เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 20 โรงละครต้าถัง
ฤดูใบไม้ร่วงมักจะเป็นฤดูที่ทำให้คนปลื้มใจ ผลลูกเดือยสีเขียวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง รวงข้าวที่หนักขึ้นต่างพากันก้มโค้งลง กองฟางสูงใหญ่มองจากไกลๆ ดูราวกับทะเลเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ใครล่ะจะไม่ชอบผลเก็บเกี่ยวที่ดี เมื่อวานนี้ฝ่าบาทยังทรงเสด็จไปเยี่ยมชมต้นข้าวที่กำลังเติบโตในพื้นที่เพาะปลูกนอกเมืองด้วยตัวเอง ทรงพูดคุยและหยอกล้อเล่นกับชาวนาอย่างมีความสุข ประเทศเจริญรุ่งเรือง โลกสงบสุข ต้าถังก็คงจะสงบสุขต่อไปอีกสองสามปี
มีความสุขก็ต้องมีความซวย มีคนประสบความสำเร็จก็ต้องมีคนพ่ายแพ้ อวิ๋นเยี่ยไอ้ขี้แพ้ที่คนในเมืองฉางอันต่างก็รู้จักกันดี เขาพร้อมที่จะเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่อาจารย์ของเขาหลงเหลือไว้ให้ออกไปขาย สองสามปีที่ผ่านมา ตระกูลอวิ๋นก็ขายทรัพย์สมบัติที่เหลืออยู่ของบรรพบุรุษใช้ชีวิตไปวันๆ พอถึงตอนนี้ แม้แต่สมบัติชิ้นสุดท้ายก็ไม่เว้น ถ้าวิญญาณอาจารย์ของเขายังมีชีวิตอยู่ใต้พื้นพิภพ เขาคงจะโมโหจนตายอีกครั้ง
ได้ยินมาว่าหนึ่งร้อยเหรียญ สมบัติชิ้นหนึ่งขายหนึ่งร้อยเหรียญ มันต่างอะไรกับการให้ไปฟรีๆ กัน ข่าวจากเขตเขาหยู้บอกว่า ท่านย่าของตระกูลอวิ๋นพาหลานสะใภ้ไปอยู่ที่เขาหยู้ได้สักพักแล้ว ก็เพราะว่าไม่อยากเห็นการกระทำของหลานชายขี้แพ้ เพื่อที่จะได้ไม่โมโหจนล้มป่วยไป เลยหนีไปอยู่ในที่ที่ลับหูลับตาให้รู้แล้วรู้รอด ตระกูลใหญ่ที่ได้ยินข่าวแบบนี้ก็ต่างพากันเตรียมเงิน พร้อมที่จะซื้อสมบัติกันคนละชิ้นสองชิ้น
มีการสร้างหมู่บ้านแห่งใหม่ขึ้นตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่กลับไม่ยอมเปิดขายบ้านสักที มีเหล่าขุนนางจำนวนมากมายเฝ้ารอที่จะซื้ออยู่ พอมีคนเข้าไปพูดจาถามไถ่ เขาก็บอกว่าบ้านพวกนี้จะขายหรือไม่ขายก็ยังไม่แน่นอน ถ้าเกิดขุนนางอวิ๋นบ้าคลั่งขึ้นมาก็อาจจะรื้อมันทิ้งอีกครั้งก็เป็นไปได้
หลังจากการประชุมครั้งใหญ่เสร็จสิ้นลง อวิ๋นเยี่ยยืนยิ้มอยู่ที่หน้าประตู ถือบัตรเชิญกองใหญ่ไว้ในมือ เห็นแค่ตัวหนังสือสีแดงที่เขียนด้วยผงทองคำบนบัตรเชิญ ความสง่างามของมังกรนั้นไม่ธรรมดาเลย และยังหรูหราเป็นที่สุด โดยทั่วไป ผงทองคำจะใช้ในการแปะพระพุทธรูป ใช้เขียนตัวหนังสือแบบนี้ก็พึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละ
“นี่ ท่านเสนาบดีขอรับ ข้ากำลังวางแผนที่จะจัดงานประมูลของที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางในคืนพรุ่งนี้ ท่านกับท่านป้าต้องมาด้วยนะ” อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างกับตุ๊กตาแล้วยื่นบัตรเชิญไปให้เขา
ฝางเสวียนหลิงหยิบบัตรเชิญอันบนสุดด้วยความแปลกใจ ถูกต้องแล้ว มันเป็นของเขาเอง มองไปอันที่อยู่ด้านล่าง พบว่าเป็นของเหล่าตู้ เขาก็เลยพูดกับตู้หรูฮุ่ยว่า “พี่ตู้ เจ้าก็อย่าคิดที่จะหนี นี่ยังมีบัตรเชิญของเจ้า แล้วดูเหมือนจะมีของคนอื่นๆ อีกด้วยนะ”
เป็นเรื่องยากที่จะหาบัตรเชิญจากอวิ๋นเยี่ย ขนาดตอนไอ้หมอนี่เลื่อนตำแหน่งยังไม่เชิญไปเลี้ยงเลย แล้วครั้งนี้จะยอมพลาดได้อย่างไรกัน ได้ยินมาว่าการประมูลครั้งนี้จะมีสมบัติหายากมากมาย พวกขุนนางทั้งหลายเลยพากันมาหาบัตรเชิญของตัวเอง
“ไอ๊หยา นี่ของพี่หลี่ นี่ของพี่หวัง ของพี่ซุนเมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย หายไปไหนอีกแล้ว…”
หลังจากผ่านช่วงชุลมุนวุ่นวาย อวิ๋นเยี่ยก็พูดกับขุนนางที่ได้รับบัตรเชิญว่า “ท่านผู้อาวุโสและเพื่อนๆ ทุกท่าน คืนพรุ่งนี้ข้าได้เตรียมผักผลไม้ไว้ที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางโดยเฉพาะ ขอเชิญชวนทุกท่านมาชมและรับฟังการร้องเพลงร่ายรำ ข้าจักขอบพระคุณเป็นที่สุด
นอกจากนั้นยังมีข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกท่านได้รับชมกันด้วย มีความสุขอยู่คนเดียวหรือจะสู้มีความสุดร่วมกัน มาร่วมสนุกด้วยกันดีไหมขอรับ”
พอมองดูพวกขุนนางตอบตกลงแล้วเดินจากไปทีละคน รอยยิ้มของอวิ๋นเยี่ยก็สดใสขึ้นกว่าเดิม เว่ยเจิงที่ยืนพิงเสาศึกษาเกี่ยวกับบัตรเชิญอยู่ เดินเข้ามาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าวางแผนจะโกงพวกเขาจริงๆ เหรอ”
“เก่ยซื่อจง[1]พูดอะไรกัน มีท่านอยู่ข้าจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านเป็นถึงเก่ยซื่อจง มีหน้าที่สืบสวนคนทรยศหักหลัง ใครจะกล้าล่ะขอรับ”
“ข้าไม่เชื่อว่ากระจกเคลือบสีจะราคาหนึ่งร้อยเหรียญ เจ้าหลอกใคร ถ้าเป็นกระจกจริงๆ ขายเป็นพันเหรียญก็ไม่ถือว่าแพง แล้วพระสารีบุตรนี่อีก เจ้าแน่ใจเหรอว่านี่คือพระสารีบุตรจริงๆ ไม่ใช่ก้อนหิน หนังหมีขาวที่เปลี่ยนสีได้? บนโลกมีของเช่นนี้ด้วยเหรอ ไม้จินสื่อหนาน[2]ก็คงไม่ต้องพูดถึง ข้ายังอยากจะซื้อไปทำโลงศพ แล้วข้าวกล้อง เจ้าไปเอามาจากที่ใดกัน น้ำหอมอีก มันไม่แปลกที่เจ้าจะมีอำพันทะเล[3]แต่เหตุใดขวดเล็กเช่นนี้เจ้าถึงได้ขายเป็นพันเหรียญ? มดตัวใหญ่คู่หนึ่งขายห้าสิบ น้ำล้างศพถังหนึ่งขายสามร้อยเหรียญ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
เว่ยเจิงถอดหมวกและเกาหัว เขาคิดไม่ตกนัก ของราคาเป็นพันเหรียญขายแค่ร้อยเหรียญ แต่ของที่ไม่มีราคากลับขายแพง นี่มันเหตุผลอะไรกัน
“คืนพรุ่งนี้ท่านก็รู้ แนะนำให้ท่านวางแผนซื้อบ้านให้กับพี่กุ้ยหยู้ของข้า บ้านที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางไม่ได้หาได้ง่ายๆ อย่าลืมพาท่านป้ากับพี่กุ้ยหยู้มาด้วยล่ะ ห้องของท่านอยู่ชั้นสอง” พูดเสร็จเขาก็ขยิบตาให้เว่ยเจิงแล้วเดินไปทางด้านหลังของพระราชวัง
บทสนทนาเรื่องเดียวกันถูกพูดขึ้นที่ห้องโถง บัตรเชิญที่หลี่ซื่อหมินเพิ่งได้มา ราวกับเป็นที่ระลึกว่าตั้งแต่ขึ้นเป็นฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินก็ไม่เคยได้รับบัตรเชิญให้ไปร่วมงานอะไรจากใคร โดยทั่วไปแล้วเขาจะเป็นคนชวนคนอื่น เขาถึงได้แปลกใจ พลิกดูกลับไปกลับมา
เห็นนกอินทรีแก้วสองตัวที่หยาบกระด้างวางอยู่บนโต๊ะของหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยรู้สึกอับอายขายขี้หน้า เลยพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาทเอาเจ้าสองตัวนี้ทิ้งไปเถอะขอรับ วางอยู่บนโต๊ะของฝ่าบาทเช่นนี้มันน่าอาย”
“ที่เราเอามันวางไว้ตรงนี้ไม่ใช่เพราะว่ามันมีค่า แต่เราเอาไว้คอยเตือนตัวเอง มูลสัตว์สามารถกลายเป็นอาหารชั้นเลิศได้ เม็ดหินดินทรายกลายเป็นมุกหยกได้ เหตุผลนี้ ก็เหมือนกันกับมนุษย์ มุกหยกก็สามารถกลายเป็นเม็ดหินดินทรายได้เช่นกัน สิ่งของพวกนี้ ล้วนเป็นไปตามเจตจำนงของมนุษย์ นี่ เจ้ารู้ไหมว่านานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้รับบัตรเชิญ ตั้งแต่เราขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ ก็มีแต่เราที่เชิญผู้อื่น ไหนลองพูดสิ เจ้าวางแผนจะให้เราไปดูอะไร”
หลี่ซื่อหมินดูเหมือนจะเสียใจ แต่เขาก็ขับไล่อารมณ์นั้นออกไปอย่างรวดเร็ว คนอย่างเขาไม่ต้องการอารมณ์ที่ไร้สาระพวกนี้
“ฝ่าบาท กระหม่อมได้จัดงานขึ้นที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง เพื่อใช้สำหรับรับชมการแสดงและร้องเพลงร่ายรำ ความรู้สึกแบบนั้นเป็นความรู้สึกที่ฝ่าบาทไม่อาจได้สัมผัสในราชวังได้ การร่ายรำของบทเพลงฉินอ๋องทำลายข้าศึกของที่นั่น จะต้องทำให้ฝ่าบาทประทับใจแน่นอน”
ตรอกซิ่งฮว่าฟางถูกสร้างขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน มีบ้านหลังใหญ่ลักษณะแปลกตาอยู่ที่ตรงใจกลาง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าบ้านหลังนั้นใช้ทำอะไร หลังจากที่เหอเซ่าได้หาช่างที่มีฝีมือมาตกแต่งเสร็จ ทุกคนต่างพากันสับสนเข้าไปใหญ่ ด้านในเต็มไปด้วยเก้าอี้ ด้านหลังยังมีแผ่นป้าย ชั้นสองมีห้องเล็กๆ หลายห้อง หนึ่งในห้องที่ดีที่สุดถูกตกแต่งอย่างงดงาม พรมปูพื้นที่นุ่มจนสามารถฝังไปถึงข้อเท้า มีการแขวนแท่งเหล็กสีทองแดงจำนวนมาก เพื่อใช้ในการปรับอากาศให้เย็นสบายในช่วงฤดูร้อน และยังสามารถเชื่อมกับเตาถ่านเพื่อให้ความร้อนในฤดูหนาวอีกด้วย นี่คือผลสำเร็จครั้งใหม่ของสำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยสาบานว่า เขาแค่เสนอความคิดไปแค่นั้น และไม่เคยถามไถ่อะไรอีก เมื่อมีรายงานเข้ามา เขาถึงได้รู้ว่า มันกำลังจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว
หลังคาทรงโดมและทางเดินถูกออกแบบเป็นผนังสะท้อนเสียง แค่คุณตะโกนอยู่บนบนเวที คนทั้งห้องจะได้ยินเสียงโดยทั่วกัน หลี่เค่อพานักดนตรีจากในพระราชวังมาเล่นที่นี่โดยเฉพาะ นักดนตรีทุกคนต่างมีความสุข นอกจากนี้ ยังมีไฟสปอร์ตไลท์ที่ผลิตจากแก้ว เพียงแค่จุดเทียนให้สว่างสักสองสามเล่ม ก็สามารถทำให้ทั้งเวทีสว่างเหมือนเวลากลางวัน
อวิ๋นเยี่ยยังออกแบบผ้าม่านมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะด้วย เขาหาจิตรกรมาวาดฉากหลังบนเวทีตั้งมากมาย วางแผนที่จะเปลี่ยนการแสดงหนังตะลุงให้กลายเป็นคนจริงแสดง การแสดงหนังตะลุงเป็นที่นิยมมากในตอนนี้ แต่เรื่องราวน่าเบื่อไปหน่อย ล้วนแต่เป็นเรื่องราวของลูกชายที่แสนจะกตัญญู หรือไม่ก็สาดน้ำหย่าร้างกับภรรยา ไม่มีอะไรใหม่ๆ เสียเลย
ด้วยเหตุนี้ อวิ๋นเยี่ยถึงต้องเสนอเรื่อง ‘ตำนานงูขาว’ ให้กับบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษา ว่ากันว่า บางคนถึงกับเคยหมกมุ่นอยู่กับละครเรื่องนี้ พวกเขาไม่สามารถแยกแยะเรื่องจริงกับละครได้ และยังมีบางคนขว้างก้อนหินขึ้นไปบนเวที โชคดีที่เขาไม่ได้มีฝีมือขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้
ยังเคยให้ซินเย่ว์ ต้ายา เสี่ยวยา ซือซือดูแล้วหนหนึ่ง ตอนที่เห็นพวกเขาพรากจากกัน ซินเย่ว์ ต้ายาก็พากันร้องไห้หนัก ซือซือกัดฟันไม่ให้น้ำตาไหลออกมา มีแต่อวิ๋นเยี่ยกับเสี่ยวยาสองคนที่เอาแต่หยอกล้อเล่นกันอย่างไม่รู้สึกอะไร ก็เหมือนกับที่เสี่ยวยาบอก ถ้าเขาเป็นงูขาวตัวนั้น เขาจะกินซู่เซียนคนนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะร้องไห้กันทำไม เขาได้รับคำชมจากอวิ๋นเยี่ย และได้รับสายตามองบนจากซินเย่ว์กับต้ายา
“มัวแต่คิดอะไร เจ้าได้ยินที่เราพูดไหม” ฝ่ามือตบลงที่ท้ายทอย ทำไห้อวิ๋นเยี่ยกลับมามีสติอีกครั้ง
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทว่าอะไรนะขอรับ เมื่อกี้กระหม่อมใจลอยไปหน่อย ฟังไม่ค่อยชัด” อวิ๋นเยี่ยมองหลี่ซื่อหมินด้วยความมึนงง เมื่อกี้ไม่ได้ฟังว่าหลี่ซื่อหมินพูดอะไรจริงๆ
ฝ่ามือของหลี่ซื่อหมินขยับเปลี่ยนท่าแล้วเปลี่ยนอีก ถึงทำให้เขากลับมาสงบลงได้อีกครั้ง กล้าใจลอยต่อหน้าฮ่องเต้ ทั่วทั้งต้าถังคงมีแค่เพียงเขาคนเดียว “เราบอกว่า เหตุใดถึงได้มีบัตรเชิญของฮองเฮา ขุนนางนอกอย่างเจ้า ให้บัตรเชิญฮองเฮา ไม่คิดว่ามันไร้มารยาทเหรอ”
ข้าเห็นภรรยาของท่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หูของข้าก็โดนฮองเฮาหยิกมาแล้วตั้งหลายครั้ง ตอนนี้พึ่งจะมานึกถึงเรื่องมารยาท ในใจคิดแบบนี้แต่ปากกลับพูดออกไปว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้เชิญแค่ฮองเฮาขอรับ ฝางฮูหยิน ตู้ฮูหยิน เว่ยฮูหยิน ป้าตระกูลเฉิง ป้าตะกูลหนิว ป้าตระกูลฉินกระหม่อมก็เชิญขอรับ ป้าอวี้ฉือถ้ากระหม่อมไม่เชิญ คงจะถูกตี กระหม่อมก็เลยเชิญมาด้วยขอรับ”
โรงละครเป็นของอวิ๋นเยี่ย แต่การจัดห้องกลับไม่ใช่หน้าที่ของอวิ๋นเยี่ย หลี่ซื่อหมินมองดูแผนผัง แล้วเขียนด้วยปากกาสีแดง ในที่สุดเขาก็ยินยอมเป็นหน้าเป็นตาให้อวิ๋นเยี่ย เอาห้องขนาดกลางที่อยู่ถัดจากห้องใหญ่ให้ตระกูลอวิ๋นห้องหนึ่ง
“ฝ่าบาท ห้องพวกนี้ต้องเก็บเงินด้วยนะขอรับ แล้วราคาก็ไม่ได้ถูกด้วยขอรับ” หลี่ซื่อหมินมักจะให้ความสนใจกับคนที่กล้าเก็บเงินกับตัวเอง เขาเงยหน้าไปมองอวิ๋นเยี่ย อยากจะดูว่าไอ้หมอนี่กล้าที่จะเก็บเงินเขาไหม
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะคิดราคาเหมาให้ฝ่าบาท ฝ่าบาทไปที่นั่นแค่ครั้งเดียว ฝ่าบาทก็จะหลงรักที่นั่น ต่อไปมีการเฉลิมฉลองอะไรอาจจะต้องย้ายไปแสดงที่นั่นก็เป็นได้ โรงละครแห่งนี้สร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงจากสำนักศึกษาของเรา ราคาก็ย่อมจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ทั้งค่าซ่อมบำรุงประจำปีและค่าธรรมเนียม กระหม่อมไม่กล้าเก็บจากฝ่าบาทมากเกินไป ปีละพันเหรียญได้ไหมขอรับ”
หลี่ซื่อหมินดูเหมือนจะได้ยินเสียงครวญครางในใจของตน ไอ้หมอนี่กล้าเก็บเงินเขาจำนวนมากถึงพันเหรียญ เงินเดือนเสนาบดียังไม่ได้เท่านี้ เขากัดฟันและพูดว่า “หากเราไม่ตกลงล่ะ”
“หากฝ่าบาทไม่ตกลง กระหม่อมก็จะไม่เก็บฝ่าบาทสักสตางค์เดียว” หลี่ซื่อหมินถึงได้โล่งอก เขาตัดสินใจว่าต่อไปจะไม่อยู่กับไอ้หมอนี่อีก เขาโยนบัตรเชิญของจั่งซุนไปให้อวิ๋นเยี่ยและพูดว่า “ของฮองเฮาเจ้าเอาไปให้เอง เราไม่สนใจ”
——
[1] เก่ยซื่อจง ขุนนางที่มีความใกล้ชิดกับจักรพรรดิ
[2] ไม้จินสื่อหนาน ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่เนื้อไม้มีลวดลายเหมือนดิ้นทอง นิยมนำมาทำโลงศพหรือเฟอร์นิเจอร์
[3] อำพันทะเล หรือ อ้วกวาฬ เป็นของหายาก ราคาแพง เกิดจากการสำรอก และขี้ของวาฬหัวทุย