เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 36 เรื่องราวของชวีจั๋ว
อวิ๋นเยี่ยนั่งลง หลับตาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกกับซินเย่วว่า “ท้องเจ้าก็โตขึ้นเรื่อยๆ อีกสองเดือนก็จะคลอดแล้ว ช่วงนี้อย่าออกไปไหน ใครเชิญไปบ้านก็ไม่ต้องไป เราจะทำแบบหลี่จิ้ง ไม่ต้อนรับแขก ไม่พบใครทั้งนั้น”
เมื่อหิมะแรกโปรยลงมา ตระกูลอวิ๋นเปิดประตูใหญ่ต้อนรับการมาของท่านโหร ก็คือเพื่อนเก่าอย่างถังเจี่ยน
อวิ๋นเยี่ยสวมชุดสีคราม ยืนอยู่กลางลานกว้างรอรับการถ่ายทอดคำสั่งจากถังเจี่ยน ไอ้หมอนี่ผ่านไปตั้งหลายปีก็ยังดุหนุ่มแน่นอยู่ เสื้อคลุมขนสัตว์ที่ใส่ดูเงางาม เมื่อหิมะตกใส่เสื้อคลุมก็ไหลลงสู่พื้น ไม่ติดเสื้อคลุมแม้แต่น้อย ไม่เหมือนอวิ๋นเยี่ยที่ยืนอยู่ครู่เดียวแต่หัวกลับเต็มไปด้วยหิมะ ใบหน้ายังดูแก่กว่าถังเจี่ยนเสียอีก
“ถังกงลำบากเดินทางไกลถึงหมื่นลี้เพื่อสัมพันธไมตรีกับฉ่าวหยวน ใช้เวลาไม่นานก็กำจัดเซวียเหยียนถัวไปได้ เป็นวิธีที่ดีจริงๆ ขอแสดงความยินดีกับต้าถัง ของแสดงความยินดีกับถังกง!”
ถังเจี่ยนเหมือนจะไม่ได้ยินที่อวิ๋นเยี่ยพูด ถอดเสื้อคลุมยื่นให้ผู้ติดตามหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง หนุ่มน้อยหัวเราะอวิ๋นเยี่ยจนเห็นฟัน พอมองอย่างละเอียดถึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคือชวีจั๋ว ขุนนางผู้น้อยประจำสำนักศึกษา เมื่อสามเดือนก่อนสำนักศึกษามีศิษย์จำนวนหนึ่งเข้ารับใช้แผนกจงยางของต้าถัง ในนั้นไม่น่าจะมีชวีจั๋ว เพราะเขาไม่ใช่ลูกศิษย์ ยังมีคุณสมบัติไม่ถึง
“เป็นอะไรไป เห็นลูกศิษย์ตัวเองทำภารกิจสำเร็จแล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างนั้นหรือ ให้เจ้าวิ่งไปไกลเป็นหมื่นลี้ก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าเจ้า ดังนั้นหยุดคิดเรื่องทำภารกิจเสียเถอะ ที่พวกเรามาก็เพราะเป็นคำกำชับของฝ่าบาท จะให้เจ้ารับรู้ความเป็นมาของเรื่องราว กันไว้เผื่อภายหน้าเจ้าจ้องแต่จะเอาคืน ไม่สนใจเรื่องราวที่ผ่านมา”
ที่แท้ชวีจั๋วเป็นลูกศิษย์ข้า? ไปทำภารกิจที่ฉ่าวหยวนได้สำเร็จ? อวิ๋นเยี่ยเบิกตากว้างมองชวีจั๋วที่รูปร่างสูงโปร่ง ชวีจั๋วที่ถือเสื้อคลุมขนสัตว์ก้มหน้าหัวเราะเล็กน้อย หน้าตาดูภูมิใจ รู้สึกยิ่งใหญ่ แต่ต้องแกล้งทำเป็นนอบน้อม
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเปิดโปงเขา เขาอาศัยตำแหน่งของสำนักศึกษา ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือความจริง หากเปิดโปงตอนนี้จะมีแต่ผลเสีย
“ถังกง อีกสักครู่ให้ลูกศิษย์ที่ไม่รักดีของข้าอยู่ที่นี่เถิด ข้าอยากถามเขาเรื่องภารกิจที่ฉ่าวหยวน”
มองชวีจั๋วเพียงพริบตาเดียว ไม่อยากสนใจใบหน้ายิ้มแย้มประจบสอพลอของเขาที่กำลังเดินเข้าไปในห้องด้านในพร้อมกับถังกง
“ข้าถูกแช่แข็งมาตลอดทั้งทาง หิมะตกลงมาในเดือนแปด ทั่วพื้นดินมีแต่หิมะ ข้าทานแต่เนื้อมาสามเดือน ไม่มีผักใบเขียวเลยแม้แต่น้อย ให้ท่านโหรทานผักจะดีกว่า แล้วก็เอาเหล้าที่ท่านมีมาด้วยหนึ่งไห พวกเราทานไปคุยไปกันเถอะ เรื่องสั่งสอนลูกศิษย์ยังมีเวลาอีกเยอะ รอท่านโหรกิรอิ่มแล้ว ท่านค่อยสอนข้าก็ยังไม่สาย”
ทุกครั้งที่ท่านโหรมาจะต้องมาทานข้าวบ้านอวิ๋นเยี่ยเสมอ จนเหมือนจะเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติไปแล้ว เห็นถังเจี่ยนท่าทางเหน็ดเหนื่อยก็รู้ว่าเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง บ้านตัวเองยังไม่ทันได้กลับ ก็ถูกหลี่ซื่อหมินไล่มาตระกูลอวิ๋น
ผ่านไปชั่วครู่กับข้าวก็ถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว ถาดเกี๊ยวที่วางอยู่ตรงกลางทำให้ถังเจี่ยนถึงกับไม่เข้าใจ
“อวิ๋นเยี่ย ตอนนี้ไม่มีเทศกาลเสียหน่อยทำไมถึงมีหุนตุ้น หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ท่านโหรยังไม่รู้”
“แน่นอนว่ามี ทางบ้านเรามี เกี๊ยวน้ำกับบะหมี่ไข่ต้อนรับกลับบ้าน เป็นประเพณีของตระกูลอวิ๋น ถังกงเดินทางมาไกล ก็ต้องเอาเกี๊ยวมาต้อนรับ ไม่ใช่หุนตุ้นอะไรที่ไหน ที่บ้านข้าเขาเรียกเกี๊ยวน้ำ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ที่แท้เป็นเพราะข้าไม่รู้เอง ความหวังดีของท่านอวิ๋น ข้าขอรับไว้ก็แล้วกัน”
ลมพัดความสงสัยจนปลิวหายไปหมด ดูเหมือนหมอนี่คงจะหิวมาก เกี๊ยวเต็มถาดขนาดสิบนิ้ว เพียงพริบตาเดียวหายไปครึ่งถาด เกี๊ยวไส้ไข่ ไก่ กุยช่ายคงจะถูกปากเขามาก เหลืออยู่เพียงไม่กี่ชิ้น ถังเจี่ยนวางตะเกียบลงแล้วส่งให้ชวีจั๋วที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ผู้อาวุโสมอบให้ ข้าไม่กล้าปฏิเสธ เสียมารยาทเสียแล้ว” ชวีจั๋วตักเกี๊ยวเข้าปากเร็วกว่าถังเจี่ยนเสียอีก
เห็นได้ชัดว่าถังเจี่ยนชอบชวีจั๋วมาก เอ็นดูชวีจั๋วเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูหลานตัวเอง แม้แต่เกี๊ยวในถาดก็เหลือแบ่งไว้ให้เขา
อิ่มได้ที่แล้ว ถังเจี่ยนก็นั่งลงบนเบาะรองนั่งอย่างรู้สึกสบาย วางผ้าห่มบางๆ ไว้บนขา มองดูหิมะด้านนอกที่ตกลงมาก็เริ่มเหม่อลอย คนอายุมากแล้วมักจะเคยผ่านเรื่องราวที่เจ็บปวดเป็นธรรมดา
“อวิ๋นเยี่ย เดินทางไกลครั้งนี้ จะเป็นภารกิจสุดท้ายที่ข้าทำเพื่อต้าถัง ข้ารู้สึกแก่มากแล้ว การหยุดรับใช้ต้าถังก็คงเกิดขึ้นในครึ่งปี ข้ามีเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลอยากจะขอให้เจ้ารับปาก”
ไม่ต้องคิด เพียงแค่วันนี้เขาเอาชวีจั๋วมาด้วย แล้วยังบอกว่าตัวเองแก่แล้ว ก็รู้แล้วว่าเขาต้องการจะพูดอะไร
“ไม่ได้ ชวีจั๋วเป็นคนเลี้ยงหมูชั้นดี ตอนนี้สำนักศึกษาจะเพิ่มหมูอีกหนึ่งร้อยตัว ยังขาดคนจัดการ ชวีจั๋วคือคนที่เหมาะสมที่สุด พรุ่งนี้เขาก็ต้องไปทำงานที่คอกหมูแล้ว หน้าที่ยิ่งใหญ่ จะปล่อยไปไม่ได้”
ถังเจี่ยนโมโห มือตบโต๊ะชี้นิ้วพร้อมขึ้นเสียงใส่อวิ๋นเยี่ยว่า“อัปมงคล อัปมงคล ตลบตะแลงไม่มีใครเทียบติด คนฉลาดอย่างเจ้ากลับเป็นคนต่ำช้าเช่นนี้ ไม่กลัวถูกสวรรค์ลงโทษหรืออย่างไร”
“คนต่ำช้า? สำนักศึกษาของข้าเคยมีคนต่ำช้าตอนไหน ท่านคิดว่าข้าไม่เคยให้อาหารหมูอย่างนั้นหรือ หรือท่านหลี่กังยังไม่เคยให้อาหารหมู ฉู่อ๋องที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นโรครักความสะอาด ผ่านการฝึกที่คอกหมูมา ตอนนี้ก็รู้จักลดหย่อนลงบ้างแล้ว สวี่จิ้งจงแพทย์ทหารผู้สูงส่ง ตอนนี้ก็แทบจะกอดหมูนอนอยู่แล้ว ท่านกลับพูดว่าเป็นคนต่ำช้า ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย”
“ท่านโหรอย่าเพิ่งโมโหไป ข้าน้อยอยู่สำนักศึกษาเป็นคนดูแลหมู ถือเป็นเรื่องดี ไม่ได้อัปยศอดสูแต่อย่างใด ท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว สำนักศึกษามีการทดลองเลี้ยงโซ่อาหาร แหล่งแรกคือหมู มูลหมูสามารถเป็นอาหารปลาได้ ปลาตัวเล็กเป็นอาหารเป็ดได้ โคลนนำมาทำเป็นปุ๋ยได้ มีปุ๋ยผลผลิตก็จะเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า หนึ่งพันปีแล้ว ห้องใต้ดินของเว่ยอ๋องยังมีมูลหมูเก็บไว้อยู่เลย เอาขึ้นเตาก็ติดไฟได้เลย นำมาทำกับข้าว เพิ่มแสงสว่าง ให้ความอบอุ่นก็ได้ทั้งนั้น เป็นหัวข้อที่กำลังนำมาทดลอง หากสำเร็จก็จะเป็นผลดีต่อเกษตรกร แม้จะสกปรกไปบ้าง แต่กลับได้ผลตอบแทนที่มากมาย หากท่านมีคำสั่งให้ข้าไปคอกหมู ข้าจะทำตามไม่ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย”
ถังเจี่ยนครุ่นคิด ทุกสิ่งบนโลกนี้หากไปข้องเกี่ยวกับสำนักศึกษาเข้าแล้วก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลย ขนาดพวกต่ำช้ายังเปลี่ยนเป็นมีค่าขึ้นมา ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะถ่ายทอดวิชาของตัวเองให้ชวีจั๋ว ฟังอวิ๋นเยี่ยพูดแล้วก็ใช่ว่าเรื่องเลี้ยงหมูจะดึงดูดความสนใจเขาได้
สร้างตัว สร้างอาชีพการงาน สร้างคุณธรรม สร้างวาจา เป็นเส้นทางที่เด็กหนุ่มทุกคนต้องเดิน หากเลี้ยงหมูสามารถสร้างตัว สร้างอาชีพการงาน สร้างคุณธรรมได้ เช่นนั้นความรู้ที่ตนเองได้ร่ำเรียนมาก็เป็นเรื่องน่าขันอย่างนั้นหรือ
“ถังกง วิชาจ้งเหิงของท่านแน่นอนว่าไม่มีใครเทียบได้ การดูวัตถุจากภายนอกก็สามารถรู้ได้ถึงที่มาของมัน ความรู้นี้ไม่มีใครเทียบได้ แต่นี่เป็นความสามารถสืบทอดเฉพาะในตระกูลของท่าน ไม่เคยเล็ดลอดสู่ภายนอก ตอนนี้ตำราที่ซ่อนในภูเขาหนานซาน ไม่กี่ปีมานี้ถูกหนู แมลงแทะทานจนแทบไม่เหลือแล้ว ท่านไม่กลัววิชานี้จะหายไปหรือ”
ท่านทูตผู้อาวุโสในหัวได้ยินแต่เสียงพูดของอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก เริ่มรู้สึกว่าความรู้ที่ตัวได้เรียนมานั้นช่างเปล่าประโยชน์
“ขุนนางอวิ๋นมีอะไรจะแนะนำข้าหรือ”
“ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ทุกเดือนท่านต้องมาสอนวิชาจ้งเหิงที่สำนักศึกษาก็พอแล้ว หากท่านรับปาก ข้าก็จะคืนชวีจั๋วให้ท่าน แต่ถ้าไม่ ข้าก็จะให้ชวีจั๋วทำงานที่คอกหมูตลอดชีวิต”
ถังเจี่ยนหัวเราะในลำคอพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ “ชีวิตข้านี้เคยตีแต่พญานก แต่ตอนนี้กลับโดนพญานกจิกตา แผนการแกล้งทำเป็นโง่ของเจ้า ข้าควรจะดูออกเสียตั้งนานแล้ว หากสำนักศึกษามีแต่พวกอิจฉาผู้ที่มีความรู้มากกว่าตน แล้วในเวลาอันสั้นนั้นจะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของต้าถังได้อย่างไร เจ้าช่างเป็นอาจารย์ที่ทำเพื่อลูกศิษย์จริงๆ กลัวข้าจะมีไม้ตายซ่อนอยู่เลยต้องเพิ่มความรู้ให้ลูกศิษย์ ทำให้ข้าต้องให้ความสำคัญพวกเขาโดยปริยาย แล้วยังได้ข้าไปสอนวิชาที่ห้องหนังสือทุกเดือนอีก ช่างเป็นแผนการที่ดีเสียจริง ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ายอมแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยก้มโค้งคำนับ ชวีจั๋วหมอบคำนับอยู่ที่พื้น เพื่อคาราวะอาจารย์ทั้งสองท่าน ตัวเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่กลับได้รับความเมตตาจากผู้สูงส่ง เป็นบุญยิ่งนัก
บทสนทนาเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว อวิ๋นเยี่ยและถังเจี่ยนพูดคุยหัวเราะอย่างมีความสุข คุยเกี่ยวกับเรื่องข่าวลือของพวกใต้เท้า โดยเฉพาะผู้ที่หลงใหลในหญิงงามอย่างขุนนางอวิ๋นยิ่งเป็นประเด็น
ถูกผู้คนเอามาพูดเป็นเรื่องสนุก อวิ๋นเยี่ยชินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าข่าวลือของฉางอันจะไปถึงฉ่าวหยวน
“งานประมูลวันที่สามของเจ้าจบลง ข้าก็ได้รับสาร เป็นคำสั่งให้ข้าไปแดนเติร์กตะวันตกก่อนฟ้ามืด ร่วมมือกับผู้นำแดนเติร์กตะวันตกวางแผนกลยุทธ์ความสัมพันธ์ของเมืองที่ห่างไกลเพื่อเข้าโจมตีระยะใกล้ หลังจากแม่ทัพถ่งถูกลุงตัวเองฆ่า แดนเติร์กตะวันตกก็เกิดการยื้อแย่งไม่สิ้นสุด ถึงแม้จะเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับใกล้จะล่มสลายในไม่ช้า เดิมคิดว่าไปสมทบกับแม่ทัพซื่อที่เชียนฉวนร่วมมือด้วย นำเครื่องแก้วหมาป่ายักษ์ของเจ้าให้แก่เขา ให้เขาไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเซวียเหยียนถัว แล้วค่อยให้หมาป่าอีกสี่ตัวแก่ผู้นำทั้งหลาย ปลูกเมล็ดแห่งความหายนะไว้แล้วรอเวลาที่มันจะงอกออกมา
ใครจะไปรู้ แม่ทัพซื่อถูกฆ่าตายตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนนี้ในฐานะผู้นำแดนเติร์กตะวันตกอย่างตัวลู่ก็ทำได้แค่ปกครองเชียนฉวน แม้แต่ประเทศฉือก็จ้องจะโจมตีอยู่ตลอด ข้าฟังธง ไม่เกินหนึ่งปีตัวลู่ต้องแพ้ราบคาบ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เปลืองทรัพยากร ข้าได้นำหมาป่ายักษ์หนึ่งตัวให้แก่ซี่ลี่ชือ คนผู้นี้มีอำนาจทางจิตมาก มีความอดทนอดกลั้น ทรงพลัง เหมาะที่จะได้เชียนฉวนไปครอง
เจ้าเด็กน้อย เจ้าเดาได้แม่นมาก เพียงใช้เหยื่อล่อให้ซี่ลี่ชือก็ติดกับตกลงไม่ยุ่งเกี่ยวการทำศึกกันระหว่างต้าถังกับเซวียเหยียนถัว ขอแค่ไม่ทำให้เขาเสียผลประโยชน์ก็พอ มีคนผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนมองการ์ณตื้นเขินถูกขนานนามว่าเสือแห่งแดนเติร์กตะวันตก ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น รีบเตรียมคนไปคอยหาข่าว แต่ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะคนรอบตัวข้าถูกซี่ลี่ชือคอยจับตามองอยู่ จะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ อนุญาตแค่ให้คนรับใช้ออกไปซื้อกับข้าว
ขุนนางอวิ๋น เจ้าคิดไม่ถึงล่ะสิ ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ชวีจั๋วรู้จักกับลูกน้อยของชาเซียวลัวจากการออกไปซื้อกับข้าว พอชาเซียวลัวรู้ว่าข้าเป็นทูตจากต้าถังก็ให้ทหารม้ามาพาข้าไปที่บ้านของเขา แน่นอนว่ามีเครื่องแก้วหมาป่ายักษ์เป็นของกำนัล การพัวพันครั้งนี้ทำให้ข้าได้ถอดหน้ากากของแดนเติร์กตะวันตกออก การคิดที่จะขึ้นปกครองร่วมกันไม่มีทางเป็นไปได้ มีเพียงการแบ่งหน้าที่กันทำถึงจะสำเร็จตามเป้าหมายได้
ชาวเซวียเหยียนและชาวถู่อวี้หุนได้นำหมาป่าที่เจ้าขายให้พวกเขามาที่เชียนฉวน แต่น่าเสียดาย ในงานเลี้ยงกลางคืนถูกลูกน้อยของชาเซียวลัวโยนลงพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ
ชาวเซวียเหยียน ชาวถู่อวี้หุนโกรธมากจนชักมีดออกมา ชาเซียวลัวเห็นว่าปล่อยไปไม่ได้ จึงออกคำสั่งประหารชาวเซวียเหยียนและชาวถู่อวี้หุนที่ชักมีดออกมา งานเลี้ยงกลายเป็นงานนองเลือด เครื่องแก้วหมาป่ายักษ์ของอวิ๋นเยี่ยทำให้สองเผ่าที่รักกันอย่างพี่น้องกลายเป็นศัตรูกันภายในพริบตา ข้าคิดว่าก่อนที่ต้าถังของเราจะลงมือ เซวียเหยียนถัวและถู่อวี้หุนคงร่วมมือกันโจมตีดินแดนเติร์กตะวันตกเสียแล้ว”