เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 37 ทายาทจอมล้างผลาญอันดับหนึ่งแห่งยุค
“ขั้นตอนการเจรจาไม่ได้ยากเย็นอย่างที่ข้าคิด พูดง่ายๆ ก็คือ ใครที่มีผลประโยชน์ก็จะเอามาเป็นพวก ข้าคิดว่าจะมีการต่อกรเชิงไหวพริบและความกล้า มีแผนการชั่วร้ายซ่อนอยู่ พูดประโยคเดียวก็ต้องใช้เวลาพิจารณาถึงแปดปีเสียอีก”
อวิ๋นเยี่ยผิดหวังมาก แต่เดิมคิดว่าชวีจั๋วมีความสามารถพิเศษเหนือผู้อื่น อย่างเช่นฆ่าคน เป็นนักสอดแนม หรือมีข่าวลือยุ่งเกี่ยวกับองค์หญิง แต่ที่แท้ก็พึ่งดวง พึ่งปากของตัวเอง และนิสัยที่เป็นกันเองเพื่อทำความรู้จักกับลูกเศรษฐี สุดท้ายลูกเศรษฐีก็ได้ช่วยเหลือเขาบ้างเล็กน้อย
สายตาที่ดูถูกของถังเจี่ยนเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “เจ้าคิดว่าการเจรจาคืออะไร พูดง่ายๆ ก็คือใครที่ได้เปรียบคนนั้นก็จะชนะไป ตอนนั้นโม่ตู๋กษัตริย์ชาวชงหนูมีเงื่อนไขให้ฮั่นไทเฮานอนกับเขาหนึ่งคืน ฮั่นไท่เฮาไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ปฏิเสธอ้อมๆ ว่าตัวเองอายุมากแล้ว จึงส่งสาวงามมาให้เขาแทนถึงได้จบเรื่องนี้ จากเรื่องนี้เจ้าก็จะเห็นได้ว่าการเจรจาเป็นอย่างไร คือการที่ผู้แข็งแกร่งรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ผู้ที่อ่อนแอกว่าก็หาวิธีทำให้ตัวเองเสียหายน้อยที่สุดได้ ก็เป็นเช่นนี้แหละ เจ้าคิดว่าแคว้นอ่อนแอ ส่วนตัวเจ้านั้นแข็งแกร่ง เช่นนี้ก็ทำสิ่งที่เจ้าต้องการได้อย่างนั้นหรือ”
ปานกู้ที่ทิ้งปากกาไปจับดาบ ใช้คนเป็นหนึ่งร้อยคนบุกเข้าฆ่าคนในเขตแดนศัตรูนับไม่ถ้วน สร้างรากฐานแห่งภูมิภาคตะวันตก สุดท้ายก็แต่งตั้งตัวเองขึ้นเป็นผู้สืบทอด เจ้าคิดว่าอาวุธลับของเขาคืออะไรหากไม่ใช่อำนาจอันยิ่งใหญ่ของต้าฮั่น หากต้าฮั่นอ่อนแอ คนหนึ่งร้อยคนของเขาถูกฆ่าย่อยยับไปนานแล้ว ราชสีห์กับเสือร่วมจับมือกัน ทำไมราชสีห์ต้องสนใจความรู้สึกของแพะ
“ถังเจี่ยน ท่านคงไม่สอนให้ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาของข้าให้เป็นพวกปรับตัวไปตามสถานการณ์ใช่หรือไม่ ข้ากังวลนิดหน่อย”
มุมมองชีวิตของถังเจี่ยนมีปัญหา หากเขามีโอกาสที่จะแกล้งผู้อื่นเขาจะไม่ปล่อยไปแน่นอน หากปล่อยไป อาจโดนตลบหลัง
ชวีจั๋วนั่งคุกเขาอยู่บนเบาะรองนั่ง เอียงหูฟังอาจารย์ทั้งสองสนทนากัน คำพวกนี้ไม่สามารถได้ยินในห้องเรียนได้ เวลาหนึ่งปีกว่าของสำนักศึกษา ทำให้หนุ่มน้อยที่ฟังคำประชดไม่ออกเปลี่ยนเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถรอบด้าน
ในโลกนี้มีคนสามประเภทที่ไม่สามารถเรียนหนังสือได้ ประเภทที่หนึ่งก็คือดีอยู่แล้ว แต่หลังจากเรียนหนังสือก็กลับเปลี่ยนเป็นคนเลว และเลวยิ่งกว่าผู้ที่ไม่มีความรู้เป็นร้อยเท่า เพราะเขาได้เรียนรู้วิธีชั่วร้ายมาจากการเรียนหนังสือ
คนประเภทที่สองก็คือกลุ่มคนที่มีความสับสนในการรู้หนังสือ หลังจากอ่านหนังสือแล้วความเชื่อที่เรียบง่ายของตัวเองขัดแย้งกับสิ่งที่สอนในหนังสือ กลายเป็นคนสับสนแยกไม่ออกสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด
คนประเภทที่สามก็คือคนอย่างชวีจั๋ว เรียนรู้ตัวอักษรก็พอ ไม่ควรลงลึกด้านวิชา ไม่เช่นนั้นความรู้ต่างๆ ในหนังสือจะเปลี่ยนนิสัยที่บริสุทธิ์ร่าเริงของเขา หลังจากเรียนหนังสือไปแล้วต้องไม่เป็นผลดีกับเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นคนประเภทนี้ไม่เรียนหนังสือจะดีกว่า
ให้เขาเรียนรู้สิ่งที่ต้องการจากชีวิตหรือร่องรอยแนวทางของผู้อาวุโส และในที่สุดก็กลายเป็นวิชาความรู้ที่ได้ผลในวิธีของเขา
ปล่อยให้เป็นไปตามทำธรรมชาติ พูดกันเช่นนี้มิใช่หรือ ปล่อยให้เขาได้ผจญภัยด้วยตัวเอง นิสัยที่ค่อนข้างรอบคอบของเขา คงไม่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น
ส่งถังเจี่ยนท่ามกลางหิมะ อาการเมาเล็กน้อยทำให้หน้าของเขาแดง เดินทุลักทุเลขึ้นรถม้าไป ชวีจั๋วนั่งคุมม้าอยู่ด้านนอก บังคับม้าไปทางฉางอัน
พื้นสีขาวถูกล้อรถทั้งสองข้างเหยียบเป็นรอยลากยาว ไม่นานก็ถูกหิมะที่ตกลงมากลบรอยล้อหายไปอย่างไร้วี่แวว
หลังจากหิมะตกจะมีรอยเท้าม้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรเหลือไว้เลย กาลเวลาจะชะล้างร่องรอยทั้งหมดบนโลกมนุษย์ไป
ไม่ต้องไปคิดเรื่องแผนการที่น่ารำคาญของหลี่ซื่อหมิน เจ้าจะตีกันก็ตีไปสิ สิ่งที่ข้าควรทำข้าก็ทำไปหมดแล้ว สิ่งที่ไม่ควรทำก็ทำไปหมดแล้วเช่นกัน วันนี้ยังส่งคนน่าเบื่อมาบ่นพึมพำ พรุ่งนี้ก็ส่งมาอีก ไม่จบไม่สิ้น ข้าย้ายบ้านจากฉางอันมาก็ยังไม่เจอความสงบเสียที กลัวว่าข้าจะซ่อนอยู่ในบ่อน้ำไม่ออกมาหรืออย่างไร
การพัฒนาของสำนักศึกษาเกินกว่าที่อวิ๋นเยี่ยคาดไว้ หากวิทยาศาสตร์วิจัยสิ่งนี้จะเป็นภัยอันตราย เพียงแค่ออกจากสิ่งที่พันธนาการไว้ก็จะสามารถดำเนินการตามกฎเกณฑ์ของตัวเองได้
หลี่ไท่กำลังหมกมุ่นกับปัญหาแผ่นดินไม่เท่ากัน หลังจากที่รู้จากอวิ๋นเยี่ยเรื่องความเร็วของแสง ก็เอาแต่ถามอวิ๋นเยี่ยว่าตรวจจับความเร็วแสงได้อย่างไร สุดท้ายอวิ๋นเยี่ยก็ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา
พระเจ้า ข้าเป็นครูที่บกพร่องในการสอน การที่ข้ารู้เรื่องการเบี่ยงเบนของแสงของ เจมส์ แบรดลีย์ก็ถือได้ว่าข้าพอมีความรู้อยู่บ้าง แต่จะให้ข้าช่วยทำการทดลอง คิดจะหาเรื่องหรืออย่างไร
เขาหาตัวอย่างจากหนังสือโบราณ ได้นำกล้องรูเข็มของม่อจื๊อมาทดลองได้ผลสรุปออกมาว่าการเดินทางของแสงเป็นเส้นตรง แม้อวิ๋นเยี่ยจะรู้ทฤษฎีการการโค้งงอของแสงของไอน์สไตน์ แต่ก็ไม่คิดจะบอกเขา เพราะเขาไม่มีหลักฐานหักล้างหลี่ไท่ได้ หากยังถกเถียงกันเรื่องนี้ล่ะก็ต้องโดนเขาถามจนพูดไม่ออกเป็นแน่
หากกล้าพูดเรื่องหลุมดำกับขีดจำกัดของมวล ไม่แน่ว่าอาจจะโดนดูถูก อาจจะโดนสงสัยแม้กระทั่งความเป็นคน คิดว่าพูดเรื่องไรสาระ กล้องรูเข็มของเขาเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ชัดเจน หากเก่งจริงก็ต้องเอาหลุมดำออกมาให้ดูสิ
ระหัดวิดน้ำหมุนวนอยู่ทั่วแม่น้ำเล็กใหญ่ในฉางอัน เป็นการพัฒนาที่ดีในการใช้แรงจากธรรมชาติ แต่ตอนนี้กลายเป็นภัยร้าย มีเศรษฐีจำนวนไม่น้อยที่ทำการแก้ไขเส้นทางน้ำเพื่อสร้างระหัดวิดน้ำเพิ่ม ทำให้เกิดตะกอนทับถม น้ำจึงไหลได้ไม่ดีนัก เมื่อเกิดน้ำท่วม ราษฎรทั้งริมสองฝั่งน้ำจะเดือดร้อน
เว่ยเจิงเริ่มลงมือตรวจสอบระหัดวิดน้ำของแม่น้ำทั้งแปดสายในฉางอัน ได้ยินมาว่าเพียงแค่เจอระหัดวิดน้ำคันไหนส่งผลกระทบต่อเส้นทางน้ำก็จะจัดการทันที ระหัดวิดน้ำของตระกูลองค์หญิงหงฮั่วถูกเขารื้อถอนไปแล้ว
หงฮั่วไปฟ้องหลี่ซื่อหมินอย่างไม่พอใจ หลี่ซื่อหมินอยากจะทำให้พอใจทั้งสองฝ่าย ก็เลยให้เว่ยเจิงขอโทษ แค่คิดดูก็รู้อยู่แล้ว เว่ยเจิงที่ไปขอโทษ ต่อว่าองค์หญิงซะไม่เหลือชิ้นดี ไม่เพียงแค่ว่าองค์หญิงเย่อหยิ่ง ยังว่านางโลภมาก ไม่เพียงแค่ขายหน้าจักรพรรดิ หน้าไม่อายเท่านั้น แม้แต่ค่าความเล็กใหญ่ที่ไม่เท่ากันของข้าวก็ไม่ยอมปล่อยไป ช่างเป็นความอัปยศของฉางอันเสียจริง
อวิ๋นเยี่ยที่หลบอยู่ในบ้านก็ไม่ได้รับความสงบแต่อย่างใด การมีเรื่องไม่เว้นแต่ละวันถือเป็นเรื่องธรรมดา คนในราชสำนักต่างก็คุ้นชินกันไปแล้ว
แต่รอบนี้ไม่เหมือนเดิม หงฮั่วบอกว่าเว่ยเจิงภายนอกดูใสสะอาด แต่ความจริงแล้วทำเรื่องทุจริตไปไม่น้อย อย่างเช่นตระกูลอวิ๋นเป็นผู้ประสบเคราะห์ร้ายที่น่าสงสาร เห็นๆ กันอยู่ว่าบ้านราคาสามพันเหรียญ ก็ถูกเอาไปดื้อๆ ในราคาเพียงแค่หนึ่งพันเหรียญ ตระกูลอวิ๋นที่น่าสงสารไม่กล้าต่อราคาผู้ตรวจสอบ เก็บความขมขื่นไว้ ยอมโดนเอาเปรียบทั้งน้ำตา
คนอื่นต่างพากันเกรงกลัวเว่ยเจิง แต่องค์หญิงหงฮั่วไม่กลัว วันนี้จะออกหน้าแทนตระกูลอวิ๋น เพื่อทวงความยุติธรรม
ได้ยินข่าวนี้อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะขอรับใช้องค์หญิงไปสามชั่วอายุคน แต่สำหรับความชั่วร้ายของหลี่ซื่อหมินนั้น อวิ๋นเยี่ยคิดว่าหยุดความคิดนี้จะดีกว่า
เจ้ามีเรื่องก็ไปก่อเรื่อง ไปโวยวาย ชักดิ้นชักงอก็ได้ แต่อย่าลากตระกูลอวิ๋นเข้าไปเกี่ยวได้ไหม ตระกูลอวิ๋นอุตส่าห์เงียบจนแทบจะหายไปจากฉางอันอยู่แล้ว ราษฎรก็ยังถามอยู่ตลอด ทายาทจอมล้างผลาญของตระกูลอวิ๋นไปไหนเสียแล้ว ถูกฝ่าบาทกำจัดไปแล้วใช่หรือไม่ ถือเป็นเรื่องสบายใจสำหรับทุกคน
เว่ยเจิงได้ยินคำให้การขององค์หญิงหงฮั่วก็หัวเราะออกมาพร้อมกับยอมรับเรื่องนี้ ซ้ำยังเป็นคนลงมือซื้อขายด้วยตัวเอง เขาให้อวิ๋นเยี่ยเพียงหนึ่งพันเหรียญ ไม่ได้ให้มากไปกว่านั้น คิดๆ ดูแล้วตัวเองก็ให้เยอะพอสมควร บ้านของเพื่อนบ้านตระกูลเว่ยเป็นร้านขายดอกไม้ชั้นสูง อย่างชาดแดงก็ซื้อมาในราคาหนึ่งหมื่นเหรียญ ตอนนี้จัดงานเลี้ยงทุกวัน สามีไม่เอาไหนเมาสุราไปมาหาสู่กับเหล่าขุนนางทุกวัน ทั้งหมดเป็นเพราะเขาเป็นเพื่อนบ้านของตระกูลเว่ย
ชื่อเสียงของตัวเองก็ถูกอวิ๋นเยี่ยเอาไปขายแล้ว เจ้าพูดสิว่าใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ
เพียงคำนี้ออกมา ฉางอันก็เกิดความโกลาหล มีหลายคนมองดูเพื่อนบ้านตัวเอง ก็อดกลั้นความโกรธไว้ไม่ได้ ขอแค่เป็นบ้านตระกูลผู้ดี เพื่อนบ้านของพวกเขาล้วนเป็นพ่อค้ารายใหญ่ และเป็นคนรวยทั้งหมด นอกจากคนมีเงินก็ไม่มีคนระดับชั้นอื่นแล้ว
เสียงเรียกร้องประท้วงอวิ๋นเยี่ยดังไปทั่วฉางอันทันที คนที่ถูกอวิ๋นเยี่ยหลอก ก็ร่วมมือกันไปทวงเงินค่าห้องของตัวเองจากตระกูลอวิ๋น
แต่สายไปแล้ว เงินของตระกูลอวิ๋นกลายเป็นสิ่งของกองเท่าภูเขาไปหมดแล้ว พอถามกับผู้ดูแลของตระกูลอวิ๋น เขาก็เอาแต่ร้องไห้พร้อมบอกว่าท่านอวิ๋นใช้เงินหมดแล้ว เอาไปซื้อแต่พวกของเก่าผุพัง
สิบล้านเหรียญเชียวนะ เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธ นี่สินะที่เรียกว่าทายาทจอมล้างผลาญ ทายาทจอมล้างผลาญทั้งฉางอันรวมกันยังสู้เขาคนเดียวไม่ได้เลย
ซินเย่วพาน่ารื่อมู่ไปไหว้ผู้ใหญ่ พอพูดถึงเรื่องการใช้เงินของสามีตัวเองก็น้ำตาจะไหล ฝืนยิ้มและบอกไปว่าที่บ้านยังพอมีเงินคงเหลืออยู่บ้าง ผู้เช่าจ่ายค่าเช่าให้หมดแล้ว ใช้อย่างประหยัดหน่อยก็พออยู่ได้
“ท่านพี่ ท่านว่าข้าแสดงเป็นอย่างไรบ้าง” ซินเย่วนั่งบนเบาะรองนั่ง เอาผมมาเขี่ยที่จมูกอวิ๋นเยี่ยเบาๆ
อวิ๋นเยี่ยที่แกล้งหลับก็ต้องลุกขึ้นมานั่งอย่างช่วยไม่ได้ เห็นซินเย่วแกล้งร้องไห้จึงบีบจมูกนางเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เป็นอย่างไรล่ะ ตอนนี้สามีเจ้ามีชื่อเสียด้านล้างผลาญสมบัติเสียแล้ว วันนี้จั่งซุนมาหาข้าบอกว่าหากขัดสนจริงๆ ให้บอกเขา เขาจะให้คนรับใช้นำเงินมาให้พวกเราใช้บรรเทาความเดือดร้อนไปก่อน”
น่ารื่อมู่ที่พิงหลังอ่อนนุ่มของอวิ๋นเยี่ยอยู่หัวเราะร่าเริง เมื่อวานซินเย่วยังพานางไปนับทองที่คลังสมบัติอยู่เลย นางแอบหยิบทองมาหนึ่งแท่ง กะจะให้ช่างทำเครื่องประดับเคราขาวในตลาดทำกำไลข้อมือแล้วก็เครื่องประดับผม ซินเย่วมีเครื่องประดับผมมากมาย แต่ตัวเองมีเพียงสองอัน
ซินเย่วผู้รักในทรัพย์สมบัติจะยอมให้นางมีโอกาสขโมยเงินได้อย่างไร ดึงทองจากมือไปวางเชยชมไว้บนชั้นวางของ แล้วตีก้นน่ารื่อมู่ไปสองที
เด็กสาวผู้ซื่อสัตย์แห่งฉ่าวหยวนโดนตียังไม่รู้จักวิ่งหนี ยืนรอโดนตีอยู่ที่เดิม กลับมาก็มาฟ้องอวิ๋นเยี่ย สุดท้ายก็โดนอีกหนึ่งที
อวิ๋นเยี่ยใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาทองคำสองก้อนใน**บสมบัติของตัวเองเจอเพื่อเอาให้น่ารื่อมู่ ให้นางเอาไปทำเครื่องประดับที่นางชอบอย่างสบายใจ แล้วยังให้ไข่มุกกับเครื่องแก้วอีกด้วย
นิสัยซินเย่วก็เป็นเช่นนี้ เห็นอวิ๋นเยี่ยกัดหัวไช้เท้าก็แย่งมากัดหนึ่งคำ แล้วก็บอกว่าไม่อร่อย ตอนนี้พอเห็นสมบัติก็ตาแดงก่ำ แย่งกันกับน่ารื่อมู่ ซินเย่วกำลังตั้งครรภ์ น่ารื่อมู่ไม่กล้าแย่งกับนาง ตามองทองคำสองก้อนที่ตัวเองมี ที่เหลือโดนซินเย่วแย่งไปหมด ดึงแขนเสื้ออวิ๋นเยี่ยไว้แน่น ร้องไห้ขี้มูกโป่ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก อวิ๋นเยี่ยทำได้เพียงบอกซินเย่วว่า “เครื่องแก้วกับไข่มุกในกล่องเจ้าเต็มจนจะใส่ไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมยังมาแย่งของกับเด็กอีก”
“ลูกเจ้าอยู่นี่ เจ้าอายุแค่นี้จะมีลูกสาวตัวโตขนาดนี้ได้อย่างไร เดี๋ยวก็เป็นสามี เดี๋ยวก็เป็นพี่ชาย เดี๋ยวก็เป็นลูก สรุปจะเป็นอะไรกันแน่”