เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 35 สร้างความสุขด้วยตัวเอง
น่ารื่อมู่ยิ้มหวานให้อวิ๋นเยี่ยแล้วหันกลับไปมองรูปวาดท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆสีขาว และทุ่งหญ้า นี่เป็นสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยขอให้อาจารย์หลีสือวาด ใช้เวลากว่าสามวันถึงจะวาดเสร็จ แต่เพราะเหตุนี้เอง ประวัติศาสตร์ถึงได้รู้สัดส่วนของธรรมชาติ เพียงลงมือวาดก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ทุ่งหญ้าที่อยู่ใกล้ ภูเขาที่อยู่ไกล เมฆบนท้องฟ้าอันสดใส
อุ้มลูกแพะขึ้นมาหอม แล้วก็ลูบหัวสุนัขเลี้ยงแพะ ดันหัวของวั่งไฉออกจากกระโจม ม้วนตัวไปมาบนพรมนุ่มๆ สองรอบ ปั้นก้อนนมที่อยู่ก้นหม้ออย่างชำนาญ นี่คือบ้านของนาง อวิ๋นเยี่ยสร้างกระโจมที่ไม่ได้ใหญ่มากนักตามแบบอย่าวที่นางเคยเล่าให้ฟัง
หยิบต้นหญ้าขึ้นมาจากพื้นดินหนึ่งต้น คาบไว้ในปากแล้วคายออกมา นี่คือหญ้าจริงๆ ไม่ได้ฝันไป
นางวิ่งออกมาอย่างดีใจ ชวนอวิ๋นเยี่ยและซินเย่วเข้าไปในกระโจมของตนเอง เหมือนกับต้อนรับคนที่ตนเองเคารพรัก
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม เดินเข้าไปในกระโจมอย่างรวดเร็ว ไม่มีเชื้อเพลิง ทำให้น่ารื่อมู่กังวลใจ มีแขกมาเยี่ยม แต่กลับไม่มีนมร้อนไว้ต้อนรับแขก ช่างเสียมารยาทเสียจริง ดีที่อวิ๋นเยี่ยแก้ไขปัญหานี้ไว้แล้ว เขายกเตาสีแดงขนาดเล็กออกมาจากด้านหลัง ในเตามีถ่านไฟอยู่แล้ว
น่ารื่อมู่ดีใจขึ้นมาทันที ตักนมสดออกมาจากถังไม้ใส่ลงไปในหม้อแล้วนำไปตั้งไฟ ใส่เนยและเกลือลงไป คนให้เข้ากัน แล้วใช้ช้อนเคาะปากหม้อเพื่อให้นมไม่ติดช้อน จากนั้นหยิบระป๋องชาออกมาจากชั้นไม้ อวิ๋นเยี่ยเป็นคนสอนนาง น่ารื่อมู่ชอบกินชานมเนย ต้องกินทุกมื้อ เพียงแต่ว่าใบชาค่อนข้างแพง ชาวเหม่ยคนอื่นๆ ไม่มีทางได้ดื่มของพวกนี้ มีเพียงตัวเองกับฮ่วนเหนียงที่ดื่มทุกมื้อ
กลิ่นเนยหอมระอุ แต่ซินเย่วกลับมีท่าทางอยากจะอ้วก นางรับกลิ่นเนยไม่ไหว ดีที่น่ารื่อมู่ใส่ใจต้มนมสดให้นางดื่ม ถึงช่วยชีวิตนางไว้ได้
ชานมเนยของน่ารื่อมู่กับชานมในยุคปัจจุบันมีความคล้ายกันมาก เพียงแต่อีกอันใช้น้ำ อีกอันใช้นมก็แค่นั้น
ถ้วยเล็กสีเงินถูกสลักด้วยรูปดอกไม้ นก แมลง และเต่า น่ารื่อมู่ยกชานมเนยสีน้ำตาลกลิ่นหอมเย้ายวนมาเสิร์ฟตรงหน้า ราวกับภรรยาผู้อ่อนโยนกำลังปรนนิบัติสามีที่กลับมาจากสงคราม
รับถ้วยเงินไป ใช้นิ้วคนนมในถ้วยเล็กน้อย ข้างในตาดูมีความสุข อวิ๋นเยี่ยยิ้มพร้อมกับดื่มชานมเนยร้อนๆ ไปด้วย
น่ารื่อมู่คำนับอวิ๋นเยี่ยกับซินเย่ว จากนั้นก็นั่งคุกเข่าลงที่พื้น ร้องเพลงบ้านเกิดที่ตัวเองชอบ
นกอินทรีที่อยู่บนท้องฟ้า
บินอยู่ในกระโจม
บินวนไปมาสามรอบ
ไม่ไปไหน
ม้าที่อยู่บนทุ่งหญ้า
วิ่งอยู่บนพื้นดิน
วิ่งวนไปมาสามรอบ
ไม่ไปไหน
ท่านพี่ที่รัก
ไปตัดหญ้า
ไปตั้งสามวัน
กว่าจะกลับมา
ร้องไปด้วยถอดรองเท้าให้อวิ๋นเยี่ยไปด้วย ส่วนซินเย่วนั้นได้ถูกน่ารื่อมู่ที่กำลังดื่มด่ำกับจินตนาการลืมไปเสียสนิท
เสียงร้องเพลงที่อ่อนโยนดังขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาแห่งความอ่อนไหวเกือบจะเอ่อล้นออกมา ดั่งความรู้สึกหญิงสาวเพิ่งแต่งงานที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อมาสามวัน พอได้เห็นสามีกลับมาบ้านก็รู้สึกตื้นตัน
หญิงสาวชาวเหม่ยผู้งดงามได้ปลดปล่อยความสนุกสนานอย่างสุดขีด นึกถึงผู้ชายฉ่าวหยวนสมัยนี้ที่ร้องเพลงขานรับกับคนรักของตัวเอง ก็เหมือนกับที่น่ารื่อมู่ร้องเพลงแล้วอวิ๋นเยี่ยต้องขานรับ ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะคิดว่าไม่ใส่ใจ
อวิ๋นเยี่ยดื่มชาเพื่อให้คล่องคอ จากนั้นก็เริ่มร้องเพลงขึ้นมา
หญ้าสีเขียวที่อยู่แสนไกล
ยาวแล้วยาวอีก
ท่านพี่ตัดหญ้า
สามคันรถ
มีฝูงหมาป่ามา
เยอะเหลือเกิน
ท่านพี่สู้กับหมาป่า
ใช้ไม้สามง่าม
หนังหมาป่าที่ถลกออกมา
ทั้งอ่อนทั้งนุ่ม
ทำเป็นเสื้อให้ท่านน้อง
ทั้งหมดสามชุด
ซินเย่วนึกไม่ถึงมาก่อนว่าอวิ๋นเยี่ยก็ร้องได้ แถมยังร้องได้ดีอีกด้วย เห็นน่ารื่อมู่คลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นเยี่ยดูท่าทางหวานหยดย้อยก็รู้สึกน้อยใจ ตัวเองเป็นถึงภรรยาที่มีหน้ามีตา กลับไม่ได้รับความใส่ใจจากสามีเท่าภรรยารอง
คุณยายสมัยโบราณส่วนใหญ่จะดุและเข้มงวดมาก น่ารื่อมู่ไม่มีคุณยาย แต่มีพี่สาวที่ดุเอามากๆ โดนดีดหน้าผากอยู่หลายครั้ง ถึงได้ตื่นขึ้นจากฝันหวานๆ
มองซินเย่วอย่างสับสน อยู่ๆ น่ารื่อมู่ก็ร้องไห้ขึ้นมา มุดอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมปล่อย ในความฝันของนางไม่เคยมีซินเย่วอยู่ในนั้นเลย
“เจ้าร้องเพลงได้ทำไมไม่เคยร้องให้ข้าฟัง ไม่ได้ อย่างไรคืนนี้เจ้าก็ต้องร้องเพลงรักให้ข้าฟัง ต้องร้องให้เพราะกว่าที่ร้องให้น่ารื่อมู่ฟังด้วย”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะลั่นพร้อมกับพูดว่า “ที่จริงคืนนี้ก็เป็นของพวกเราสามคนอยู่แล้ว อยากร้องเพลงก็ร้อง หากเจ้าอยากร้องข้าก็จะร้องเป็นเพื่อนเจ้า วันนี้เป็นวันดี พวกเราต้องพึ่งพากันและกันในอนาคต การเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขไว้เป็นเรื่องที่ควรทำ”
ซินเย่วก้มหัวลงด้วยความเขินอาย ผู้หญิงที่ปกติกล้าต่อล้อต่อเถียงแต่ในวันนี้กลับหายไปซะอย่างนั้น
น่ารื่อมู่หยุดร้องไห้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตามองไปที่อวิ๋นเยี่ยที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขอย่างไม่เข้าใจ การผูกขาดของความรักทำให้นางไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
แต่งงานกับภรรยาหลายคนก็เหมือนกับเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเอง นอกเสียจากว่าจะไม่สนใจความรู้สึกของพวกนาง เพียงแค่เพลิดเพลินไปกับความสุขทางกาย การไม่เป็นห่วงความรู้สึกกันและกันแบบนี้ถึงอยู่กันได้นาน
หากเจ้าหวังจะมีความสุขในชีวิต ทางที่ดีควรมีภรรยาคนเดียว ถึงใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับทรมานเหลือเกิน
ทำให้คนหนึ่งพอใจ แต่กลับทำให้อีกคนเสียความรู้สึก แถมยังไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว คนที่อ่อนแอมีแต่จะทรมาน
เขาไม่กล้านึกถึงภาพอันน่ากลัวหากหลี่อันหลานเข้ามาพัวพันด้วย หากมีวันนั้น เขาจะตัดสินใจหนีออกจากบ้าน พาวั่งไฉเร่ร่อนไปทั่วทุกทิศ
สามคนนั่งบนพื้นหญ้า วั่งไฉยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ย ตั้งแต่เจอเห็ดในคอกม้า ความสุขในชีวิตมันก็กลับมาอีกครั้ง ข้างในถุงเงินที่อยู่ใต้คอเต็มไปด้วยเหรียญ ตอนนี้พวกเจ้านายแห่งตระกูลอวิ๋น หากไม่มีอะไรทำ ก็จะเอาเหรียญในถุงเงินของมันไปซ่อน ซ่านอิงวางแผนให้มันลดน้ำหนักแต่ก็ต้องล้มเหลวอีกครั้ง
ซินเย่วร้องเพลงไม่ออก อ้าปากกี่ครั้งก็ร้องไม่ออก เล่นเอาน่ารื่อมู่ที่หลบอยู่หลังอวิ๋นเยี่ยแอบหัวเราะ สุดท้ายถูกซินเย่วลากมาหยิกสองทีถึงยอมปล่อยไป
“มาร้องเพลงลำนำภูเขา
ทางนี้ร้องมาทางนั้น
ลำนำภูเขาดีกว่าลำนำแม่น้ำ”
เพิ่งร้องได้สามประโยค ซินเย่วก็ตีไปที่ขาของอวิ๋นเยี่ย ไม่ให้อวิ๋นเยี่ยร้องต่อ ด้วยความคิดที่ว่าผู้ชายอกสามศอกที่ไหนร้องเพลงแบบนี้ ไม่สมศักดิ์ศรีเอาซะเลย นางก็เป็นเสียแบบนี้ ตัวเองไม่มีความสุข ก็ไม่ให้คนอื่นได้ไม่มีความสุข
น่ารื่อมู่เข้าไปในกระโจม นำหม้อลงมาจากเตา เนื้อแพะต้มจนสุกแล้ว ชาวเหม่ยกินเนื้อแพะโดยมีแค่เกลือก็อร่อยแล้ว แต่ก็แปลกที่ว่าน้ำต้มเนื้อพอต้มเสร็จกลับมีกลิ่นหอมมากกว่าอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องเทศในวังเป็นร้อยเท่า
มีแต่เนื้อแพะชิ้นใหญ่ อวิ๋นเยี่ย น่ารื่อมู่ถือชิ้นเนื้อไว้ในมือ โรยเกลือเล็กน้อย กำลังเคี้ยวเนื้อแพะอย่างเสียงดังก็ถูกซินเย่วตีเอา มีสามีที่ไหนกินข้าวกับภรรยาแล้วเคี้ยวเสียงดังเช่นนี้
ทานไม่มีเสียง ก็เหมือนทานข้าวแล้วขาดเกลือ ไม่มีรสชาติ กัดเล็กๆ ทีละคำ ทานข้าวกันสามคนราวกับทานข้าวกับผี
คืนนี้นอนที่นี่ อวิ๋นเยี่ยกะจะสร้างความอบอุ่นในครอบครัวเสียหน่อย แต่กลับไม่สมดั่งหวัง เรื่องวนกลับมาเป็นเหมือนเดิม ซินเย่วไม่ยอมลดฐานะตัวเอง ถึงแม้จะอิจฉาความหวานของอวิ๋นเยี่ยกับน่ารื่อมู่ แต่ก็ไม่ยอมลดทิฐิลง รู้สึกเหมือนไม่มีใครเข้าใจนาง การที่นั่งกินเนื้อแพะกับพวกเขาสองคนบนพื้นหญ้า ก็ถือว่านางยอมให้มากแล้ว
นอนในกระโจมทำให้น่ารื่อมู่รู้สึกเหมือนได้กลับไปที่ฉ่าวหยวน อาการนอนไม่หลับกระสับกระส่ายเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ไม่มีแล้ว อ้าปากหาว นางอยากจะนอนหลับอย่างสบายใจ
ได้กลิ่นหญ้าที่เขียวขจี ก็นอนหลับไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่านางถูกซินเย่วห้ามความคิดที่จะเอาลูกแพะมากอดนอน
อวิ๋นเยี่ยนอนหนุนตักซินเย่วอยู่บนพื้นหญ้า สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของลูกที่ดิ้นอยู่ในท้อง ไม่กล้าลงน้ำหนักมากเกินไป กลัวซินเย่วจะไม่สบายตัว
ระหว่างสามีกับภรรยานั้นช่างน่าแปลก อะไรที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่สิ่งที่ต้องใช้ใจรับรู้ ซินเย่วสางผมอวิ๋นเยี่ยด้วยความเบื่อหน่าย ทำให้เขารู้สึกเหมือนลิงตัวหนึ่งกำลังเอาใจลิงอีกตัว
“เจ้าไม่สบายใจที่เห็นข้ากับน่ารื่อมู่อยู่ด้วยกันใช่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามซินเย่ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังนาง
ซินเย่วเงยหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งพร้อมกับพูดว่า “ท่านคิดว่าข้าเป็นผู้หญิงขี้หึงเช่นนั้นหรือ ข้าเคยอ่านหนังสือ ‘ข้อควรปฏิบัติของผู้หญิง’ ข้าไม่ใช่ผู้หญิงโง่เช่นนั้นซะหน่อย”
เห็นความเย่อหยิ่งของซินเย่ว เขาก็ตีไปที่ก้นนางเบาๆ แล้วพูดว่า “อย่างเจ้าไม่เรียกว่าขี้หึง? ข้าแทบจะปีนกำแพงหนีอยู่แล้ว มีที่ไหนจะแต่งภรรยาทั้งทีก็ทำอย่างกับเป็นโจร ทั้งฉางอันก็มีข้าคนเดียวนี่แหละ”
“เจ้าพูดผิดแล้ว ยังมีฝางฮูหยินอีกคน จะว่าไปแล้วท่านลุงอวี้ฉือก็ปฏิเสธความหวังดีของฝ่าบาทไปแล้วไม่ใช่หรือ ตัวอย่างที่ดีไม่เลียนแบบ ไปเลียนแบบที่ไม่ดี”
อวิ๋นเยี่ยลืมไปว่าเขากับฮูหยินผู้มีชื่อเสียงของเฮอชู่เป็นคนยุคเดียวกัน นี่เป็นแบบอย่างของผู้หญิง ส่วนอวี้ฉือกงแน่นอนว่าทำให้คนนับถือเขาอย่างมาก
“ถึงแม้ภรรยาจะไม่อ่อนโยน แต่ก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันเสมอ ข้าเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่บอกมาว่าความรวยไม่ได้ขึ้นอยู่กับภรรยา ดังนั้นข้าไม่ขอทำตามความประสงค์ของฝ่าบาท”
คำพูดนี้บอกวิสัยทัศน์ของคนได้ชัดเจน ความชอบธรรมมักมีในผู้ที่ต่ำต้อย ไม่มีความรู้หรือยศถาบรรดาศักดิ์ พวกเกิดในตระกูลสูงศักดิ์มักมีภรรยามากมายไว้บำเรอความสุข
ซินเย่วหอมแก้มอวิ๋นเยี่ยพร้อมกับพูดว่า “เราเป็นครอบครัวที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุดในฉางอัน ภรรยาในบ้านก่อเรื่องบ้างเล็กน้อย ท่านก็อย่าใส่ใจเลย พูดอะไรที่ไม่ดีท่านก็ปล่อยให้มันผ่านไปเสียเถิด ดังนั้น ความกล้าของข้าก็เป็นท่านที่ให้มานั่นแหละ เป็นท่านที่ตามใจข้าจนข้าเคยตัว วางใจเถิด ข้าไม่ถือสาน้องน่ารื่อมู่ ท่านก็มีข้อเสียแค่เรื่องนี้นี่แหละ อย่างมากก็ให้ท่าองค์หญิง แต่งเพิ่มอีกคนก็จะทำให้ท่านยิ่งกลุ้มใจ หากมีภรรยามากมายเอะอะโวยวายในบ้าน อย่าว่าแต่ข้าเลย ท่านเองก็คงรับไม่ไหวเช่นกัน ข้าชอบท่านก็ตรงนี้แหละ ใส่ใจทุกคนที่อยู่รอบตัว”
“พูดจาเหลวไหล ไม่ใช่ไก่นะ จะได้ร้องเอะอะโวยวายดังลั่นบ้าน”
“ข้าพอจะมองออก ท่านกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง บ้านเรากิจการรุ่งเรือง ท่านมีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวที่จะวางรากฐานให้ครอบครัวได้ ถึงเวลาคนรุ่นหลังจะได้มีกิจการไว้ทำมาหากิน เด็กในท้องข้าเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดแล้ว เขาจะสานต่อความกล้าหาญของท่านเอง สืบทอดกิจการทางบ้านต่อไป”
“จบกัน เจ้ารู้หมดแล้ว โจรทั้งฉางอันถูกเจ้ามองออกหมดแล้ว เกรงว่าฝ่าบาทคงจะกำลังไตร่ตรองเรื่องนี้”
“ท่านคิดมากแล้ว ครอบครัวใครบ้างไม่เป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ครอบครัวเรา พวกสายเลือดกษัตริย์ก็พยายามสร้างกิจการให้ก้าวหน้ากันทั้งนั้น ไข่ไก่ไม่สามารถวางไว้ในตะกร้าเดียวกันได้ทั้งหมด เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ บ้านเราไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าเทียบกับพวกที่ขายที่ทางไม่หยุด ท่านก็แค่หาเงินบ้างเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
“ช่วงนี้ท่านหลบอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน ท่านไม่รู้เรื่องข้างนอก แต่ท่านก็ไม่ถาม งานอภิเษกสมรสของรัชทายาทท่านก็ไปแค่วันเดียว อี้เหนียงแต่งงานแล้ว ท่านเพียงแอบพานางออกมานอกบ้าน ข่าวลือไปทั่วทุกทิศแล้ว เซวียเหยียนถัวทำสนธิสัญญาไม่สำเร็จ ก็เป็นเพราะแผนของท่าน ถู่อวี้หุนขึ้นจงรักภักดีต่อต้าถัง แม้แต่เรื่องเหลียวตงก็เป็นแผนของท่าน ข้าไปข้างนอกมีคนนับหน้าถือตาก็เพราะท่าน ท่านพี่ ท่านกำลังหลบอะไรอยู่ ตอนพวกเราไปคำนับฮองเฮา นางยังบอกว่าไม่ให้ท่านหลบอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน บอกว่าต้าถังยังไม่มีคนที่เหนือกว่าจักรพรรดิ”
อวิ๋นเยี่ยนั่งลง หลับตาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกซินเย่วว่า “ท้องของเจ้าใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อีกสองเดือนก็จะคลอดแล้ว ช่วงนี้ไม่ต้องออกจากบ้านไปไหน ใครเชิญไปบ้านไหนก็อย่าไป”