เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 41 ปัญหาเรื่องพรหมจารีของหญิงอายุห้าสิบ
หลี่จิ้งกำลังศึกษาภูมิประเทศของทุ่งหญ้าหลี่จี และระดมกำลังทหารออกไปแนวหน้า ตู้หรูฮุ่ยกำลังเตรียมอาหารและอุปกรณ์ หลี่เฉิงเฉียนเตรียมพร้อมออกเดินทางทำศึกไปพร้อมกับขบวนรถ หลี่ซื่อหมินกำลังเตรียมออกคำสั่งคัดเลือกทหารหลวงในหมู่ราษฎรครั้งใหญ่ ฝางเสวียนหลิงกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมเจ้าหน้าที่พลเรือนเพื่อเข้าร่วมกองทัพ แม้แต่จั่งซุนก็เริ่มกินมังสวิรัติ เพื่ออวยพรให้แก่เหล่าทหาร กองทัพแห่งต้าถังเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งเมืองยุ่งวุ่นวายไปหมด
มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่ว่างมากๆ คำเชิญร่วมหน่วยทหารทั้งสองครั้งถูกเขาปฏิเสธด้วยข้ออ้างที่ว่าแผลของเขายังไม่หายดี เทียบกับการทำสงคราม เขาชอบไปนั่งคุยกับหวงสู่มากกว่า
“เจ้าหลบอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนทั้งวัน คลุกคลีอยู่แต่กับภรรยา เจ้ายังมีความเป็นชายอยู่หรือไม่”
“ท่านโหว เมื่อก่อนข้าน้อยไปไหนมาไหนคนเดียว ผจญความลำบากมานับไม่ถ้วน ตอนนี้อยากอยู่กับลูกกับเมีย อาจจะน่าเบื่อไปหน่อย ข้ามันไร้ความสามารถ ก็เลยชอบอะไรที่มันน่าเบื่อแบบนี้ ภรรยาก็ท้องโตแล้ว ตอนนี้ยังออกไปไหนไม่ได้”
ความคิดของหวงสู่เป็นเช่นนี้ เป็นเถ้าแก่ ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างสงบ คนเรามักมีทางของตัวเอง ทั้งหมดเป็นเพราะฟ้าลิขิตไว้แล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่เคยคิดว่าเขากับหวงสู่แทบไม่ต่างกันเลย คำที่บอกกับหวงสู่ เป็นคำที่เหล่าเฉิงเคยบอกกับอวิ๋นเยี่ย
วั่งไฉลากรถม้าพาอวิ๋นเยี่ยเข้าไปในบ้าน ทั้งคนทั้งม้าต่างก็ไม่อยากกลับบ้าน ใช้ความเร็วที่ช้าที่สุดเพื่อเดินทางกลับบ้าน กอหญ้าแห้งข้างทางมีการเคลื่อนไหว ก็เลยกระโดดลงจากรถม้า ใช้ไม้ตีดูว่าจะมีกระต่ายออกมาหรือไม่ เห็นฝูงนกกระจอกที่พักผ่อนอยู่บนต้นไม้ร่วงลงมา ก็เลยโยนหินไปทำให้พวกมันตกใจบินหนี
ภรรยาที่บ้านตอนนี้ท้องใหญ่มากแล้ว อีกเดือนเดียวก็จะคลอดแล้ว พอตั้งครรภ์อารมณ์ก็ขึ้นๆ ลงๆ นิสัยเอาแต่ใจไม่มีใครเกิน ชอบให้น่ารื่อมู่คอยปรนนิบัติ ต่อให้นางทำได้ไม่ดี ก็ต้องการให้นางคอยอยู่ข้างๆ ตัวเอง
เดิมทีคิดว่าน่ารื่อมู่จะน้อยใจ ใครจะไปรู้น่ารื่อมู่เองก็ชอบอยู่ข้างๆ ซินเย่ว โดนชี้ให้ทำโน่นทำนี่ ก็ไม่บ่นสักคำ ใบหน้าใสซื่อยิ้มแย้มทั้งวัน
อวิ๋นเยี่ยเคยพูดเรื่องนี้กับซินเย่วหลายรอบแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นผล
“น่ารื่อมู่ชงชายังกินไม่ได้เลย นางชงชาจนใบชาจะไม่เหลือแล้ว คนรับใช้ก็มีมากมาย เจ้าก็ใช้แต่นางคนเดียว”
ขณะที่เพิ่งถึงบ้านได้ไม่นาน กำลังปลดเชือกให้วั่งไฉอยู่ ซินเย่วก็ออกมาตอนรับ ดันน่ารื่อมู่ที่มาต้อนรับด้วยกันกลับเข้าไป ให้ไปเตรียมน้ำชา ส่วนตัวเองกระตือรือร้นเอาแปรงให้อวิ๋นเยี่ยแปรงฝุ่นออกจากเสื้อผ้า
“น่ารื่อมู่จะอยู่ที่บ้านได้อีกไม่นานแล้ว ท่านเป็นผู้ชายท่านไม่เข้าใจ สำหรับนางแล้วบ้านเราไม่ใช่สถานที่ที่นางคุ้นเคย มีเพียงทำงานเยอะๆ ให้ยุ่งๆ เข้าไว้ ในใจเอาแต่คิดว่าจะเอาคืนข้ายังไง เช่นนี้นางถึงจะไม่รู้สึกเหงา ถึงจะนึกถึงบ้านหลังนี้บ้าง ท่านคิดว่าข้าชอบให้นางล้างเท้าให้หรืออย่างไร ล้างทีเท้าข้าเจ็บไปสองวัน เพียงแค่อยากให้นางมีความสุขบ้าง”
ซินเย่วเพียงพูดเรื่องนี้ขึ้น ก็ดูท่าทางฉลาดมีไหวพริบ ดูมีกลยุทธ์มากกว่าตอนแม่ทัพหลี่บัญชากองกำลังทหารเสียอีก
“พวกเจ้าช่างประหลาด คนหนึ่งชอบแกล้งคน อีกคนหนึ่งชอบโดนแกล้ง ข้าไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ไม่เข้าใจเรื่องผู้หญิงอย่างพวกเจ้าจริงๆ”
“หากท่านพูดเรื่องการทหารข้าเองก็ไม่เข้าใจ นั่นคือเรื่องที่ท่านต้องดูแล หากผู้หญิงเข้าไปยุ่งจะเป็นเรื่องไม่งาม ท่านไม่สังเกตหรือว่าผู้หญิงจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้ แผนที่ของท่านข้าก็ดูไม่เข้าใจ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องการทหาร ท่านก็วางกองไว้เต็มโต๊ะไปหมด ถ้าหากถูกสายลับเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะเสียกำลังทหารไปเท่าไหร่ นี่คือกุญแจ ข้าเก็บไว้ให้ท่านหมดแล้ว ให้พวกลุงเจียงค่อยเฝ้าให้ ก่อนหน้านั้นเห็นซือซือกับเสี่ยวอู่ยืนดูธงที่ท่านปักไว้บนแผนที่ จะให้เห็นเช่นนี้ไม่ได้”
“สำหรับเรื่องในบ้าน ท่านก็ดูแลให้น้อยลง ข้าไม่รังแกน่ารื่อมู่หรอก นางมีฮ่วนเหนียงค่อยช่วย อดทนต่อการโดนกลั่นแกล้ง อย่าคิดว่าข้าดูไม่ออกว่าแกล้งทำเป็นน่าสงสารให้ท่านเอ็นดู เมื่อก่อนท่านไม่เคยว่าข้า ตอนนี้ไม่กี่วันท่านก็ว่าข้าไปแล้วสี่ห้ารอบ อย่ามองว่านางใสซื่อ ที่จริงนางเข้าใจทุกอย่าง ท่านรู้จักอนุภรรยาตัวเองน้อยไปแล้ว”
รับแปรงจากมือซินเย่ว แล้วเอาไปแปรงให้วั่งไฉด้วยเลย วั่งไฉในหน้าหนาว สีขนสวยสด มันเงา ตอนนี้สีขนชัดเจนขึ้น เป็นสีน้ำตาลแดงเข้ม บนหน้าเรียวยาวมีด่างสีขาวตรงกลางระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง กีบเท้าทั้งสี่ข้างสีขาว หากเป็นม้าดำ ก็คงเป็นม้าดำสลับขาวในตำนาน
หลี่ฉุนเฟิงเป็นคนชอบหาเรื่องให้โดนด่า กล้าบอกว่าวั่งไฉมีถุงใต้ตา เป็นกาลกินี ต้องรีบจัดการม้าตัวนี้
จัดการอะไรกันล่ะ เจ้าบอกให้จัดการข้ายังจะดีกว่า ข้านี่แหละที่เป็นกาลกินี ชื่อเสียงชั่วช้าดังไปทั่วฉางอัน จัดการวั่งไฉ? อยากตายหรืออย่างไร มีม้าบ้านไหนน่าทะนุถนอมเท่าวั่งไฉอีก ครอบครัวข้ามักจะถือว่ามันเป็นเหมือนแมวกวักนำโชค
ด่างขาวกลางหน้าผากกับถุงใต้ตา? นั้นคือสัญลักษณ์ม้างามต่างหาก ตอนนั้นก็อัดหลี่ฉุนเฟิงผู้บอบบางที่คอกม้าไปหนึ่งยก จนกว่าเขาจะกลับคำว่าเป็นม้างามถึงได้ยอมปล่อยเขาไป
หากเทียบกับวั่งไฉแล้ว หลี่ฉุนเฟิงเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ สำหรับอวิ๋นเยี่ยแล้ว นักบวชลัทธิเต๋าหลอกกินหลอกใช้ ทั้งวันแกว่งนั่นเขย่านี่ บอกว่ามองเห็นเรื่องราวหลังจากนี้ห้าร้อยปี
ไม่ใช่ว่าอวิ๋นเยี่ยดูถูกปรมาจารย์ที่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเทพเจ้าในต้าถัง แต่ว่ามองเห็นได้มากสุดห้าร้อยปีข้างหน้าอย่างนั้นหรือ เขาเองก็รู้ทุกอย่างในอีกหนึ่งพันห้ารอยปีข้างหน้าเช่นกัน เสี่ยวอู่เดินไปเดินมาต่อหน้าเขาแปดสิบรอบแล้ว พูดประโยคชวนฝัน อนาคตจะต้องเป็นสาวงามแน่ๆ
สำหรับคำทำนายที่มีชื่อเสียงของเขาเกี่ยวกับอู่เม่ยเหนียง ไม่เคยได้ยินเขาพูดขึ้นมา ดูแล้วคงเป็นฝีมือของพวกบันทึกประวัติศาสตร์เพิ่มลงไปเอง
หากอวิ๋นเยี่ยนั่งบนเบาะรองนั่ง น่ารื่อมู่ก็จะพิงบนตัวอวิ๋นเยี่ย ร่างกายนุ่มๆ ของสองคนใกล้ชิดกันอย่างเพลิดเพลิน
ซินเย่วก็อยากมานั่งด้วย แต่ท้องที่ใหญ่ทำให้นางไม่สามารถเพลิดเพลินกับช่วงเวลาอบอุ่นที่หาได้ยากระหว่างสามีภรรยาได้
ทุกครั้งกว่าอวิ๋นเยี่ยจะกลับบ้านก็ดึกมากแล้ว ถึงตอนนั้นพวกนางก็ทานข้าวกันหมดแล้ว บนโต๊ะมีกับข้าวอยู่สามสี่อย่าง บะหมี่หนึ่งชามคืออาหารเย็นของอวิ๋นเยี่ย สำหรับการกินในยุคปัจจุบันนี้ถือว่าอยู่ในระดับกลาง น่องไก่หนึ่งน่อง ผัดผักหนึ่งจาน เนื้อแพะไม่กี่ชิ้น มีผักดองเพิ่มมาอีก นี่ก็เป็นอาหารทั้งหมดที่มี
บางครั้งอวิ๋นเยี่ยก็คิดอยู่บ้างว่าชีวิตบนโลกก็ต้องการแค่สองอย่างคืออาหารกับเสื้อผ้า ชีวิตมนุษย์ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับสองอย่างนี้
สำหรับชื่อเสียงและสถานะ นั่นก็เหมือนกับกินข้าวอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเลยไปหาเรื่องสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ถือว่าสำคัญอะไร ส่วนเรื่องผู้หญิงนั้นยิ่งไม่จำเป็นเข้าไปใหญ่
ระหว่างสองเพศก็มีหน้าที่เพียงแค่ทำให้เผ่าพันธุ์สืบต่อไปเท่านั้น ทุกสายพันธุ์ก็อยากจะแพร่กระจายเผ่าพันธุ์ตัวเอง ดังนั้นสิงโตจึงท้าต่อสู้กับราชาสิงโตครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพื่อที่จะครอบครองเพศเมียไว้สืบทอดเผ่าพันธุ์ตัวเองต่อไป
นี่ก็เหมือนกับการกระทำของหลี่ซื่อหมิน เพียงแต่ว่าสิงโตจะไม่ยอมปล่อยสิงโตเพศเมียที่ตัวเองครอบครองไปแม้แต่ตัวเดียว แต่ความสามารถนี้ของหลี่ซื่อหมินยังต้องรอพัฒนาขึ้นไปอีก ดูเหมือนว่าในวังยังคงมีหญิงสาวบริสุทธิ์อายุห้าสิบหกสิบปีที่เพิ่งจะถูกส่งกลับไปยังหมู่บ้านเมื่อไม่กี่วันก่อน
สำหรับสาวพรหมจรรย์วัยห้าสิบปี นี่เป็นการทรมานอย่างหนึ่ง หมู่บ้านที่ทรุดโทรมอยู่ทางตะวันตกของเขาอวี้ซัน ครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยใช้เงินของขันทีและนางในมารวมกันให้ได้สิบเท่าแล้วซื้อหมู่บ้านนี้มา
ขันทีที่เกษียณอายุสี่ห้าคนถูกจั่งซุนส่งมาให้เรียนกับผู้ดูแลตระกูลอวิ๋นอย่างเหล่าเฉียนเพื่อไปดูแลหมู่บ้าน
เรื่องในวัง หากไม่บอกจั่งซุนก่อนจะทำให้วุ่นวาย อู๋เสอยื่นคำร้องต่อฝ่าบาทด้วยตนเอง หวังว่าอนาคตขันทีที่เกษียณอายุแล้วจะมีที่อยู่อาศัยตอนแก่ ไม่ต้องหิวหรือแข็งตาย
หลี่ซื่อหมินให้จั่งซุนดูแลเรื่องนี้ ตัวเองไม่อยากยุ่ง แน่นอนว่าจั่งซุนส่งต่อเรื่องนี้ให้อวิ๋นเยี่ย ตัวเองยังออกเงินหนึ่งพันเหรียญ ถือว่าช่วยให้ถึงที่สุด เพียงแต่ว่าต่อจากนี้ก็จะไม่ยุ่งเรื่องดูแลสาวใช้และขันทีที่สูงอายุแล้ว
กินข้าวหนึ่งคำ แล้วเอาน่องไก่ให้คนข้างหลังที่นั่งมองเขากินข้าว น่ารื่อมู่ที่มองจนน้ำลายไหล ผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เด็กเป็นโรคชนิดหนึ่ง เห็นคนกินข้าวไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองกินอิ่มแล้ว เห็นคนอื่นกินข้าวก็รู้สึกอิจฉา
ซินเย่วดึงน่ารื่อมู่มา พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เพิ่งกินข้าวเสร็จ ไก่ทั้งตัวโดนนางกินไปหมดแล้ว แม้แต่ซุปก็ดื่มจนหมด ตัวอ้วนเป็นหมูแล้ว หน้าอกใหญ่กว่าข้าที่ต้องให้นมลูกเสียอีก ไม่รู้ว่ากลับไปฉ่าวหยวนจะยังขึ้นหลังม้าไหวหรือไม่”
หญิงเจ้าเล่ห์พูดให้น่ารื่อมู่รู้สึกอับอาย คนที่ฉ่าวหยวน เพียงแค่มีโอกาสกินข้าว แน่นอนว่าจะไม่ปล่อยไปแน่ ต้องเพิ่มไขมันไว้สำหรับหน้าหนาว วัวแพะเป็นแบบนี้ คนเองก็เช่นกัน
อวิ๋นเยี่ยหันไปมองน่ารื่อมู่ที่รูปร่างกำลังดี ดีจะตาย เอวก็ยังเล็ก สำหรับตรงอื่นที่ใหญ่ขึ้น ก็ไม่ได้แย่เลย เห็นน่ารื่อมู่กินน่องไก่เสร็จ แล้วยังมองเนื้อแพะ ก็เลยเอาเนื้อแพะให้นางกินเยอะๆ หน่อย
ไม่ปล่อยให้สมองว่าง คิดต่อไปอีกว่า จั่งซุนต้องรู้เรื่องในวังแน่ๆ ไม่แน่อาจกำลังดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะมีส่วนร่วมไปถึงระดับไหน หลังจากนั้นค่อยปรับหาวิธีรับมือ
เรื่องแบบนี้ไม่ควรไปหาหลี่เฉิงเฉียน หากเขาเข้ามาเกี่ยวด้วยจะไม่เป็นผลดีต่อการขึ้นปกครองในอนาคต ตัวเองก็เข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าข้างในมีเรื่องสกปรกมากน้อยแค่ไหน หากแปดเปื้อนไปสามปีก็ล้างไม่สะอาด
ผู้ที่ยุ่งกับคนเหล่านี้แล้วจะไม่มีปัญหาในอนาคตมีใครบ้างนะ ขณะที่ตะเกียบอยู่บนคาง ใบหน้าแต่ละคนก็แวบเข้ามาในหัว
อยู่ๆ ภาพของคนเหล่านี้ก็หยุดอยู่ในหัว คนพวกนี้คงจะไม่มีปัญหาอะไร เรื่องเน่าในตระกูลไม่ควรเผยแพร่ ยังคงเป็นคนกันเองอย่างตระกูลหลี่ที่จัดการได้เรียบร้อย หากไม่ใช่เพราะตัวเองระวังตัวมาตลอด เมื่อเข้าสู่ความขัดแย้งในวัง ป่านนี้คงได้กลายเป็นเถ้ากระดูกไปนานแล้ว
ตระกูลหลี่ของเจ้ามีแต่คนเข้มแข็ง ไม่ว่าหญิงหรือชายต่างก็มีความอดทน แทนที่จะใช้ความคิดในการวางอุบาย ไม่สู้ไปใส่ใจผู้ที่ต่ำต้อยกว่าไม่ดีกว่าหรือ
ดูแลหมู่บ้านก็เป็นวิชาความรู้อย่างหนึ่ง พวกนางแต่งออกไปก็ต้องช่วยดูแลกิจการครอบครัวไม่ใช่หรือ คนไร้สมองอย่างองค์หญิงหงฮั่วมีความสวยไปก็เท่านั้น
ฉางเล่อ เกาหยาง และหลานหลิงเป็นตัวเลือกที่ดีทั้งนั้น ก่อนแต่งงานก็ช่วยวังหลวงดูแลจัดการขันที หลังจากแต่งออกไปแล้วก็ยกอำนาจให้องค์หญิงองค์อื่นๆ ตัวเองก็แค่คอยสั่งสอนพวกองค์หญิงไม่มีสมองของหลี่ซื่อหมินก็พอ
คิดได้แล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ฉลองให้ความฉลาดของตัวเอง สลัดปัญหาใหญ่ออกได้แล้ว ในเมื่อขันทีพวกนั้นชอบองค์หญิง เช่นนั้นก็ให้ชอบองค์หญิงทั้งวังหลวง อย่าได้ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว
ในสมองไม่คิดอะไร ความอยากอาหารก็เพิ่มมากขึ้น เตรียมจะกินบะหมี่ของตัวเองให้หมด เพิ่งพบว่าในชามว่างเปล่า น่ารื่อมู่กอดหมอนร้องฮือๆ มือกุมที่ท้อง ปวดท้องอีกแล้วเหรอ