงต้องการบอกท่านว่ากระหม่อมจะเอาเครื่องแก้วพวกนี้ไปหลอกขาย ผ่านไปสองปีก็ไร้คุณค่าแล้ว เหมือนเครื่องลายครามที่อยู่ในบ้าน กลายเป็นของใช้จำเป็นไป”
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าหลอกเอาเงินประชาชนของต้าถัง เจ้าเป็นนักต้มตุ๋นที่ใหญ่โตที่สุดในโลก คนที่ร่วมมือกับเจ้าล้วนแต่จะเป็นบาปกรรม พวกชาวนาทำนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเป็นปีๆ ไม่คู่ควรที่จะได้รับสิ่งที่เผาด้วยทรายเช่นนี้ เจ้าร่ำรวยอยู่แล้ว ปล่อยชาวนาพวกนั้นไปซะ”
เพียงแค่สถานการณ์ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของตนเอง จั่งซุนก็เปลี่ยนท่าทีหารือกับอวิ๋นเยี่ยทันที ใช้ท่าทีราวกับแม่ไก่ฟักไข่เพื่อป้องกันไม่ให้อวิ๋นเยี่ยทำร้ายชาวนาที่ไม่มีทางสู้พวกนั้น
“ฮองเฮา ท่านเห็นกระหม่อมเป็นคนเช่นไรกัน ถึงพวกชาวนาจะยากจนแต่ก็มีน้ำกับน้ำมัน เป้าหมายของกระหม่อมในครั้งนี้คือพวกพ่อค้า แม่ค้า และพวกตระกูลเศรษฐีต่างหาก พวกเขามีเงินมากเช่นนั้นแต่ก็ยังไม่ยอมควักออกมาใช้ คราวนี้กระหม่อมวางแผนที่จะจัดงานประมูลครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นมา”
จั่งซุนเห็นว่าอวิ๋นเยี่ยไม่คิดที่จะหลอกเอาเงินจากชาวบ้านก็หมดกังวลไปไม่น้อย พวกเศรษฐีกับพวกชาวหูพวกนั้น ล้วนแต่เป็นพวกที่จั่งซุนเกลียดชัง ขูดเลือดขูดเนื้อจากพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีอะไร
“และนี่ก็คือสิ่งที่เจ้าเดิมพันกับเว่ยเจิงเหรอ เจ้ามั่นใจว่าสามารถทำเงินได้สองล้านเหรียญใช่ไหม เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเมื่อเจ้าขายของพวกนี้ในราคาที่สูง ผ่านไปสองปีราคาตก เจ้าจะอยู่ในเมืองฉางอันได้อย่างไร หรือเจ้าคิดว่าหลังจากที่เจ้าได้เงินแล้วเจ้าก็จะกลับบ้านเกิดไม่สนใจเรื่องรอบตัว ตระกูลอวิ๋นของเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน”
ยอดเยี่ยมมากทีเดียว ในที่สุดจั่งซุนก็คิดแทนตระกูลอวิ๋นแล้ว ถ้าขายของออกไปในราคาสูง ตระกูลอวิ๋นจะถูกมองว่าเป็นตระกูลของนักต้มตุ๋นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ต่อไปก็คงไม่มีใครสนใจตระกูลเช่นนี้อีก และเมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส ทุกคนคงพร้อมที่จะเหยียบย่ำ
“เกรงว่าพวกขุนนางในพระราชวังคงทำให้เจ้าโกรธมากใช่ไหม เจ้ายิ่งเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยอยู่ ไม่ให้เจ้าแก้แค้นเจ้าก็คงจะไม่ยอม ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะเบามือหน่อย และคิดถึงอนาคตของเจ้าให้มากๆ อย่าทำลายทุกสิ่งที่เจ้าพยายามสร้างมันขึ้นมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ และสิ่งที่เจ้าทำไปเมื่อสองสามวันก่อน เจ้าอย่าได้ทำมันอีก”
“ฮองเฮาคงไม่ทราบว่ากระหม่อมพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียอยู่ตลอดเวลา กระหม่อมเลือกแต่สิ่งที่มีกำไร ไม่เลือกสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อนของกระหม่อมที่มาเมื่อสองสามวันก่อนทำให้กระหม่อมได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากเขา ท่านทราบหรือไม่ เขามีภรรยายี่สิบเอ็ดคนภายในคืนเดียว ล้วนเป็นคนที่หิวโหยในเหอเป่ย แต่เขากลับไม่ปฏิเสธ หัวเราะแล้วก็ยอมรับโดยดี เขาตัดสินใจที่จะเลี้ยงดูภรรยาทั้งยี่สิบเอ็ดคนและลูกอีกแปดคนด้วยตัวเอง เขาคิดว่ามันเป็นความสุขแบบหนึ่ง คนเช่นนี้ ท่านยังคิดว่าเขาปล่อยวางได้หรือไม่”
จั่งซุนถอนหายใจ แตะกำแพงเย็นเยียบ เธอตบกำแพงแล้วพูดว่า “คนดีกับคนเลวเป็นสิ่งตรงข้ามกัน อวิ๋นเยี่ย บางครั้งคนเราก็ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ การเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยไม่ใช่เรื่องโชคดีมากนัก แต่กลับเป็นเรื่องโชคร้ายต่างหาก หัวหน้าครอบครัวอย่างเจ้าในฉางอันก็มีแค่คนเดียว มีคนบอกว่าเจ้าเป็นไอ้ขี้แพ้ ขี้แพ้หรือไม่ขี้แพ้พวกเขารู้ที่ไหนกัน มีคนบอกว่าเจ้าไม่เอาไหน ใครจะไปรู้ว่าที่จริงแล้วเจ้าก็มีความรอบคอบเหมือนกัน ดูบ้านหลังนี้ที่เต็มไปด้วยสมบัติหายากสิ แต่ที่แท้มันกลับเป็นเพียงเม็ดทราย เรื่องธรรมดากับปาฏิหาริย์ห่างกันเพียงแค่ก้าวเดียว”
หลังจากที่จั่งซุนได้เห็นเครื่องแก้วด้วยสายตาตนเอง เธอก็ถือกลับไปที่พระราชวังสองชิ้น ที่เหลือก็ปล่อยให้รัชทายาทหลี่เฉิงเฉียนเป็นคนจัดการ ฮ่องเต้คงได้เตรียมการเอาไว้แล้ว การจะกระจายเงินออกไปเมื่อไหร่และเตรียมที่จะหลอกเอาเงินใคร คงจะต้องมีแผนการที่รอบคอบ
ฟ้ามืดแล้วแต่อวิ๋นเยี่ยกลับยังไม่ง่วงนอน เขาเดินไปตามทางบนถนนจนถึงสำนักศึกษา ไม่ได้เจอท่านย่าและซินเย่วมาหลายวันแล้วล่ะ คิดถึงพวกเขามาก เดินผ่านหน้าประตูสำนักศึกษาก็ได้เห็นหม่าโจวนั่งดื่มเหล้าอยู่หน้าร้านของหวงสู่ตามลำพัง ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งแล้วยังอ่านออกเสียงฮึมฮัม ภรรยาและลูกสาวของหวงสู่กลับไปตั้งนานแล้ว ทิ้งให้หวงสู่นอนอยู่บนโต๊ะคนเดียว และเขาก็ไม่เคยไล่ลูกค้าออกนอกร้าน
ชายหนุ่มส่ายหน้า เดินหลบพวกนั้นออกมา ผ่านไปไม่นาน ก็เดินมาถึงบ้านตระกูลอวิ๋นจนได้ เมื่อยืนอยู่ข้างล่างแล้วมองไปในบ้านที่มีแสงไฟสว่าง เขานึกอยากเดินเข้าไป อยากสัมผัสความอบอุ่นนี้ เขาเริ่มลังเล
ได้ยินเสียงของอี้เหนียงที่กำลังจับเสี่ยวยาล้างเท้า และก็ได้ยินเสียงของรุ่นเหนียงที่กำลังบ่นต้ายา นอกจากนั้นยังได้ยินเสียงคนตีกันเป็นพักๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเสี่ยวซีกับเสี่ยวเป่ยกำลังทะเลาะกันอยู่ เงาของซินเย่วสะท้อนออกมาจากผ้าม่านสีขาว คงกำลังเย็บปักถักร้อย เมื่อนึกถึงฝีมือการเย็บปักของซินเย่ว อวิ๋นเยี่ยก็อยากที่จะหัวเราะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเย็บปักถักร้อยอะไรอีก แต่หวังว่าเมื่อลูกชายได้ใส่ในอนาคตแล้วจะไม่รู้สึกอายใครก็แล้วกัน
ซือซือทำตัวเหมือนแมว โผล่ขึ้นมาข้างหลังอวิ๋นเยี่ยอย่างเงียบๆ แล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ สองสามวันนี้ท่านอาจารย์เหนียงเอาแต่บ่นหาท่าน” อวิ๋นเยี่ยดึงหางเปียของซือซือและกระซิบบอกว่า “เดี๋ยวอาจารย์ยังจะต้องไปทำเรื่องใหญ่ ตอนนี้ยังไม่กล้าคิดอะไรฟุ้งซ่าน ซือซือเป็นเด็กดี ช่วยอาจารย์ดูแลพวกเขาด้วยนะ”
เมื่อตัดสินใจที่จะไม่ไปรบกวนชีวิตที่มีความสุขของพวกเขา งานที่หนักและสกปรก ผู้ชายก็ควรเป็นคนทำอยู่แล้วนี่ ขอแค่พวกเขามีความสุขก็พอ คิดแบบนี้แล้วก็ค่อยรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ลูบหัวซือซือเสร็จก็หันหลังเดินลงเขาไป ได้เห็นทุกอย่างที่ต้องการเห็นก็เพียงพอแล้วล่ะ เขาจะต้องลับเล็บให้คมในวันพรุ่งนี้เพื่อล่าเหยื่อให้ได้มากๆ จะได้เลี้ยงดูที่บ้านอย่างดี
มองออกไปในเมืองฉางอัน นึกถึงพวกเศรษฐีที่คงกำลังหลับใหลอยู่ในความฝัน อวิ๋นเยี่ยก็เปิดปากหัวเราะ มาดูกันว่าการกระจายข่าวนี้ออกไปจะสามารถกระตุ้นความโลภทางใจของคนพวกนี้ได้หรือไม่