เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 34 เซอร์ไพรส์ของน่ารื่อมู่
รองเท้าจะใส่สบายหรือไม่ มีเพียงเท้าเท่านั้นที่รู้ นอนด้วยกันมาหนึ่งคืน สถานการณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก ปล่อยให้มันเป็นตามธรรมชาติคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ฮ่วนเหนียงถอนหายใจที่เห็นน่ารื่อมู่กระโดดโลดเต้นแต่เช้า มีเจ้าสาวที่ไหนเป็นเช่นนี้ พอเช้าวันต่อมาแทนที่จะเดินขากะเผลก สีหน้าดูเหมือนคนป่วย ทำไมเด็กผู้หญิงที่สนิทยิ่งกว่าลูกตัวเองคนนี้ถึงได้ไม่รู้จักกาลเทศะเอาซะเลย ยังไปแข่งปีนต้นไม้กับเสี่ยวยาอีก
ท่านย่ายิ้มดั่งดอกไม้บาน ท่านป้า ท่านอาก็อยู่ข้างๆ ท่านย่าเอามือปิดปากแอบยิ้มด้วยเช่นกัน ซินเย่วหน้าแดง ถือผ้าเช็ดหน้าอยู่ในมือ ทำตัวไม่ถูก
เรื่องที่เมื่อคืนทั้งสามคนนอนด้วยกัน ผู้อาวุโสในบ้านต่างก็รู้แล้ว แล้วดูจากที่น่ารื่อมู่วิ่งไปวิ่งมาแต่เช้าเพื่อเยี่ยมชมบ้านตัวเอง ท่าทางจะยังไม่รู้ความคิดของซินเย่ว
ตอนนี้ท่านย่าไม่ยุ่งเรื่องอะไรทั้งนั้น เอาแต่รอที่จะได้อุ้มหลานอย่างดีใจ ทุกเช้าต้องมีนมหนึ่งถ้วย ไข่ไก่สองฟอง ไม่เคยขาด เพราะอยากจะอยู่ต่อไปอีกนานๆ ดูตระกูลอวิ๋นลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองก่อนถึงจะวางใจไปพบบรรพบุรุษ
อวิ๋นเยี่ยกำลังกินข้าวอยู่กับซือซือ ซือซือเป็นคนรู้ประสา กินข้าวเป็นเพื่อนอาจารย์ ไม่เหมือนพวกเสี่ยวยา บ้างก็เอาแต่นับเงิน บ้างก็เอาแต่ฝึกศิลปะการต่อสู้ แต่ทุกคนล้วนมีจิตใจดี อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าน้องสาวที่ตัวเองสอนนั้นแทบจะไม่เหมือนกับเด็กผู้หญิงบ้านอื่น สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง และมีศักดิ์ศรีในตัวเองด้วย
อี้เหนียงแต่งงาน ซินเย่วเป็นคนจัดเตรียมสินสอดทองหมั้น อวิ๋นเยี่ยก็เอามาเพิ่มให้อีกไม่น้อย ท่านย่า ท่านป้า ท่านอาก็นำส่วนของตัวเองมาเติมเต็มให้กับเด็กผู้หญิงที่ไม่มีแม่คนนี้
ตอนที่อวิ๋นเยี่ยอุ้มอี้เหนียงไปไว้บนรถม้า นางดึงเสื้อของอวิ๋นเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อย น้ำตาไหลจนเครื่องสำอางที่แต่งมาเริ่มเลอะ
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่สบายใจ อี้เหนียงเป็นคนจิตใจดี อ่อนโยน ตอนนี้ต้องมาแต่งงานกับคนหยิ่งยโสโอหังเช่นนี้ ชายผู้นี้เอาเปรียบกันมากเกินไปแล้ว
“อี้เหนียง ถ้าเขารังแกเจ้าให้รีบบอกข้า ข้าจะหักขาเขาให้”
ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะยอมหรือไม่ อี้เหนียงก็ต้องแต่งงานอยู่ดี ดูขบวนรับเจ้าสาวที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ค่อยๆ จากไป อวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งรู้สึกใจหาย
รุ่นเหนียงเริ่มเชื่อฟังมากขึ้น หลบอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน ตั้งใจเรียนกับอาจารย์เหวินฟู่ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันสามารถท่องบทความหนึ่งพันตัวอักษรได้แล้ว ดีมาก นี่คือแมวป่าที่ดูแลยากที่ตระกูลฉินส่งมา ทุกวันต้องมีคนคอยดูแล
น่ารื่อมู่ชอบสวนดอกไม้ในบ้าน เห็นดอกเบญจมาศก็มักจะเด็ดดอกใหญ่มาเสียบหัว แล้วเอาแต่ถามอวิ๋นเยี่ยว่าตัวเองสวยไหม
ต้นพลับเต็มไปด้วยลูกพลับสีแดง ต้องรอให้น้ำค้างแข็งเกาะถึงจะอร่อย แต่น่ารื่อมู่ไม่สนเรื่องพวกนี้ ตัวเองถือไม้สอยตีลูกพลับให้ตกลงมาแล้วให้คนรับใช้รอรับ คนรับใช้ผู้น่าสงสาร ถือกระโปรงคอยรอรับ หลบไม่ทันก็โดนลูกพลับตกใส่หัวจนเห็นลูกพลับลอยอยู่บนหัวเต็มไปหมด อยากจะร้องไห้ก็ไม่กล้าร้อง
อวิ๋นเยี่ยทนดูไม่ได้ หาไม้สอยมาแล้วเอาเหล็กบางมาทำเป็นโค้งๆ แล้วเย็บผ้าลงไปเป็นที่ใส่ลูกพลับ เพียงแค่เหล็กเกี่ยวเอาลูกพลับได้ ลูกพลับก็จะตกใส่ถุง แค่นี้ลูกพลับก็ไม่ช้ำแล้ว
ปัญหาเรื่องเก็บลูกพลับได้รับการแก้ไขไปแล้ว แต่มีปัญหาเรื่องกินลูกพลับมาแทนที่ เด็กหญิงผู้ใสซื่อกัดลูกพลับที่ยังไม่ได้ปลอกเปลือกเต็มปากเต็มคำ กว่าอวิ๋นเยี่ยจะรู้ ปากของน่ารื่อมู่ก็เต็มไปด้วยรสฝาดแล้ว ไม่รู้ว่าลูกพลับที่ฝาดขนาดนั้นนางกินไปได้อย่างไร
เห็นท่าทางนางอยากกินมาก อวิ๋นเยี่ยก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยทำขนมลูกพลับให้นางกิน
นำลูกพลับที่ปลอกเปลือกสับจนเละแล้วนำมาผสมกับแป้ง นวดจนเข้ากัน ใส่น้ำมันวัวลงไปนิดหน่อย สุดท้ายวางใส่ถาดนำเข้าเตาเผา โชคดีที่ทำสำเร็จ รสชาติหวาน กลิ่นหอมน่ากินทีเดียว
ความอดทนของอวิ๋นเยี่ยมีจำกัด ทำสำเร็จไปแล้วหนึ่งรอบ แต่เขาจะไม่ทำรอบที่สองแน่นอน แต่น่ามู่รื่อนำขนมลูกพลับไปแบ่งให้ท่านย่า ท่านป้า ท่านอา และฮ่วนเหนียง ตัวเองเหมือนลูกหมาวิ่งกลับมาให้อวิ๋นเยี่ยทำให้ใหม่
“เฮ้อ ได้ใหม่แล้วลืมเก่า ทำขนมกินก็ไม่แบ่งข้าสักคำ ดูแล้วลูกในท้องข้าคงจะไม่มีคนรักเสียแล้ว”
ถึงแม้ว่าซินเย่วกับน่ารื่อมู่จะมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เรื่องคำพูดกลับไม่มีใครยอมใคร ทนเห็นอวิ๋นเยี่ยอยู่กับน่ารื่อมู่สองคนแล้วปล่อยตัวเองทิ้งไว้ไม่ได้
ยังจะพูดอย่างไรได้อีก แต่ละวันเหมือนผ่านไปอย่างทรมาน นอนกับน่ารื้อมู่ก็ต้องคอยกันไม่ให้ซินเย่วเข้ามา
กว่าจะหาโอกาสอยู่กับน่ารื้อมู่สองคนได้ พอเสร็จพิธี ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ซินเย่วก็โวยวายจะเข้ามาดูเจ้าสาว เจ้าบ่าวก็เอาไม่อยู่ถูกผลักไปอยู่อีกข้าง เปิดผ้าห่มออกเห็นเจ้าสาวไม่ได้ใส่อะไรเลย น้ำเย็นที่เพิ่งตักขึ้นมาถูกสาดไปที่น่ารื่อมู่จนร้องกรี๊ดออกมา ซินเย่วตีที่บนตัวของเจ้าบ่าวจนพอใจ แล้วเดินออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างสบายใจ เหลือเพียงคู่บ่าวสาวนั่งห่มผ้าห่มมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
“อยากกินก็บอกดีๆ ไม่เห็นต้องพูดอะไรแบบนั้นเลย เดี๋ยวข้าทำให้ใหม่ก็ได้”
ผู้หญิงคนนี้นี่จริงๆ เลย อวิ๋นเยี่ยทำขนมลูกพลับอีกรอบ พอขนมออกจากเตาก็ถูกซินเย่วจองหมด ตัวเองเอาไปสามชิ้น ให้น่ารื่อมู่หนึ่งชิ้น ช่างแบ่งได้เท่ากันเสียจริง
ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพร้อมกับดึงภรรยาอีกสองคนเข้ามาในห้อง “พวกเราเป็นแบบนี้จะโดนคนในบ้านหัวเราะเข้าได้ เอาแบบนี้ไหม พวกเราไปเช่าเสี่ยวโหลวอยู่ข้างนอก ไม่ต้องพาใครไป ไปแค่เราสามคน คนรับใช้ก็ไม่ต้องเอาไป ใช้ชีวิตสบายๆ สักสองสามวัน”
ภรรยาอีกสองคนเห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่ไม่ไปเสี่ยวโหลว ไปฉางอันแทน ไปอาศัยที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง และต้องเอาคนรับใช้ไปด้วย ไม่เช่นนั้นจะโดนดูถูก ใครที่กล้ารับใช้ให้ตามไปด้วย
มองดูฮูหยินที่กำลังชี้มือชี้ไม้ออกคำสั่ง อวิ๋นเยี่ยจึงบอกกับน่ารื่อมู่ว่า “ท่าทางเจ้าไม่น่าเกรงขามเอาเสียเลย”
อะไรเรียนรู้ได้น่ารื่อมู่ก็เรียนหมด นางคิดว่าตัวเองควรเรียนให้เยอะกว่านี้ เรียนแบบอย่างซินเย่วทุกกระเบียดนิ้ว ตั้งแต่ทรงผมยันเสื้อผ้า อีกทั้งการเดิน การพูด ไม่มีอะไรที่ไม่เรียน แม้แต่ตอนที่ซินเย่วว่าคนเทน้ำชายังเรียนแบบจนเหมือน
ลมเหนือมาแล้ว ที่ฉ่าวหยวนหิมะเริ่มตก น่ารื่อมู่กลับไปไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้กะว่าจะให้น่ารื่อมู่กลับไปฉ่าวหยวน ฤดูหนาวที่ที่ฉ่าวหยวนเคยอยู่นั้นเหมือนกับโดนลงโทษ ตอนนี้ที่ฉ่าวหยวนมีคนตระกูลอวิ๋นคอยดูแลอยู่ น่ารื่อมู่ยังกลับไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร รอฤดูใบไม้ผลิมาถึงค่อยกลับไป เอาดอกไม้แห่งฉ่าวหยวนเก็บไว้ในห้องจะเฉาเอาได้
น่ารื่อมู่เอาแต่พูดว่า ‘ลูกแพะจะผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้หรือไม่’ อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านางคิดถึงฉ่าวหยวนแล้ว
“ถ้าคิดถึงฉ่าวหยวนแล้วก็ให้ร้องเพลง เจ้าไม่ใช่อยากร้องเพลงหรอกหรือ เช่นนั้นก็ร้องเลยสิ”
“ไม่ได้ท่านพี่ ที่นี่คือฉางอัน ไม่ใช่ฉ่าวหยวน หากข้าร้องมั่วซั่วจะโดนหัวเราะเอา” น่ารื่อมู่นั่งลง ถอดรองเท้าของอวิ๋นเยี่ยออก แล้วเปลี่ยนเอารองเท้าที่เพิ่งผิงไฟอุ่นๆ ให้เขา อวิ๋นเยี่ยมองน่ารื่อมู่พร้อมเอ่ยว่า
“ไม่เป็นไรหรอก คืนนี้ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง เจ้าก็ร้องเพลงที่นั่น ข้าร้องเพลงเป็นเพื่อนเจ้า ฮูหยินก็ไปด้วย แค่พวกเราสามคน หากเจ้าชอบร้องเพลง พวกเราก็จะร้องเพลงกันไปทั้งคืน เพลงของน่ารื่อมู่พวกเราฟังไม่เบื่อหรอก”
ผู้หญิงต้าถังได้ยินคำซึ้งเป็นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวในเมืองที่เรียบร้อยอ่อนหวาน หรือหญิงสาวผู้ร่าเริงแห่งฉ่าวหยวน ได้ยินคำซึ้งหวานๆ ของอวิ๋นเยี่ยก็ซึ้งน้ำตาไหล ตัวร้อนผ่าว ขาอ่อนแรงไปหมด
ท้องของซินเย่วเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จะเดินเหินแต่ละครั้งต้องใช้แรงมาก ท้องของนางราวกับว่ากลืนลูกบาสลงไป ต้องประคองท้องไว้ทั้งวัน
มีหลายครั้งที่อวิ๋นเยี่ยเป็นห่วงซินเย่ว เขาเปิดเสื้อนางออกเพื่อดูท้องของนางที่กลมโตจนตึงไปหมด เส้นเลือดสีเขียวเห็นได้ชัดเจน เขามักจะกังวลกลัวว่าท้องนางจะระเบิด
ผู้หญิงท้องเวลาทำอะไรจะดูงี่เง่า ปรนนิบัติซินเย่วเปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้า อวิ๋นเยี่ยจะทำเองไม่ให้ผู้อื่นทำให้ แม้กระทั่งตอนกลางคืนที่นางตื่นมาบ่อยครั้ง เขาก็จะคอยดูแลเองตลอด
ซินเย่วเป็นตะคริวง่าย ทุกวันต้องนวดขากับเท้า อวิ๋นเยี่ยแบ่งเวลาไว้ชัดเจน ไม่เคยผิดเวลา หากในบ้านมีเรื่องเกิดขึ้นเขาก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ขนาดฉิงฉู่มั่ว หนิวเจี้ยนหู่ ยังแทบจะไม่ได้เจออวิ๋นเยี่ยเลย จนในฉางอันมีข่าวลือที่น่าขันว่าอวิ๋นเยี่ยหลงภรรยาจนโงหัวไม่ขึ้น
นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย เซอร์ไพรส์ของน่ารื่อมู่คืนนี้สิถึงเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องที่เซวียเหยียนถัวยั่วโมโหแดนเติร์กตะวันตก ก็ถูกคนของแดนเติร์กตะวันตกตัดหัวผู้ก่อการร้ายเสียบหัวประจานเพื่อเป็นการเตือนไปทั่วสี่ทิศ เรื่องเล็กๆ เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในความกังวลของอวิ๋นเยี่ยแต่อย่างใด
ตาแก่ชาวถู่อวี้หุนเอาหัวโขกเสาประตูตำหนักเหยียนเหนียนของต้าถังก็ยิ่งไม่เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นเยี่ยเลย อยากตายเอง ใครก็ห้ามไม่ได้
เจ้าของร้านหลินไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง ตามข่าวที่ส่งมา ผู้ปกครองแดนเกาลี่ชอบเครื่องประดับเครื่องแก้ว โดยเฉพาะลูกแก้ว เขามองว่ามันเป็นของที่มีน้อย หาได้ยาก เขาไม่สนใจการคัดค้านของเหล่าใต้เท้า นำเสบียงที่สะสมไว้ไปแลกเครื่องประดับแก้วมาสามสิบชิ้น ตอนนี้เสบียงเหล่านี้ถูกส่งไปที่เหลียวตง มีนายพลผู้ใจกว้างรับซื้อทั้งหมด เมื่อวานหน่วยทหารได้นำเงินเหรียญไปแลกเป็นทองคำและฝากไว้ในบัญชีตระกูลอวิ๋นโดยไม่ได้ขอลดราคาเลย
ซินเย่วยืนอยู่บนเตียง หวีผมและแต่งหน้าให้น่ารื่อมู่อย่างประณีต ตั้งใจสางผมน่ารื่อมู่เพื่อถักเปียให้นาง พร้อมสวมเสื้อที่ตระกูลอวิ๋นทำขึ้นมาเอง
ฟ้ากำลังจะมืด น่ารื่อมู่เร่งอวิ๋นเยี่ยให้รีบไปเตรียมการ นางรอไม่ไหวอยากรู้ว่าสถานที่ที่นางจะไปร้องเพลง เป็นแบบไหน สวยงามหรือไม่ เห็นอวิ๋นเยี่ยชมให้ฟังมาทั้งวัน
ไม่ได้ไปนอกเมืองและก็ไม่ใช่ที่สวนในพระราชวัง แต่คือโรงละครที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง น่ารื่อมู่ไม่ชอบหากเป็นในห้อง ถึงแม้จะไม่ชอบ แต่นางก็แกล้งทำเป็นชอบ เพียงแต่ดวงตาดูเศร้าจนใครๆ ก็มองออก
รถม้าหยุดอยู่บนสะพาน คนดูแลโรงละครตระกูลอวิ๋นทำความเคารพเสร็จแล้วก็ไปจัดเตรียมสถานที่ ความปลอดภัยในการจุดโคมไฟในค่ำคืนนี้ต้องให้พวกเขาคอยดูแล
บนเวทีเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวขจีที่มีความยาวสองคืบ มีลูกแพะสีขาวราวปุยเมฆเจ็ดแปดตัวกำลังเล็มหญ้า แล้วยังมีกระโจมตั้งอยู่กลางเวที มีสุนัขตัวใหญ่ผูกอยู่ข้างเสาไม้ วั่งไฉยื่นหัวเข้าไปดูในกระโจมด้วยความอยากรู้อยากเห็น นักแสดงผู้นี้วิ่งมาดูสถานที่เพราะความอยากรู้
ชาวเหม่ยขาดแพะไม่ได้ พอเห็นลูกแพะ น่ารื่อมู่ก็รีบวิ่งไปกอดลูกแพะพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา
“ท่านพี่ ท่านปลูกหญ้าบนเวทีได้อย่างไร” ซินเย่วขยับเข้ามาถามอวิ๋นเยี่ย
“ง่ายมาก นำดินใส่ลงไปในกระสอบบางๆ นำเมล็ดหญ้าหว่านลงไป ต้นอ่อนของหญ้าก็เติบโตทะลุกระสอบออกมา”