เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 42 ปัญหาของกงซูมู่
การที่ผู้หญิงชอบเดินซื้อของนั้นเป็นนิสัยโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะตระกูลอวิ๋นที่ตอนนี้มีนายหญิงถึงสองคน แล้วยังมีท่านอา ท่านป้า พี่หญิง และน้องหญิงอีกนับไม่ถ้วน พอถึงเวลาทุกปีก็จะออกไปซื้อของครั้งใหญ่ เตรียมรถม้าเจ็ดแปดคันตั้งแต่เช้าตรู่ คนรับใช้อีกสิบกว่าคน องครักษ์อีกหนึ่งหน่วยเตรียมบุกเข้าฉางอัน
“รอก่อน พาซือซือไปด้วย” ตะโกนเรียกต้ายากับเสี่ยวยาที่กำลังจะออกจากบ้าน ลากซือซือมาส่งให้ต้ายา เด็กคนนี้หลบอยู่หลังประตูอยู่คนเดียวมองดูผู้หญิงคนอื่นๆ ท่าทางมีความสุข ตัวเองกลับไม่อยากไป เหตุผลง่ายๆ ก็คือนางอยากเอาเงินที่อาจารย์ให้เก็บออมไว้เพื่อซื้อมีดเล่มใหญ่ให้พ่อที่บวชอยู่ มีดเล่มเก่าของพ่อใช้ฟันจนไม่มีความคมแล้ว ใช้ไม่ได้แล้ว
เอาเงินออกมาจากอก เอาเงินสองเหรียญให้แก่ซือซือ ตีที่กระเป๋าหน้าอกของสาวน้อยเบาๆ “เจ้านี่ ไม่ต้องเป็นเด็กดีขนาดนั้นก็ได้ เด็กน้อยเป็นวัยที่ต้องเล่นให้สนุก อยากจะซื้อมีดให้พ่อ ก็ไม่เห็นต้องลดความสุขตัวเอง ไปครั้งนี้ก็ซื้อของโปรดเยอะๆ หน่อย ซื้อของน่าสนุก ซื้อปิ่นปักผมให้ตัวเองก็ได้ ไม่อนุญาตให้ออมเงินแล้ว”
ซือซือเชื่อฟังเป็นอย่างดี ยิ้มพร้อมกับรับปากอวิ๋นเยี่ย รับเงินมาพร้อมส่งยิ้มแล้วขึ้นรถม้าไป
ตอนที่อวิ๋นเยี่ยเฝ้าดูครอบครัวของเขามีความสุขที่เตรียมใช้เงินด้วยสีหน้าพึงพอใจอยู่นั้น ก็มีคนดึงเสื้อของเขา พอก้มลงมอง ที่แท้ก็เป็นเสี่ยวอู่ มือข้างหนึ่งดึงชายเสื้อ มืออีกข้างหนึ่งแบออกมา นางต้องการเงินเหรอ
“เสี่ยวอู่ เจ้าเป็นคนในตระกูลของกั๋วกง ที่บ้านมีเงินนับหลายหมื่นเหรียญเหตุใดจึงขอข้าเล่า หากให้เจ้าไป พ่อของเจ้าจะหาว่าข้าล้ำเส้น ตั้งใจทำให้ตระกูลเจ้าต้องอับอาย” อวิ๋นเยี่ยย่อตัวลงพูดกับเสี่ยวอู่
เด็กคนนี้ได้ปักหลักที่ตระกูลอวิ๋นแล้ว ให้เรียนหนังสือ ให้กิน ให้ดื่ม ให้เล่น ให้เสื้อผ้า เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากพ่อเขารู้เข้าว่าให้เงิน อวิ๋นเยี่ยคาดว่าเหล่าอู่ต้องอาละวาดแน่ๆ เจียงกั๋วกงขายขี้หน้าหมดแล้ว
“ท่านเป็นอาจารย์ข้า ข้าไม่ขอเงินท่านแล้วข้าจะไปขอใครกัน ท่านแม่ข้าไม่มีเงิน ทุกเดือนให้ข้าเพียงห้าเหรียญ ท่านพ่อก็ไม่ให้เงินข้าใช้ ให้แต่พี่ชาย ข้าก็เรียกท่านว่าอาจารย์แล้ว ท่านให้เงินซือซือ ก็ควรจะให้ข้าด้วย สองเหรียญ!”
เด็กน้อยเริ่มน้ำตาคลอเบ้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ยอมให้ไหลออกมา นิ้วขาวเนียนสองนิ้วชูอยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย ขอเงินอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่อง เรื่องไหว้ข้าเป็นอาจารย์พ่อเจ้าไม่ตกลงไม่ใช่หรือ จะถือเป็นอาจารย์ได้อย่างไร”
“เมื่อวันก่อนตอนท่านนอนอยู่ใต้แสงแดด ข้าตะโกนเรียก ท่านก็ตอบรับแล้ว ตอนนี้จะกลับคำอย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นเยี่ยส่ายหน้า มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ แต่ว่าตอนนั้นตัวเองหลับสะลึมสะลือ ไม่แน่อาจจะมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นได้ มองดูสาวน้อยท่าทางเหมือนจะร้องไห้ ก็ใจดำไม่ลงจริงๆ ช่างเถิด ก็ลูกศิษย์ข้า คนเดียวสอนได้ สองคนก็สอนได้ แล้วอีกอย่างสอนให้ท่องหนังสือคืออาจารย์เหวินฟู่ไม่ใช่ข้า ในอนาคตของอู่เม่ยเหนียงเรื่องความฉลาดไม่เป็นปัญหาอะไร นั่นเป็นอาวุธที่ดี พรุ่งนี้จะส่งสารให้แก่เหล่าอู่ ตาเถ้าผู้นี้ยังไงก็ต้องเห็นแก่หน้าข้า
เหรียญเงินอีกสองเหรียญกำลังจะหายไป เจ้าเด็กน้อยเทถุงเงินออกมาดู หาเหรียญที่ใหญ่ที่สุด สะอาดที่สุด แล้วค่อยๆ เอาใส่กระเป๋าตังตัวเอง กระโดดโลดเต้นขึ้นรถม้าไป
ซินเย่วยกม่านขึ้นดูไปยิ้มไปไม่ได้พูดอะไร น่ารื่อมู่จะยื่นหัวออกไป ถูกซินเย่วดันหัวกลับเข้าไปเหมือนเดิม อนุภรรยาผู้นี้ไม่เข้าใจกฎเอาเสียเลย ไม่รู้ว่าพวกเฉิงฮูหยิน หนิวฮูหยินเห็นเข้าแล้วจะหัวเราะหรือไม่ คิดแล้วก็ปวดหัว
อวิ๋นเยี่ยเอาเตาขนาดพกพาออกมา ส่งให้ซินเย่วทางหน้าต่าง ลูบใบหน้าสวยเบาๆ ส่งสัญญาณมือให้พวกนางออกเดินทาง
วันนี้มีนัดกับกงซูมู่ ไม่เช่นนั้นอวิ๋นเยี่ยก็อยากไปโปรยเงินที่ฉางอันเช่นกัน หาเงินตลอดปีไม่ได้ใช้ก็รู้สึกผิดต่อตัวเอง
กลับไปสวนดอกไม้หลังบ้าน เห็นท่านย่าอยู่กับสาวใช้กำลังจัดการพืชผักสวนครัวอยู่ในห้อง ท่านย่าได้ทำให้สวนผักกลายเป็นที่ออกกำลังกายของตัวเอง ดูแลสุขภาพไว้เตรียมกอดหลานน้อย เนื่องจากไม่กี่ปีมานี้ตระกูลอวิ๋นรุ่งเรืองขึ้นอีก ท่านย่าอารมณ์ดี ยิ้มหน้าบานเป็นพระสังกัจจายน์ ตอนนี้มีจิตใจเมตตามากขึ้นกว่าเดิม ช่วยคนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นจนไม่เหลือคนยากไร้แล้ว จนท่านย่าบ่นว่าคนจนไปไหนหมดแล้ว
คนจนไปไหนหมดแล้ว มีอีกเยอะ แต่ว่าในหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นไม่มีแล้ว พวกคนเหล่านี้พอมีเงินแล้วก็พากันสร้างบ้าน ทั้งหมู่บ้านพากันดื่มเหล้าขึ้นบ้านใหม่ พวกเขาก็พอใจในบ้านอิฐสีคราม บ้านที่พิถีพิถันหน่อย ในห้องก็จะใช้เชือกปอเกลียวสั้นๆ สีขาวเทาขัดให้ทั่วผนัง สีขาวดูดีทีเดียว หลังคาที่ถูกทำขึ้นจากการสานช่างสวยงามจริงๆ
ครอบครัวเกษตรกรมักใช้ดินเหลือปั้นเป็นกำแพง ไม่สูงมาก ถึงแค่เพียงอก ยกเว้นบ้านตระกูลอวิ๋นที่กำแพงสูงสามเมตรกว่าๆ ที่บ้านอื่นความสูงแค่ครึ่งความสูงของคนเทานั้น บ้านของตระกูลอวิ๋นที่สร้างขึ้นในหมู่บ้านจึงดูขัดหูขัดตาโดดเด่นขึ้นมา
มะเขือยาวควรเด็ดดอกด้านบนที่ไม่ต้องการออก มิฉะนั้นมะเขือที่เป็นลูกแล้วจะมีอาหารไปเลี้ยงได้ไม่เพียงพอ ตอนนี้มะเขือเป็นผักหายาก แต่ละอันมีขนาดแค่เท่ากำปั้น เรียกชื่อให้เพราะว่ามะเขือม่วงคุนหลุน
ท่านย่าใช้กระด้งเขย่าเมล็ดถั่วลันเตาที่กำลังแช่น้ำ ยอดอ่อนข้างบนกำลังงอกออกมา อีกสองสามวันก็จะแตกใบอ่อน คุณย่าใช้ความอดทนคัดเมล็ดที่เปลี่ยนเป็นสีดำ หรือเสียออกอย่างประณีตแล้วเทเมล็ดที่ดีลงกระถางไม้ที่ปูด้วยผ้าลินิน ใช้มือปัดให้กระจายเท่าๆ กัน แล้ววางในที่ชื้น
อวิ๋นเยี่ยช่วยเอากระถางถั่วลันเตาขึ้นไปวางบนชั้น ได้ยินท่านย่าพูดว่า “อวิ๋นเยี่ย ซินเย่วชอบกินต้นอ่อนๆ ของถั่วลันเตาที่สุดแล้ว เมื่อวานผัดต้นอ่อนถั่วลันเตาก็ถูกนางกินคนเดียวจนหมด น่ารื่อมู่ก็เหมือนจะชอบเช่นกัน แต่ซินเย่วไม่ให้นางแตะ ช่วงนี้ข้าไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องในบ้าน ไม่รู้ว่าเจ้าจัดการเป็นอย่างไรบ้าง หลังบ้านไม่สงบ เป็นสิ่งไม่ดีต่อตระกูล มีหลายบ้านที่ต้องล่มจมเพราะคนในบ้านคิดร้ายต่อกันเอง บ้านเราอย่าให้เป็นเช่นนั้น หากมีเรื่องใดที่เจ้าไม่อาจพูดได้ ข้าจะพูดให้ ซินเย่วเป็นใหญ่ ก็ควรเมตตาผู้น้อย เพียงแค่ผัดผักเอง อยากกินก็ผัดสักสองจาน หนึ่งคนต่อหนึ่งจานก็จบแล้ว บ้านเราไม่อดอยากเรื่องอาหารการกิน”
“ท่านย่า ต่อให้ท่านผัดมาแปดจาน ถ้านางจะแย่งนางก็แย่ง ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบเห็นสามีตัวเองถูกผู้หญิงอื่นแย่งไปหรอก หลานมีอนุภรรยา ความจริงก็ถือว่าผิดต่อซินเย่ว นางอาจจะงอแงเล็กน้อย ถือเป็นเรื่องปกติ”
“ในบ้านควรจะมีกฎ เจ้าเป็นถึงท่านโหว มีภรรยาเพียงคนเดียว แม้แต่สาวใช้ติดตามตอนซินเย่วแต่งงานก็ไม่มี ถือเป็นเรื่องผิดปกติในเหล่าบรรดาขุนนาง แม้ตระกูลฝางจะไม่มีนางบำเรอ แต่ขึ้นชื่อว่ามีฮูหยินขี้หึงน่าฟังเสียที่ไหน ในฐานะที่เป็นผู้หญิงไม่ควรยุ่งเรื่องเหล่านี้ การทำให้ตระกูลอวิ๋นมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองควรเป็นเรื่องที่นางต้องกังวล”
ท่านย่าตอนนี้อารมณ์กำลังขึ้น ไม่พอใจที่ตัวเองไม่มีลูกหลานเยอะแยะคอยล้อมรอบ หากไม่ใช่เพราะหลิ่งหนานไกลเกินไป นางไปเยี่ยมหลานชายคนโตเสียตั้งนานแล้ว
อวิ๋นเยี่ยเตรียมของหลายอย่างให้ลูก ปั้นตุ๊กตาดินเผาสิบกว่าตัว วางไว้ในเตาเผาให้แห้งแข็ง ค่อยลงสีถึงสวยงาม
ท่านย่าไม่พอใจ แอบออกเงินของตัวเองจัดเตรียมเสื้อผ้าจำนวนมาก กลัวเด็กน้อยจะหนาวในตอนกลางคืน แล้วแอบเอาหยกสองก้อนวางใส่ไปในกระโถน อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็สงสาร
“ท่านย่า บ้านเราอนุญาตให้ใครๆ มีสิทธิ์พูดได้ หากเก็บเรื่องน้อยใจไว้ในใจไม่พูดออกมา ถึงเวลาปะทุออกมาจะยิ่งน่ากลัว แบบนี้ก็ดีแล้ว พอฤดูใบไม้ผลิมาถึงน่ารื่อมู่ก็กลับไปที่ฉ่าวหยวน ที่ฉ่าวหยวนยังมีเรื่องอีกมากมาย”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าไม่ยุ่งแล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้ไม่อนุญาตให้ซินเย่วมาที่ห้องของเจ้า ท้องใหญ่ทำอะไรไม่สะดวก ให้อยู่กับข้าแล้วกัน”
ท่านย่าก็เป็นเช่นนี้ ไม่ชอบที่อวิ๋นเยี่ยค่อยให้ท้ายคนในบ้าน รุ่นเหนียงถูกท่านย่าไล่ไปบ้านเล็กเพื่อรับการอบรมสั่งสอนจากสองสาวใช้ในวังหลวง เสี่ยวยาน้ำตาไหลพร้อมพูดว่า “ข้าช่างน่าสงสารนัก” จากนั้นก็กอดอวิ๋นเยี่ยร้องวิงวอนว่าอย่าได้ส่งนางไปเลย นางจะไม่ให้ฮันฮันวุ่นวายกับคนในบ้านแล้ว
ดูจากดวงอาทิตย์คงถึงเวลาเที่ยงแล้ว กงซูมู่คงยังรอตนเองอยู่จึงเอ่ยบอกลากับท่านย่า อวิ๋นเยี่ยรีบใส่เชือกให้วั่งไฉ นั่งรถม้าไปที่สำนักศึกษา
สองปีมานี้เหล่ากงซูแก่ลงเยอะมาก เหตุผลก็คือเขาหาลูกศิษย์ที่สูบเลือดสูบเนื้อให้ตัวเอง ในขณะที่หลี่ไท่เสาะหาความรู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตาเฒ่าก็สอนหนังสือด้วยจิตใจที่ดูเศร้าสร้อย อวิ๋นเยี่ยดูแล้ว เหมือนหนอนไหมในฤดูใบไม้ผลิที่จะผลิตไหมจนกว่ามันจะตาย เหมือนน้ำตาเทียนจะไหลจนกว่าเทียนจะไหม้หมดแท่ง คำพูดเหล่านี้หมายถึงเหล่ากงซู
คนที่มีความคิดแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา เมื่อคิดจะทำอะไรก็ทำเลย วิจัยงานก็เป็นเขา งานฝีมือก็เป็นเขา หากสองปีแล้วยังไม่แก่สิถึงน่าแปลก
ชาชงเสร็จแล้ว เหล่ากงซูก็มาถึงแล้ว หลี่ไท่ยืดคอมองอยู่ด้านนอก ไม่กล้าเข้ามา อวิ๋นเยี่ยเคยบอกไว้ หากเขาเข้ามา เห็นหนึ่งทีตีหนึ่งที คราวที่แล้วเอาเหยือกชาของอวิ๋นเยี่ยให้กับพ่อ ถูกอวิ๋นเยี่ยอัดไปสามที
ถูกอัดก็ไม่มีใครรับฟัง พ่อไม่ฟังคำบ่นของเขาเลย เพียงแต่บอกเขาว่า เก่งจริงก็ไปเอาคืนเอง มาฟ้องข้าถือว่าเก่งตรงไหน
หลี่ไท่ผู้น่าสงสารอ่อนแอด้านการต่อสู้โดยสิ้นเชิง ไหวพริบก็ไม่ได้ดีเท่าอวิ๋นเยี่ย ต้องยอมแพ้ไปโดยปริยาย ถูกกดทับจนไม่มีโอกาสได้งอกเงย หลังจากเสียเปรียบมาหลายครั้ง ในที่สุดก็รู้ว่าต้องอยู่ให้ห่างจากอวิ๋นเยี่ยถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้
“ท่านอวิ๋นโหว ข้าจะพูดอย่างไม่อาย เว่ยอ๋องมีความสามารถและชาญฉลาด ยิ่งกว่านั้นก็คือเต็มใจที่จะทำงานหนัก สองปีมานี้วิชาที่ข้าเรียนมาเหล่านั้น ถูกเขาสูบไปหมดแล้ว ตั้งแต่ว่าวบิน มารหัดวิดน้ำ แล้วก็เครื่องทอผ้า ข้าเหนื่อยมากแล้วจริงๆ ในที่สุดก็ผ่านมาได้ถึงตอนนี้ สอนจนไม่มีอะไรจะสอน ทนความรู้สึกที่ถูกผู้น้อยไล่ตามไม่ไหวอีกแล้ว ดังนั้นจึงมาขอคำปรึกษาจากท่านอวิ๋นโหวโดยเฉพาะ ท่านสอนเว่ยอ๋องอย่างไร หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าตายแน่ๆ” เหล่ากงซูสีหน้าไม่สบายใจ ความรู้ที่เมื่อก่อนตัวเองเคยภูมิใจ ตอนนี้ถูกสูบไปหมดสิ้นแล้ว คิดดูแล้วเหมือนตัวเองผิดต่อคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ความลับมากมายของตระกูลเจียงถูกรับรู้หมดแล้ว ช่างน่าเศร้า
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไร ลูกศิษย์เช่นนี้ร้ายเกินไป ดูแล้วหลี่ไท่คงยังไม่รู้จักความเกรงใจ แบบนี้ยังไม่ถือว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบ หากไม่สั่งสอนเขาเสียหน่อยก็จะไม่รู้จักเกรงใจ การขอโดยไม่เกรงใจเป็นนิสัยเสียของสายเลือดกษัตริย์ ต้องถูกแก้ไข
หยิบบอลครึ่งลูกที่ทำจากเหล็กสองชิ้นจากมุมห้องทำงาน อันหนึ่งมีหลอดเล็กๆ อยู่ข้างบน มีเอ็นเนื้อที่ปากหลอด ไม่รู้ว่าเอาไว้ใช้ทำอะไร อวิ๋นเยี่ยเอาน้ำมันหมูทาลงบนขอบปากของบอลเหล็กครึ่งลูก แล้วเอามันมาประกบกัน ใช้ที่สูบลมอันเล็กๆ ดึงไม่กี่รอบก็ไม่ขยับแล้ว อวิ๋นเยี่ยมัดเอ็นเนื้อที่ปากหลอดแน่นๆ จับหลอดดึงบอลเหล็กอีกครึ่งหนึ่งขึ้นมา กงซูมู่ค้นพบสิ่งที่น่าประหลาดใจ บอลเหล็กอีกครึ่งหนึ่งยังติดกันอยู่
เขาลุกขึ้นมาใช้แรงดึงออก แต่ก็ดึงไม่ออก ได้แต่มองอวิ๋นเยี่ยอย่างมึนงง