เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 4 ข้าจะเข้าศึกษา
“พี่ชายข้าอยากเข้าศึกษา” ต้ายาเงยหน้าพูดชัดๆออกมาทำเอาอวิ๋นเยี่ยตกใจ นี่ไม่ใช่ประเทศจีนในอีกหนึ่งพันสี่ร้อยปี ต้ายาก็ไม่ใช่เด็กไม่ได้เรียนหนังสือเพราะยากจนจึงเข้าโรงเรียนไม่ได้ นางมีอาจารย์สอน นักการศึกษาอายุเจ็ดสิบที่หนวดเคราหงอกแล้วทั้งหมด
“เจ้าไม่ใช่ศึกษาอยู่หรือ อาจารย์ซ่งหย่วนสอนได้ไม่ดีหรือ เขาเป็นอาจารย์ที่พี่ชายตั้งใจเชิญมาจากฉางอันโดยเฉพาะ เจ้าไม่ใช่ชอบเรียนกับอาจารย์ซ่งหย่วนมาตลอดอยู่แล้วหรือ”
“อาจารย์ว่าข้าฉลาดเฉลียวจนเขาไม่มีอะไรจะสอนข้าได้อีกแล้ว วันสองวันนี้ก็จะขอลาออกกับพี่ชาย เช่นนี้แล้วข้าก็จะไม่มีอาจารย์สอนอีก พี่ชาย ข้าชอบการศึกษาจริงๆ ท่านให้ข้าไปเข้าสถานศึกษาจะได้ไหม”
เป็นครั้งแรกที่ต้ายาลากแขนเสื้ออวิ๋นเยี่ยแกว่งไปแกว่งมาอย่างออเซาะ เรื่องเช่นนี้แต่ก่อนเป็นลิขสิทธิ์ของพวกเสี่ยวยาเท่านั้น ต้ายาไม่เคยทำมาก่อน
“เอาเถอะ เอาเถอะ พี่ชายมึนหัว เจ้าให้พี่ชายนั่งลงแล้วพวกเราค่อยๆคุยเรื่องนี้กัน ไม่ใช่ยังมีรุ่นเหนียง เสี่ยวยา ตงซีหนานเป่ยอีกหลายคนหรือ อาจารย์ซ่งหย่วนก็ไม่มีอะไรจะสอนพวกนางแล้วเหมือนกันหรือ”
รู้สึกไม่สู้พอใจนัก เป็นอาจารย์นักเรียนดีก็ต้องสอนนักเรียนเลวก็ต้องสอนไม่ใช่มาเลือกสรรหาเอง หากอาจารย์ต่างเหมือนกับเจ้า นักเรียนไม่ใช่ต้องไปเลี้ยงแกะกันหมดแล้วจะได้ความรู้อะไรกัน
“พี่รุ่นเหนียงไม่เคยเข้าเรียน เสี่ยวยาวิ่งทั้งวันจนข้าวิ่งตามไม่ทัน เสี่ยวตงคิดเงินทั้งวัน เสี่ยวหนานหาเรื่องกินทั้งวัน เสี่ยวซีเสี่ยวเป่ยติดตามทหารคุ้มกันฝึกวิทยายุทธ ที่เข้าเรียนมีข้าคนเดียวเท่านั้น”
เพื่อเข้าศึกษาแล้วต้ายาเล่าเรื่องการเรียนออกมาทั้งหมด ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เรื่องนี้ท่านย่าคงจะเห็นด้วย นางไม่ชอบให้เด็กผู้หญิงเรียนหนังสืออยู่แล้วมักบอกว่าเด็กผู้หญิงเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์ อนาคตหากความรู้ดีเกินไปจะทำให้ฝ่ายสามีลำบากใจ แค่รู้หนังสือก็พอแล้วเขียนจดหมายได้ก็ถือว่าได้มาตรฐาน หลานชายตัวเองฉลาดมากเกินไป หากเด็กผู้หญิงก็ฉลาดด้วยจะทำให้สวรรค์อิจฉาไม่แน่ว่าอาจจะส่งภัยร้ายอะไรลงมา ดังนั้นพอพวกเด็กสาวสามารถเขียนจดหมายได้ก็จะไม่สนใจแล้วปล่อยให้พวกนางทำอะไรก็ได้ ต้ายาชอบเรียนหนังสือดังนั้นจึงยืนหยัดอยู่ต่อเรื่อยๆจนกระทั่งเหวินฟู เหวินซ่งหย่วนไม่มีอะไรจะสอนอีก
“อวิ๋นซัน ไปตามน้องสาวในบ้านมาทั้งหมด ข้ามีเรื่องจะถาม” อวิ๋นเยี่ยโมโหมากที่แต่ละคนเพิ่งหลุดจากผู้ไม่รู้หนังสือก็ไม่ยอมเรียนหนังสืออีก นี่เป็นความอัปยศของตระกูลอวิ๋น เรื่องอื่นยังพอให้อภัยมีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ผ่อนปรนไม่ได้ มารดาที่มีความรู้กว้างขวางจะมีผลกระทบต่อบุตรตัวเองเท่าไรอวิ๋นเยี่ยเข้าใจได้อย่างดีมาก เขาไม่ต้องการให้รุ่นหลังของตระกูลอวิ๋นโง่ลงรุ่นต่อรุ่นไปเรื่อยๆจนรุ่นสุดท้ายแล้วต่างน้ำมูกไหลเลี้ยงแกะกัน หากผลสุดท้ายเป็นเช่นนี้แล้วตัวเองจะเปิดสถานศึกษาไปทำไม
พวกน้องๆเดินเข้ามาทีละคน ที่เดิมเคยหัวเราะร่าก็คอยดุนหลังกัน พอเห็นอวิ๋นเยี่ยหน้าตาบึ้งตึงก็ค่อยๆสงบลงทีละคน แม้แต่เสี่ยวยาที่ซนที่สุดก็ยังยืนนิ่งๆไม่กล้ามีเสียง
“ใครอนุญาตให้พวกเจ้าไม่ต้องเรียนหนังสือ ข้าไม่ใช่บอกเหตุผลให้พวกเจ้ารู้หมดแล้วหรือ ทำไมแต่ละคนจึงยังเล่นอย่างโง่ๆไปเรื่อยๆ รุ่นเหนียงเจ้าอายุมากที่สุดเจ้าพูดมา”
เสียงของอวิ๋นเยี่ยดุดันขึ้นโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นเรื่องที่น้องๆทั้งหมดไม่เคยประสบมาก่อน ก่อนนี้พี่ชายจะคุยกับพวกนางด้วยเสียงเบาที่นิ่มนวล เวลานี้เกิดเป็นทางตรงข้ามอย่างมหาศาลจนแทบจะรับไม่ไหวแล้ว ดูพวกนางแต่ละคนตัวสั่นงันงกโดยเฉพาะเสี่ยวยาน้ำตาคลอเบ้า อวิ๋นเยี่ยออกจะใจอ่อน แต่พอนึกถึงผลในอนาคตก็ต้องแข็งใจไล่ถามต่อไป
“พี่ชาย ท่านย่าว่าเด็กผู้หญิงไม่ต้องการให้รู้มากเกินไป สามารถอ่านจดหมายเขียนจดหมายได้ก็พอแล้ว” รุ่นเหนียงใจกล้าพูดออกมา
“ท่านย่าอายุมากแล้ว บางเรื่องเป็นความคิดที่ล้าสมัย สามารถอ่านจดหมายเขียนจดหมายจะต่างอะไรกับพวกคนป่าคนเถื่อนที่ไม่รู้หนังสือ ข้าตระกูลอวิ๋นไม่ผลิตขยะ เด็กผู้หญิงก็ต้องชำนาญโคลงกลอนรู้เรื่องราวโลก ครั้งนี้ข้าให้อภัยพวกเจ้า ตั้งแต่นี้ไปจะต้องตั้งใจศึกษาห้ามปล่อยปละละเลย ทุกสามวันข้าจะทดสอบความรู้พวกเจ้า รุ่นเหนียงต่อไปห้ามวิ่งไปบ้านฉินเด็กสาวโตแล้วต้องรู้จักสำรวม เสี่ยวยาห้ามไปวุ่นวายที่ตลาดอีก เสี่ยวซีเสี่ยวเป่ยห้ามไม่ให้ฝึกวิทยายุทธให้เรียนได้ทันก่อนจึงให้ไปได้ เสี่ยวตงหากข้าเห็นเจ้าเล่นกระป๋องเงินอีกข้าจะริบมา เสี่ยวหนานห้ามไม่ให้วุ่นแต่เรื่องกินให้ตั้งใจเรียน ครั้งนี้ถ้าว่าพวกเจ้าผิดนั้นสู้ว่าข้าผู้เป็นพี่ชายไม่ได้ใส่ใจพวกเจ้าเอง
การเรียนเป็นเรื่องใหญ่มีผลตลอดชีวิต เวลานี้ดูเหมือนไม่มีประโยชน์ อนาคตพวกเจ้าจะรู้ความห่างของผู้มีความรู้กับผู้ไม่มีความรู้ ทีหลังพวกเจ้าจะเป็นภรรยาเป็นมารดาของคนอื่น หากแต่ละคนไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วจะช่วยสามีจะสอนบุตรได้อย่างไร จะดูแลกิจการครอบครัวอย่างไร ไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่มีสมบัติเป็นหมื่นก้วนแล้วจะยืนหยัดอยู่ได้สักกี่น้ำ จำไว้ว่าไม่ว่าต่อไปพวกเจ้าจะแต่งงานกับใครมีชีวิตอย่างไร ต้องจดจำถึงความสำคัญของการศึกษา เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับลูกหลานรุ่นต่อๆไปจะไม่ใส่ใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว จำกันได้ไหม”
น้องๆทุกคนต่างตอบรับเสียงเบา เห็นพวกนางต่างพอเข้าใจใบหน้าอวิ๋นเยี่ยจึงคลายความขึงขังลงมา เสี่ยวยาร้องโฮแล้วโผเข้ากอดอวิ๋นเยี่ยร้องไห้แทบจะขาดใจ คนอื่นก็ล้อมอวิ๋นเยี่ยร้องไห้ ต้ายารู้สึกผิดจนแทบทนไม่ได้
กอดปลอบพวกตัวเล็กกันแล้วบอกอี้เหนียงว่า “ระหว่างนี้เจ้าก็ต้องฝึกหัดการดูแลบ้าน พี่สะใภ้เจ้าไม่อยู่เจ้าก็ต้องเป็นคนดูแลให้ขอคำสั่งสอนจากผู้ดูแลบ้านเฉียน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องการเรียนของน้องๆเจ้าก็ต้องดูด้วย ความจริงข้ารู้สึกติดค้างเจ้ามากที่สุด ตอนนี้ยังมีเวลาถ้าเรียนได้ก็ให้เรียนเถอะ
วันนี้หากต้ายาไม่มาพูดเรื่องเข้าศึกษาก็แทบจะทำให้พวกเจ้าพลาดกันไปทั้งชีวิต ข้าในฐานะเจ้าบ้านไม่เหมาะสมห่วงแต่สถานศึกษากับราชสำนักทำให้ทอดทิ้งพวกเจ้าไป เป็นความผิดของพี่ชายเอง”
“พี่ชายเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดในโลก เพราะพวกเราขี้เกียจเกินไปไม่คิดใฝ่หาความรู้คิดแต่เล่นสนุก ต่อไปจะไม่อีกแล้ว พวกเราจะเรียนกับอาจารย์ซ่งหย่วนดีๆ” อี้เหนียงก็ร้องไห้บอกอวิ๋นเยี่ย
เวลานี้เอง เหวินซ่งหย่วนที่หนวดเคราหงอกขาวเดินย่างเท้าเข้ามา อาจารย์มีลักษณะพิเศษคือไม่เคยเดินเร็ว ต่อให้บ้านไฟไหม้ก็ยังจะไปเรื่อยๆโดยไม่ตกอกตกใจ เขาให้ความสำคัญกับความเรียบร้อยมากตามที่เหล่าเฉียนว่า ผมของอาจารย์เหวินฮูหวีอย่างเรียบร้อยถึงแม้ไม่มากแต่ทำให้ดูสดใส
“อาจารย์ซ่งหย่วน ก่อนนี้ข้าละเลยไปทำให้การสอนของอาจารย์ไม่สามารถทำได้ เป็นความผิดของข้า ขออาจารย์อย่าได้ถือโทษ ข้าได้สั่งสอนน้องๆที่ไม่เอาถ่านไปแล้ว ขอให้อาจารย์เห็นแก่ความไม่รู้ของพวกนาง สั่งสอนพวกนางใหม่เถอะ”
เหวินฮูกวาดสายตาไปที่เหล่าเด็กสาว ลูบหนวดเคราว่า “การสอนหนังสือเป็นหน้าที่ของข้าไม่กล้าละเลย ย่อมฟังคำสั่งโหวเหยีย เพียงแต่คุณหนูต้ายานั้นข้าได้สอนจนสิ้นความรู้ข้าแล้ว เด็กคนนี้ฉลาดเฉลียวความสามารถสูงส่ง ข้าแสนละอายที่ความรู้ตื้นเขินไม่สามารถสอนเด็กคนนี้ได้อีก จะได้ไม่ทำให้ลูกหลานคนอื่นเสียโอกาส”
สำหรับตระกูลอวิ๋นแล้วอาจารย์ชราก็ยังมีความรู้สึกที่ดี บรรยากาศในบ้านมีความติดดินไม่ฟุ้งเฟ้อ คุณหนูน้อยเหล่านี้แม้ไม่ชอบเรียนหนังสือแต่ก็เป็นเด็กดีมีมารยาทให้ความเคารพอาจารย์ ผู้หญิงเรียนหนังสือไม่ได้ถูกมองเป็นเรื่องสำคัญอยู่แล้ว ตระกูลอวิ๋นถือว่าเป็นตระกูลเปิดกว้างที่หาได้ยาก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยทวงถามเรื่องเด็กผู้หญิงที่ไม่ได้เข้าเรียน
“ต่อนี้ไปขอให้อาจารย์เข้มงวดในการสั่งสอนให้ถือเสมือนว่าพวกนางเป็นเด็กผู้ชาย การทำโทษเช่นไม้บรรทัดตีนั้น ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ใส่ใจขอให้อาจารย์ทำได้เต็มที่ ในเมื่อต้ายาได้จบการศึกษาจากอาจารย์แล้ว ขอให้อาจารย์มีจดหมายรับรองเพื่อจะได้ให้นางหาอาจารย์ใหม่ต่อไป”
อาจารย์ชราเหวินฮูย่อมพยักหน้าติดๆกัน ให้สอนเด็กผู้หญิงเช่นเดียวกับสอนเด็กผู้ชายง่ายขึ้นมามาก ควรรู้ว่าเด็กผู้หญิงเกรงกลัวการถูกลงโทษยิ่งกว่าเด็กผู้ชาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการสอนของตัวเองก็จะสบายขึ้นมาก
เรื่องความรู้อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถตัดสินเองได้ จึงนำต้ายาไปสถานศึกษาให้อาจารย์หลี่กังทดสอบดูว่ามีความรู้ถึงระดับไหนแล้ว เวลาสามปี เด็กผู้หญิงคนหนึ่งสามารถดึงความรู้จากนักวิชาการชราไปจนหมดเกลี้ยง อวิ๋นเยี่ยออกจะไม่เชื่อ
หลี่กังเองก็แปลกใจ แต่ความเป็นจริงที่ผ่านมาตระกูลอวิ๋นมักมีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น จึงร่วมกับอาจารย์อวี้ซันด้วยความชื่นมื่นทดสอบต้ายาไปชั่วยามกว่า ยังดีที่ต้ายาคุ้นเคยกับอาจารย์หลี่กังกับอวี้ซันจึงผ่านไปได้โดยราบรื่น หากเป็นอาจารย์อื่นแค่ความขี้อายคงทำให้นางพูดอะไรไม่ออกเลย
เมื่อการทดสอบแล้วเสร็จ อวิ๋นเยี่ยรอผลการประเมินจากอาจารย์ชรา ใครจะรู้หลี่กังมือไม้สั่นถามอวิ๋นเยี่ยว่า “ปิศาจเช่นนี้ ตระกูลอวิ๋นเจ้ายังมีอีกเท่าไร หากมีเล็กกว่านี้สักสองปี ขอให้หลานชายคนเล็กข้าจะได้ไหม”
“ไม่รู้ ที่เหลือมีแต่ห่วงเล่นแล้ว ยังดูไม่ออก หากหลานชายคนเล็กท่านมีฝีมือให้ไปบ้านอวิ๋นหาเองข้าไม่คัดค้าน รับรองว่าหลานชายคนเล็กท่านคงได้ตายอนาถด้วยฝีมือพวกนาง”
“เช่นนั้นถือว่าตกลงแล้ว หลานชายข้าไม่ใช่ธรรมดา อีกไม่กี่วันก็จะมาเข้าเรียนที่สถานศึกษา หากเขาล่อหลอกสาวบ้านอวิ๋นไป ข้าไม่ขอรับผิดชอบด้วย”
ตาแก่คนนี้อยู่อย่างสุขสบายอิสรเสรี บุตรชายหลี่เซ่าสือแสนจะโง่เง่าไม่เหมาะที่จะคลุกอยู่ในวงการขุนนาง อาศัยบารมีบิดาได้เป็นซือหม่าที่กวนโจวบ้านเดิมในเหอเป่ย เมื่อเติบใหญ่ขึ้นตามวัยของหลี่กังอวิ๋นเยี่ยเลยใช้อิทธิพลทางทหารย้ายเขามารับตำแหน่งที่ฉางอันได้เลื่อนตำแหน่งเล็กๆอีกหนึ่งขั้น ตามที่หลี่กังฝากฝังมา บุตรชายตัวเองมีฝีมือระดับไหนตัวเองย่อมรู้ดี เป็นขุนนางเล็กๆระดับหกยังพอไหวหากต้องรับผิดชอบอะไรจริงจังจะต้องเกิดปัญหาแน่นอน จึงทำตามที่เขาต้องการบรรจุเขาให้เป็นขุนนางลอยที่ซือหนงซื่อ
หลี่กังสิ้นหวังต่อบุตรชายมานานแล้วแต่รักหลานชายคนเล็กหลี่อันเหรินสุดสวาทขาดดิ้น มีอายุเพียงสิบเอ็ดปี ตามที่หลี่กังคุยโม้เองว่ามีความสามารถพิเศษที่ความจำสุดยอดอ่านอะไรแล้วไม่ลืมเลย แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างชัดเจนถึงปรากฏการณ์ที่แข็งแกร่งและอ่อนด้อยมีการสลับรุ่นกัน
อวี้ซันก็ชื่นชมต้ายาถูกต้ายาพยุงออกมานอกอาคารด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใส ชมเชยตระกูลอวิ๋นไม่หยุดปากว่ามีอัจฉริยะหญิงแบบเซี่ยเต้าอวิ่นอีกคนแล้ว บอกว่าครั้งก่อนนั้นซินเย่ว์ไม่ได้อยู่ข้างกายเขา หากเติบโตข้างกายเขาจะไม่แพ้ต้ายาแน่ ทำให้หลี่กังกับอวิ๋นเยี่ยหัวเราะงอหาย พูดกันใหญ่ว่าอาจารย์อวี้ซันช่างขี้อิจฉาแท้ๆ
อาจารย์หยวนจางเพิ่งจบการสอนออกมายกกระติกน้ำชาตัวเองดื่ม หลังจากที่ได้รับรู้ถึงสาเหตุที่ทุกคนหัวเราะแล้วถามต้ายาไม่กี่คำแล้วบอกว่า “พี่ชายเจ้าหากไม่ได้รับความรู้จากอาจารย์ผู้วิเศษเหล่านั้น ไม่เหมาะที่จะถือรองเท้าให้เจ้าด้วยซ้ำ”
ผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านี้อายุอานามมากแล้วมองทะลุสังคมโลกไปหมดแล้ว ชื่นชอบต่อการที่ได้เห็นพวกเด็กๆเล่นสนุกกันอย่างมากที่สุด ไม่ได้สนใจเรื่องราวราชสำนักเลย ขังตัวเองอยู่ในหอคอยงาช้าง มีชีวิตอย่างสุดแสนรื่นรมย์ ค้นคว้าวิชาการที่ตัวเองชื่นชอบ นึกอะไรได้ก็เขียนอะไรลงไปบ้าง ย่อมมีลูกศิษย์ลูกหาคอยรวบรวมเป็นเล่มพิมพ์ออกเป็นตำรา สำหรับพวกเขาแล้วตำราที่มีกลิ่นหมึกใหม่ๆเป็นสุดที่รักของพวกเขา
ในสถานศึกษาล้วนมีแต่พวกมนุษย์ประหลาดที่หลงใหลการอ่านรู้เพียงการสอนหนังสือ สองปีก่อนยังมีความคิดจะไปคลุกในวงการขุนนางแต่ใครจะรู้ว่าพออยู่ในสถานศึกษานานเข้า แต่ละคนล้วนลืมความตั้งใจดั้งเดิมต่างรักสถานศึกษานี้ การเป็นขุนนางก็ใช่ว่าจะเป็นที่เคารพของผู้คนมากเท่าเป็นอาจารย์