เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 43 ฉลาดราวกับปีศาจ
หลี่ไท่ที่อยู่นอกประตูก็สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ เดินเขย่งเท้าเข้ามา นั่งยองๆ บนพื้น มองไปที่ลูกบอลประหลาดลูกนั้น แล้วยังเตะไปที่ลูกบอล เห็นลูกบอลเหล็กที่กลิ้งอยู่บนพื้นก็อุ้มมันขึ้นมาไว้บนโต๊ะ ใช้แรงดึงก็ไม่มีอะไรขยับ
ตะโกนเรียกออกไปทางด้านหลัง มีผู้ติดตามร่างใหญ่เดินเข้ามาสองคน โค้งคำนับให้อวิ๋นเยี่ยกับกงซูมู่ จากนั้นก็เริ่มดึงลูกบอลเหล็ก หลี่ไท่คอยดูอยู่ข้างๆ อย่างกังวล
อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจพวกเขาสามคน ยกกาน้ำชาขนาดเล็กเทชาสีเขียวลงในถ้วยชาขนาดเล็กทั้งสองใบ เชิญกงซูมู่ดื่มชา กงซูมู่ยิ้มกว้าง ยกถ้วยชาขึ้นมาวางใต้จมูกแล้วสูดดมกลิ่นน้ำชา เขาจิบน้ำชาโดยไม่กลืนลงคอทันที ให้กลิ่นหอมกระเพื่อมอยู่ในปากของเขาอย่างเคลิบเคลิ้ม
อวิ๋นเยี่ยก็ยกถ้วยชาขึ้นมาเหมือนกัน ดื่มชาไปพร้อมกับพูดถึงประโยชน์ของชาให้กงซูมู่ฟัง
“ท่านอาจจะไม่ทราบ เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินว่ามีเค้กชาชนิดหนึ่ง ยิ่งทิ้งไว้นานเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีค่ามากเท่านั้น ว่ากันว่ามีเค้กชาที่ทิ้งไว้นานถึงสองร้อยปี ทุกคำที่กัดเข้าไป ราวกับการดื่มด่ำทองคำ แต่น่าเสียดายที่เป็นแค่เรื่องเล่าต่อกันมา ไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง น่าเสียดายเสียจริง ว่ากันว่ารสชาตินั้นเป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก”
“สองร้อยปี ใบชาจะไม่เสื่อมสลายไปหมดแล้วเหรอ เช่นนี้ ยังดื่มได้อีกเหรอ”
“ดื่มได้จริงๆ แถมยังมีรสชาติที่มหัศจรรย์ เรื่องนี้ข้ารับรอง บนโลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์ มีความลึกลับมากมายที่เราไม่สามารถอธิบายได้ เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง ช่วยอธิบายโลกของเราจากการกระทำต่างๆ นานา ข้ารู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้ค้นพบสิ่งเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้จากโลกใบนี้”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างถูกคอ กงซูมู่เครายาวปลิวไสว อวิ๋นเยี่ยผมสีดำสลวย หัวเราะขึ้นมาเป็นครั้งเป็นคราว
ในห้องแออัดเต็มไปด้วยผู้คน ด้านหนึ่งมีชายร่างท้วมที่ถอดเสื้ออยู่ห้าคน กำลังดึงเชือกจนเส้นเลือดสีเขียวโผล่ออกมา เชือกที่ผูกกับด้ามของลูกบอลเหล็กถูกดึงจนตรง เหงื่อที่ไหลลงมาจากไหล่ราวกับงูที่คดเคี้ยว
ลูกบอลเหล็กก็ยังคงไม่ขยับไปไหน ฝ่ายหนึ่งอ่อนแรงลง ถูกอีกฝ่ายหนึ่งดึงจนขาด มีคนหนึ่งไม่ระวังล้มไปชนชั้นวางดอกไม้ของอวิ๋นเยี่ยโดยไม่ได้ตั้งใจ กระถางดอกไม้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
อวิ๋นเยี่ยขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เดินมาที่ลูกบอลเหล็กที่อยู่บนพื้น ปลดเชือกที่ผูกอยู่ พอปล่อยมือออก ลูกบอลเหล็กก็ถูกแบ่งครึ่ง เขาโยนมันไปที่มุมกำแพงแล้วมองไปที่หลี่ไท่ ชี้ไปข้างนอก บอกให้เขาออกไปได้แล้ว
หลี่ไท่ไล่ให้ผู้ติดตามพวกนั้นออกไป แต่ตัวเองกลับยังอยู่ที่เดิม รินน้ำชาให้อวิ๋นเยี่ยกับกงซูมู่อย่างขยันขันแข็ง ท่าทีเคารพ ไอ้หมอนี่ก็เป็นเช่นนี้ อย่ามองว่าเขาเป็นคนประจบสอพลอ เขาไม่ได้เคารพในตัวเจ้า แต่เคารพความรู้ในท้องของเจ้า ถึงแม้ว่าจะเป็นขอทาน ขอแค่มีประโยชน์ต่อความรู้ของเขา ไอ้หมอนี่ก็จะหันไปดูวันละแปดครั้ง
รอให้เขาได้เอาความรู้ไปหมดแล้ว เรียนรู้ทุกอย่างหมดแล้ว เขาก็จะไม่สนใจทันที ควรเป็นขอทานก็เป็นขอทานไป จะไม่มีทางเป็นคนที่เขาเคารพอีกต่อไป เอกลักษณ์นี้ไม่ต่างอะไรจากพวกชนเผ่าวอ ความเคารพในตอนนี้ เป็นเพียงแค่การทำให้เจ้าอัปยศอดสูในอนาคต จะมาเอาปรียบเว่ยอ๋องง่ายๆ ได้เหรอ
มีศิษย์ที่น่ากลัวเช่นนี้ ไม่แปลกใจที่กงซูมู่จะวิตกกังวลถึงเพียงนี้ ต้องกังวลเกี่ยวกับการสอนเขาทุกวัน
สืบทอดความรู้ให้กับศิษย์ที่มีความสามารถ คือความคาดหวังของอาจารย์ทุกคน แต่น่าเสียดายที่บนโลกใบนี้ยังมีคนมีความสามารถอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่าจิตวิปริต ซึ่งเกิดมาเพื่อทรมานอาจารย์โดยเฉพาะ อย่างเช่นหลี่ไท่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า การเปรียบเปรยยังไม่เพียงพอที่จะใช้อธิบายความสามารถของผู้ชายคนนี้ได้ เขาเหมือนเครื่องสูบน้ำที่มีลำท่อขนาดใหญ่ ถ้าไม่สูบเอาความรู้ในท้องของอาจารย์ออกไปจนหมดสิ้น เขาก็จะไม่ยอมหยุด
แต่อวิ๋นเยี่ยกลับไม่มีความกังวลเช่นนี้ หากได้เห็นหลี่ไท่สร้างเรือดำน้ำนิวเคลียร์ขึ้นมาในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ มันก็คือความสุขที่ยิ่งใหญ่
“ชิงเชวี่ย เหตุใดเจ้าถึงล้มเลิกการศึกษาเกี่ยวกับเครื่องทอผ้า วันๆ ไม่ทำอะไร นี่คือหลักการในการศึกษาของเจ้าเหรอ”
หลี่ไท่มองไปที่รูปครึ่งวงกลมสองวงที่มุมกำแพง เหม่อลอยแล้วตอบว่า “เสด็จพ่อบอกว่ายังไม่ต้องศึกษาเรื่องพวกนี้ บอกให้ข้าไม่ต้องรีบร้อน บอกว่าสร้างขึ้นมาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าก็เลยหยุดคิด พยายามไม่คิดถึงมันอีก ท่านขอรับ เหตุใดท่านถึงได้แบ่งลูกบอลเหล็กนี้ออกอย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่ข้าใช้แรงมากแค่ไหนกลับทำไม่ได้ ข้ารู้ว่ามันจะต้องมีความรู้ใหม่อะไรที่ข้ายังไม่รู้ ท่านโปรดอธิบายให้ศิษย์ได้เข้าใจด้วยขอรับ”
“ข้าเกิดมาพร้อมกับพละกำลังที่แข็งแกร่ง ไหล่ทั้งสองข้างของข้ามีพลังที่มหาศาล คนสามารถยืนอยู่บนหมัดได้ ม้าสามารถวิ่งอยู่บนแขนได้ จะเทียบกับมนุษย์ธรรมดาได้เช่นไร”
หลี่ไท่ไม่สามารถเก็บซ่อนสายตาที่ดูถูกของเขาได้อีกต่อไป เขาพูดเสียงดังว่า “ข้าเห็นท่านปลดเชือกที่ผูกกับท่อเอ็นออก สิ่งลึกลับต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ แต่ข้าไม่เห็นว่าข้างในจะมีอะไร ท่านใช้วิธีอะไรทำให้มันติดกันแน่นเช่นนั้น ด้านบนมีน้ำมันหมู แต่น้ำมันหมูไม่ได้เหนียวขนาดนั้น มันคืออะไรกันแน่”
สุดท้ายหลี่ไท่ก็เริ่มคำรามขึ้นมา “ท่านไม่ต้องมาเดิมพันกับข้า ข้าไม่มีทางเดิมพันกับท่าน ข้าถูกหลอกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ข้าจะไม่ยอมถูกหลอกอีกต่อไป ท่านรีบบอกข้ามานะ!”
ไอ้หมอนี่กำลังจะบ้าคลั่ง ตอนนี้เขามีศักยภาพของนักวิทยาศาสตร์ที่บ้าคลั่งอย่างเต็มรูปแบบ สำหรับเรื่องของระบบศักดินา เขาไม่ได้สนใจตั้งนานแล้ว หมกมุ่นอยู่แต่ในโลกของตัวเอง เห็นคนอื่นเป็นเหมือนคนโง่ และแน่นอนว่าโลกของเขามีเพียงอวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่เป็นลิงไม่มีขน ส่วนที่เหลือถูกปกคลุมไปด้วยขนที่หนา และเก็บผลไม้จากต้นมากิน
แกล้งเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยเชิญกงซูมู่ดื่มชาอีกถ้วยและพูดกับหลี่ไท่ว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าโลกของเรามีสิ่งมหัศจรรย์มากมาย มีพลังงานบางอย่างกำลังควบคุมทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ทำไมผลไม้สุกแล้วจะต้องตกลงมา แทนที่จะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า พลังงานอะไรทำให้เราต้องเหยียบบนพื้น แทนที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ลูกบอลเหล็กนี้สามารถอธิบายได้ถึงพลังงานเหล่านั้น มหัศจรรย์มากใช่ไหม ตอนนี้จะแสดงให้เจ้าเห็นถึงพลังงานอีกรูปแบบหนึ่ง เจ้าจับตาดูให้ดี ข้าจะทำแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
อวิ๋นเยี่ยรินน้ำใส่ถ้วยชาท่ามกลางสายตาของหลี่ไท่และอาจารย์ เทจนเกือบจะล้น หยิบกระดาษออกมาปิดบนปากถ้วยชา จากนั้นก็พลิกถ้วยชาคว่ำลง
หลี่ไท่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมกระดาษแผ่นนั้นถึงสามารถปิดน้ำไม่ให้ไหลออกมาได้ เหตุใดกัน
เขาใช้มือแตะที่กระดาษเบาๆ กระดาษขาด น้ำในถ้วยชาก็กระเด็นไปทั่วพื้น
หลี่ไท่ไม่ได้สับสนอะไร แต่กลับราวกับเด็กที่ค้นพบของเล่นชิ้นใหม่ เขาหลบไปอยู่ข้างๆ หยิบกระดาษ กะละมังน้ำและถ้วยชาออกมา จากนั้นก็เริ่มต้นการเดินทางค้นพบครั้งยิ่งใหญ่
“ท่านอวิ๋นโหว นี่คือสาเหตุใด” กงซูมู่คอยศึกษาความลึกลับของโลกมาตลอดชีวิต ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ มันยากที่จะเก็บซ่อนความอยากรู้อยากเห็นของเขา
“นี่คือพลังงานของอากาศขอรับท่าน” อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถอธิบายให้เขาฟังได้ว่าอะไรคือความดันบรรยากาศ เขาก็เลยพูดเช่นนี้
กงซูมู่สะบัดแขนเสื้อที่กว้างใหญ่ของเขา และพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างครุ่นคิด “เช่นนั้น อากาศก็เป็นอุปสรรคเช่นกันใช่หรือไม่ ลมก็เป็นอีกชนิดหนึ่ง? สามารถผลักเรือลำใหญ่ให้แล่นไปในแม่น้ำได้ แล้วก็สามารถกีดขวางคนเดินเท้าที่ถือร่มได้ด้วย?”
“ท่านพูดถูกขอรับ อากาศก็มีน้ำหนักเช่นกัน เราเดินอยู่ในอากาศ ความจริงแล้วไม่ได้แตกต่างอะไรกับการเดินในน้ำมากนัก แค่อันหนึ่งแรงต้านทานสูง อีกอันหนึ่งแรงต้านทานต่ำ เท่านี้เองขอรับ”
“ข้าชั่งน้ำหนักไปแล้วกว่าร้อยหกสิบอย่างภายใต้ปริมาตรเดียวกัน แล้วข้ายังต้องมาชั่งน้ำหนักของอากาศอีก? พระเจ้าช่วย ข้าจะต้องสร้างเครื่องชั่งที่มีความแม่นยำเพียงพอก่อน จากนั้นค่อยเอาอากาศในปริมาตรที่เท่ากันไปชั่ง ข้าจะคัดแยกอากาศได้เช่นไร ไม่ให้มันส่งผลกระทบต่อความแม่นยำในการชั่งน้ำหนัก?
ครั้งก่อนข้าแบ่งชั่วโมงออกเป็นเจ็ดพันสองร้อยส่วน ครั้งนี้ยังต้องแบ่งครึ่งกิโลเป็นหมื่นส่วน? เจ้ารังแกคน นี่เป็นงานศึกษาที่ดี ครั้งก่อนข้าใช้นาฬิกาทรายในการแบ่งเวลา แล้วครั้งนี้ที่จะใช้อะไรแบ่งน้ำหนัก
น้ำหนักของเรามาจากน้ำหนักของข้าวฟ่าง แต่มันก็ยังใหญ่เกินไป ไม่สามารถชั่งน้ำหนักของอากาศได้”
หลี่ไท่ทรุดตัวลงบนพื้น ท่าทางหงอยเหงาเศร้าซึม เขาต้องการสร้างความหนาแน่นของตัวเองให้สมบูรณ์แบบ แต่เสียดายที่มันยากเกินไป
อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าตัวเองดูเหมือนจะทำให้เขาอับอายมากเกินไป ก็เลยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ชิงเชวี่ย ผู้ยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ล้วนแต่มาพร้อมกับความยากลำบาก เจ้าหาหนทางเจอแล้ว เจ้าก็ควรกล้าที่จะตั้งสมมติฐาน ตรวจสอบอย่างรอบคอบ และสุดท้ายก็หาความจริงจนเจอ บางทีโลกอาจจะเปลี่ยนไปเพราะเจ้าก็ได้”
หลี่ไท่กลอกตามองบน ตอนนี้ไอ้หมอนี่ก็แสดงออกเป็นอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือดูถูก
“เจ้าคิดว่าข้าผิดหวังหรือท้อถอย? พูดจาเหลวไหลปลอบใจข้าเหรอ
ข้าเป็นคนประเภทที่ต้องการคนปลอบใจเหรอ เมื่อกี้แค่รู้สึกหงอยเหงาเศร้าซึมนิดหน่อย ให้ตัวเองได้รู้สึกผ่อนคลาย เตรียมพร้อมที่จะศึกษาเรื่องนี้ต่อ
อย่าคิดว่าเมื่อกี้เจ้ารอบคอบไม่มีช่องโหว่ ลูกบอลเหล็กกับถ้วยชา มีสิ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือเจ้าขับไล่อากาศออกไป อันหนึ่งใช้ที่สูบลมที่ติดตั้งกลับด้านสูบอากาศออก อีกอันใช้น้ำไล่อากาศออก ข้าแค่ต้องรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงต้องไล่อากาศออกไปก็เพียงพอแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ ลองทำการทดลองอีกสองสามครั้ง ก็จะหาคำตอบเจอแน่นอน เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก ฮ่าๆๆ”
หลี่ไท่หัวเราะ เอามือไพล่หลังแล้วเดินออกไป ดูเหมือนจะมั่นใจในการศึกษาของตัวเองเป็นอย่างมาก
อวิ๋นเยี่ยมองไปที่กงซูมู่ ทั้งสองคนส่ายหน้าแล้วยิ้มอย่างขมขื่น
“ท่านกงซู ตอนนี้ข้าเข้าใจความทุกข์ใจของท่านแล้ว นี่มันคือสัตว์ประหลาด”
“ข้าคงจะมีชีวิตสั้น นี่คือโชคชะตาของข้า พระเจ้ากำลังลงโทษข้า ทำให้ข้าทั้งทุกข์ใจทั้งมีความสุข”
จากลากันไปอย่างไม่มีความสุข กำมือทำความเคารพกัน ตอนนี้กงซูมู่มีความโศกเศร้าที่จะต้องจากลา
ตระกูลหลี่นอกจากทำเรื่องชั่วร้ายก็ไม่ทำอะไรอีก ชกต่อยทุบตีหลี่เค่อที่เข้ามารายงานเรื่องธนาคาร ตอนแรกเปิดแค่ธนาคาร ตอนนี้ยังพัฒนามาเป็นธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตรา ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป บนโลกใบนี้ยังจะมีที่ว่างเหลืออยู่ให้ตระกูลอื่นหรือ
คนหนึ่งทั้งวันก็เอาแต่คิดว่าจะกระจายเหรียญทองเงินทองแดงราคาถูกของเขาไปยังทุกพื้นที่ในต้าถังเช่นไร อีกคนหนึ่งก็เอาแต่คิดว่าจะทำเช่นไรให้ผู้คนเอาเงินทั้งหมดมาฝากธนาคาร ทุกคนบนโลกนี้จะได้กลายเป็นลูกหนี้ของตระกูลหลี่
แต่ที่น่ารำคาญที่สุดคือคนที่สาม ที่เอาแต่เรียกร้องความจริงจากสรวงสวรรค์ อยากที่จะมองลอดความลึกลับทั้งหมดของโลกมนุษย์
รถม้าเริ่มแล่นไป หากต้าถังไม่สามารถเจริญรุ่งเรืองอีกหลายร้อยปี มันก็คงไม่มีเหตุผลจริงๆ
ตอนนี้บัลลังก์ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับหลี่ไท่และหลี่เค่อ เพราะเขาทั้งสองเข้าใจว่ามันเป็นตำแหน่งที่ทำให้ตัวเองไม่มีอิสระ แม้แต่หลี่เฉิงเฉียนก็ยังชอบการขี่ม้าออกไปทั่วทุกทิศ วิ่งไปทั่วโลก ไม่คิดว่าบัลลังก์เป็นทางเลือกเดียวของเขาอีกต่อไป
แต่อาจจะมีคนที่รู้สึกหดหู่ นั่นก็คือหลี่ซื่อหมิน ตัวเองพยายามแย่งบัลลังก์มาครอบครอง แต่ตอนนี้ลูกชายของตัวเองทั้งสามคนกลับไม่มีใครให้คนความสนใจมัน มันทำให้เขารู้สึกถึงความผิดหวังที่ว่างเปล่า