เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 50 ประตูเทพเจ้า
ดวงตาหลี่หยวนดูหมองคล้ำ เขานั่งบนเก้าอี้ มือเผลอบีบไพ่นกกระจอกโดยไม่รู้ตัว หยิบไพ่ห้าเหรียญใบนั้นกลับมาไว้ในมือแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เริ่มกันเถอะ ข้าอยากจะนอนหลับสนิทสักคืน รักษาสภาพจิต บทลงโทษที่นางให้ข้ามันยังไม่มากพอ ข้าจะต้องมีชีวิตต่อไป ทรมานให้มากถึงจะไปเจอนางได้”
อวิ๋นเยี่ยอยากที่จะปิดหู คำพูดพวกนี้ไม่ฟังจะดีกว่า สีหน้าของหลี่ซื่อหมินมืดมนราวกับสามารถบีบน้ำออกมาได้
“ไท่ซั่งหวงล้อเล่นแล้ว ท่านอายุยืนนาน ฝ่าบาทกับรัชทายาทต่างก็เคารพท่าน ถึงเวลารักษาสุขภาพเพื่อประเทศชาติที่สวยงามของเรา ตอนนี้ท่านไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านง่วงนอนก็นอนเสียเถิด ได้ยินมาว่าท่านยังไม่ได้ทานอาหารเย็น ข้าให้แม่ครัวต้มซุปเม็ดบัวมาให้ท่านแล้ว กำลังร้อนอยู่เลย ดื่มก่อนแล้วค่อยนอน พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาก็จะเป็นวันที่สดใสอีกวันหนึ่ง”
อวิ๋นเยี่ยยกถ้วยซุปเม็ดบัวที่ผสมยาชาจากกล่องข้าวที่ประตูให้กับหลี่หยวนแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมผสมยาที่ช่วยในการนอนหลับลงไปในซุปถ้วยนี้ หลังจากที่ท่านดื่มแล้ว ท่านก็จะนอนหลับในไม่ช้า”
หลี่หยวนยกถ้วยกระเบื้องออกมาจากมือของอวิ๋นเยี่ยอย่างเงียบๆ ซุปถ้วยเล็กๆ ดื่มสองสามคำก็หมด เขาเช็ดปากแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไม่เลว ต้มซุปได้พอดี แต่แค่มีรสชาติยาที่ขมนิดหน่อย กระทบต่อความอร่อย”
พูดเสร็จเขาก็หลับตา เอนตัวนอนลงบนหมอนที่อยู่บนเตียง ผ่านไปไม่นานเสียงกรนก็ดังขึ้น สาวใช้สองคนค่อยๆ จัดแขนจัดขาให้หลี่หยวน ห่มผ้าให้เขา หลี่ซื่อหมินสะบัดมือไล่ นอกจากสาวใช้ที่คอยดูแลหลี่หยวนตอนหลับ คนอื่นๆ ต่างก็เดินตามหลี่ซื่อหมินออกมาจากห้อง
ความหนาวเย็นของตำหนักหลวง ทันทีที่ออกมาจากห้องอันอบอุ่น ทุกคนต่างก็พากันตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว
หลี่ซื่อหมินยืนอยู่ หน้านิ่งราวหยกสีขาว ตบรูปปั้นหัวสิงโตบนราวบันได เสียงแผ่วเบาดังมา “อวิ๋นเยี่ย เจ้าก็วางแผนจะใช้วิธีเช่นนั้นกับเราเหรอ”
“เสด็จพ่อ ไม่มีอะไรน่าแปลกขอรับ เป็นแค่ภาพวาดจากน้ำขิง บนไพ่นกกระจอกและเหล้ามีความเป็นด่าง ทั้งสองสิ่งนี้มาเจอกันมันจะเปลี่ยนเป็นสีแดง มันเป็นปฏิกิริยาที่ง่ายดาย อวิ๋นเยี่ยก็แค่ทำให้มันเกิดปฏิกิริยาเท่านั้น”
หลี่ไท่ที่พึ่งแทะไก่ของอวิ๋นเยี่ยได้ครึ่งหนึ่ง รีบออกมาอธิบายให้ฟัง ที่จริงเรื่องประหลาดที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าเช่นนี้ ให้ลูกชายของหลี่ซื่อหมินมาจัดการเองย่อมดีที่สุด
หลี่เฉิงเฉียนเอ่ยต่อไปอีกว่า “ตอนที่อวิ๋นเยี่ยมา เขาบอกว่าอาการป่วยของท่านปู่เป็นอาการป่วยทางจิต ต้องให้ยารักษาจิตใจ ลูกถือโอกาสตอนที่ทุกคนไม่ได้สนใจสลับไพ่นกกระจอก อวิ๋นเยี่ยบอกว่าต้องเก็บเป็นความลับก่อน ลูกก็เลยไม่ได้พูดออกไป เสด็จพ่อโปรดลงโทษ”
“โรคพิเศษก็ควรใช้วิธีพิเศษมารักษา อวิ๋นเยี่ยมีวิธีที่หลากหลาย ไม่อยู่ในกรอบ ในใจเราก็ดีใจ จะโทษเขาได้เช่นไร”
จั่งซุนพูดด้วยสีหน้าที่เศร้าหมองว่า “พวกเจ้าไม่ควรสารภาพเรื่องนี้ออกมา เสด็จพ่อของพวกเจ้ารู้แล้ว วิธีนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
หลี่ซื่อหมินยิ้มแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าวางแผนที่จะใช้วิธีนี้กับเราหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มแล้วส่ายหน้า ตบมือเพื่อให้สัญญาณ สาวใช้ถือกล่องใส่อาหารเดินเข้ามา อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่กล่องอาหารและพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาทสู้รบมาตลอดชีวิต ครอบครองดินแดนมากมาย วิธีนี้ใช้ได้กับผู้ที่มีอายุอานามมากแล้ว ใช้ได้กับไท่ซั่งหวงเท่านั้น หากเอามาใช้กับฝ่าบาทคงจะกลายเป็นเรื่องตลก”
หลี่ซื่อหมินหัวเราะเสียงดัง เขาหัวเราะให้กับการเตรียมการของอวิ๋นเยี่ย จะโกหกเขาด้วยกลอุบายที่เต็มไปด้วยช่องโหว่น่ะเหรอ เขารู้สึกว่าอาการป่วยของเขาร้ายแรงกว่าพ่อของเขาและรักษายากกว่า รู้สึกภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ ที่อาการป่วยของฮ่องเต้ย่อมต้องรักษายากกว่าคนทั่วไป
“ที่ฝ่าบาทนอนไม่หลับก็เพราะว่าเป็นห่วงไท่ซั่งหวง เลยทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน ที่จริงแล้วแค่รักษาไท่ซั่งหวงให้หาย อาการป่วยของฝ่าบาทก็จะหายไปเอง และแน่นอนว่า หากฝ่าบาทดื่มโจ๊กถ้วยนี้ จะทำให้ฝ่าบาทนอนหลับสบายมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีภูตผีปีศาจมาจริงๆ ก็มีกั๋วกงทั้งสองคนอยู่ ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
หลี่ซื่อหมินมองไปทางที่อวิ๋นเยี่ยชี้ด้วยความประหลาดใจ เห็นแม่ทัพใส่ชุดเกราะสองคนยืนอยู่นอกประตูตำหนักไท่จี๋ ในมือถือดาบแหลมคม คนหนึ่งใส่ชุดเกราะลูกโซ่สีทอง ถือคทาสีทองแดง ที่หลังมีคันธนู ลูกธนูห้อยอยู่ตรงเอว ภายใต้รัศมีของเทียนไขขนาดใหญ่ ราวกับเทพเจ้าจุติลงมายังโลกมนุษย์ อีกคนหนึ่งสวมชุดเกราะเหล็ก ในมือถือแส้ไม้ไผ่ แบกหอกสั้นหกอันอยู่ด้านหลัง ใส่หน้ากาก มีเพียงดวงตาสองดวงที่แสดงให้เห็นถึงความหนาวเย็น นี่คือปีศาจที่มาจากนรก โดยปกติจะเห็นชุดแบบนี้ในสนามรบเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะปรากฏตัวที่ประตูของตำหนักบรรทมตัวเอง
หลี่ซื่อหมินรีบเดินไปที่ประตูตำหนักแล้วพูดกับแม่ทัพทั้งสองว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่ เราไม่ได้เป็นอะไรมาก จะให้เจ้าทั้งสองทำเช่นนี้ได้เช่นไร”
ฉินฉยงพูดอย่างหนักแน่นว่า “ตอนนี้ประชาชนทุกคนล้วนแต่เป็นห่วงฝ่าบาท กองทัพกำลังจะเริ่มยึดครองดินแดนอื่น ความทุกข์ใจของฝ่าบาทเป็นเรื่องใหญ่ กระหม่อมจะคอยเฝ้าอยู่ที่ประตู ไม่เชื่อว่าจะยังมีภูตผีปีศาจตนใดกล้าก้าวเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว”
อวี้ฉือกงก็หัวเราะแล้วพูดว่า “กระหม่อมกับเหล่าฉิน ชีวิตนี้ฆ่าฟันคนมาแล้วมากมาย หากมีผีมาเอาชีวิตจริงๆ พวกกระหม่อมคงจะเหลือแต่กระดูกไปนานแล้ว ตอนนี้ก็ยังคงทานข้าวทานเนื้อทุกมื้อ ใช้ชีวิตอย่างสบาย ฝ่าบาทเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ หลายปีมานี้มีความเมตตามากเกินไป อะไรก็กล้าเข้ามารบกวนฝ่าบาท ตอนมีชีวิตก็ยังถูกพวกกระหม่อมฆ่าฟัน ตายไปแล้วคิดว่ากระหม่อมจะทำอะไรไม่ได้เช่นนั้นหรือ
ร่างกายของเหล่าฉินไม่ค่อยแข็งแรง หากมันมาอย่างดุเดือด ก็ปล่อยให้ข้าเป็นผู้จัดการเอง เจ้าเฝ้าดูศัตรูก็พอ ให้อวิ๋นเยี่ยตั้งกระทะน้ำมันไว้ ข้าหั่นชิ้นหนึ่ง เจ้าก็เอาไปทอดชิ้นหนึ่ง อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ช่างเหมาะแก่การดื่มเหล้าพร้อมกับแกล้ม”
“อวี้ฉือ เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าข้าก็เป็นแม่ทัพในสนามรบ ไม่ใช่พวกโง่ที่ไม่ทานเนื้อ คืนนี้เราจะนอนหลับให้เต็มอิ่ม พรุ่งนี้เราค่อยปรึกษาหารือกันว่าจะจัดการเช่นไร ฮ่าๆๆ” หลี่ซื่อหมินไม่เกรงใจอีกต่อไป หัวเราะแล้วเดินเข้าไปในตำหนัก แม้แต่โจ๊กที่อวิ๋นเยี่ยเติมไว้ให้ก็ไม่ทาน เตรียมไปต่อสู้กับภูตผีปีศาจในความฝัน
จั่งซุนโค้งคำนับให้ฉินฉยงกับอวี้ฉือกง ยิ้มอย่างพอใจแล้วเดินเข้าไปในตำหนัก ไม่เห็นถึงความกังวลใจก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าหลี่เฉิงเฉียนไปใส่ชุดเกราะตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือถือดาบยืนอยู่ใต้บันได หลี่ไท่กับหลี่เค่อก็ไม่ยอมแพ้ ต่างพากันใส่ชุดเกราะ หลี่ไท่ยังพูดกับอวี้ฉือกงอีกว่า “ท่านลุงอวี้ฉือ อย่าฆ่าพวกภูตผีปีศาจจนหมดเกลี้ยง เหลือมาให้ข้าได้ฝึกฝีมือบ้าง”
ฉินฉยงกับอวี้ฉือกงต่างก็หัวเราะแล้วรับปาก แถมยังพูดอีกว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น
อวิ๋นเยี่ยจับเสื้อคลุมตัวหนา ให้คนในวังเอาเตาถ่านมาสองสามเตา ข้างบนวางตะแกรงเหล็ก ในคืนที่เหน็บหนาวเช่นนี้ จะไม่ทำปิ้งย่างได้อย่างไรเล่า
ลงมือทำเองไม่ได้ก็ให้แม่ครัวมาช่วย เอาปีกไก่ของห้องครัวในวังมาทั้งหมด เอาเนื้อแกะแช่แข็งมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ หั่นเต้าหู้เป็นชิ้นใหญ่ เลือกผักที่เหมาะสม เอามันฝรั่งมาเจ็ดแปดหัว ปิ้งมันฝรั่งก็เป็นทางเลือกที่ดี ปลาขนาดพอดีสักสามสี่ตัว พริกสีแดงกับพริกไทย แล้วยังมีซุปไก่หม้อใหญ่ในห้องครัว จากนั้นก็รีบตรงดิ่งมาที่ตำหนักไท่จี๋
หลี่ซื่อหมินไม่ต้องการให้ใครมาฆ่าผี เขาแค่ต้องการความมั่นใจที่มากพอ ถึงแม้ว่าจะเป็นฉากที่น่ากลัวแค่ไหน แต่เมื่อมีเสียงหัวเราะลอยมา เป็นใครก็ล้วนแต่มีความกล้าเพิ่มขึ้นมา
เขานอนอยู่บนเตียงที่อบอุ่น ห่มผ้าห่มผืนหนา จั่งซุนกอดเขาอยู่ ได้ยินเสียงหัวเราะนอกตำหนัก เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม ได้ยินเสียงหลี่ไท่กับอวิ๋นเยี่ยกำลังแย่งปีกไก่กันเป็นระยะ ไม่มีความกังวลใจแม้แต่น้อย เขารู้สึกอบอุ่น กระซิบข้างหูจั่งซุนว่า “กวนอินปี้ เรามีฮองเฮาเช่นเจ้า มีแม่ทัพเช่นเหล่าฉินกับอวี้ฉือ มีลูกชายเช่นเฉียนเอ๋อร์ ชิงเชวี่ย และเค่อเอ๋อร์ มีคนรุ่นหลังเช่นอวิ๋นเยี่ย พระเจ้าช่างดีกับเรายิ่งนัก”
จั่งซุนจูบหน้าผากของหลี่ซื่อหมินและสะกิดเบาๆ แต่ไม่พูดอะไร หลี่ซื่อหมินอยากออกไปนอกตำหนัก เพราะเขาได้กลิ่นที่หอมและเผ็ดร้อน แต่ความง่วงนั้นราวกับกระแสน้ำท่วมตัวจมเขาลงไปในพริบตา เขาได้ยินเสียงอวี้ฉือกงด่าหลี่เค่อ ทำไมกัน ดูเหมือนว่ามันฝรั่งที่สุกแล้วจะถูกหลี่เค่อแย่งไป?
หลี่ซื่อหมินนอนหลับไปแล้ว เสียงกรนราวกับเสียงฟ้าร้อง ฉินฉยงบอกให้พวกเขาเบาเสียงลงหน่อย กลัวว่าจะส่งผลต่อการนอนหลับของหลี่ซื่อหมิน
อวิ๋นเยี่ยคว้าเนื้อแกะชิ้นหนึ่งมาแล้วพูดกับเหล่าฉินว่า “ท่านลุง ไม่เป็นไร พระราชวังเงียบเหงาร้างเกินไป ฝ่าบาทต้องการได้ยินเสียงลมหายใจพวกนี้”
ทั้งหกคนที่อยู่นอกตำหนักต่างก็รู้ดีว่าไม่มีผีอะไรเข้ามา เหตุผลเดียวที่พวกเขายังอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าอยากจะให้ฮ่องเต้สบายใจ ดังนั้นเสียงเอะอะโวยวายก็เลยดังขึ้นเรื่อยๆ
จั่งซุนตื่นขึ้นมา เห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว สามีของตัวเองยังคงหลับสนิท ไม่มีวี่แววว่าจะฝันร้าย นางสวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้น สาวใช้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ให้นางอีกชั้น เปิดประตูออกไป เห็นแค่ฉินฉยงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู ถือดาบอยู่ในมือไม่ยอมปล่อย ถึงแม้ว่าจะมีเหล้าสองโถวางอยู่ข้างๆ แต่สายตาของเขากลับมองไปรอบๆ
ใต้บั้นท้ายของอวี้ฉือมีโถเหล้าอยู่หนึ่งโถ ในมือถือขาแกะ ย่างบนเตาถ่านที่อยู่ข้างหน้า แล้วก็เอามีดมาหั่นเป็นชิ้น กินอย่างเอร็ดอร่อย
หลี่เฉิงเฉียนนั่งลงบนพื้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำไปด้วยควันไฟ ไม่ทันได้ตั้งตัว จั่งซุนก็เห็นว่าลูกชายคนโตของเขามีหนวดสีดำที่มุมปาก เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ฉินฉยงกับอวี้ฉือพยักหน้าให้ฮองเฮา แต่ก็ไม่ขยับไปไหน หลี่ไท่เดินมาจับมือแม่ของตัวเอง เอามันฝรั่งย่างยัดใส่ในมือแม่แล้วพูดว่า “เสด็จแม่ มันฝรั่งนี้ย่างได้อร่อยมากขอรับ ท่านลองชิมดู ลูกจะย่างอย่างอื่นให้เสด็จแม่อีก”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มให้จั่งซุนและเอ่ยว่า “ฝ่าบาทหลับสนิทแล้วใช่หรือไม่ ต่อไปฝ่าบาทจะไม่ต้องทนทุกข์กับฝันร้ายอีก ขอแค่ผ่านช่วงนี้ไป ด้วยความสามารถที่โดดเด่นและกลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท การมาถึงของยุคที่เจริญรุ่งเรืองคงไม่ใช่แค่ความฝัน”
“ลำบากเจ้าแล้ว ราชวงศ์ทำผิดต่อเจ้า ให้คนที่มีความสามารถเช่นเจ้าสอนหนังสือที่สำนักศึกษา ช่างไม่สมควร”
“ฮองเฮาพูดผิดแล้วขอรับ ชีวิตที่เงียบสงบเป็นสิ่งที่กระหม่อมโหยหามากที่สุด กระหม่อมไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูงอะไร แค่หวังว่าจะมีชีวิตที่สงบสุขและมีความสุขไปตลอดชีวิต ออกทัพสู้รบ ปกครองบ้านเมือง ไม่ใช่สิ่งที่กระหม่อมเชี่ยวชาญ สองสามวันก่อนฝ่าบาทยังถามกระหม่อมว่า หากมอบดินแดนให้กระหม่อมสักดินแดนหนึ่ง กระหม่อมสามารถเปลี่ยนมันให้เจริญรุ่งเรืองเหมือนหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นได้หรือไม่
คำตอบของกระหม่อมคือไม่สามารถ คนเราต้องรู้จักความสามารถของตัวเอง ปกครองประเทศ หนึ่งรัฐ หนึ่งมณฑล หนึ่งอำเภอ และหนึ่งตระกูล เป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากฮองเฮาต้องการเห็นกระหม่อมถูกตัดหัว ท่านก็มอบหน้าที่นี้ให้กระหม่อมเถิด”
จั่งซุนกัดมันฝรั่ง ยิ้มอย่างสบายใจแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นคนขี้เกียจ ปีนี้ก็แค่อายุสิบแปดสิบเก้า ยังไม่สายเกินไปที่จะเรียนรู้ ด้วยสติปัญญาของเจ้า คงไม่มีอะไรที่เรียนไม่ได้”
“ฮองเฮา คนฉลาดมีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่งคือชีวิตสั้น เมื่อเกิดอันตราย คนฉลาดมักเลือกที่จะหลบหนี เพราะว่าฉลาด ก็เลยคิดว่าอาจจะหลบหนีพ้น ไม่เหมือนกับคนอื่น ที่รู้ว่าหลบหนีไม่ได้ก็เลยพร้อมที่จะพุ่งชน หลังจากผ่านไปสักสองครั้งหรือหลายๆ ครั้งเข้า มันก็จะทำให้เรามีนิสัยที่ยืนหยัด นี่ถึงจะเป็นคุณสมบัติของคนที่จะทำการใหญ่ คนฉลาดมักจะหลบหนีอยู่ตลอด หลบหนีไปนานๆ ก็จะไม่มีความกล้าที่จะเผชิญกับความยากลำบาก และหากครั้งไหนที่ไม่สามารถหลบหนีไปได้ มันก็จะกลายเป็นหายนะ”
“เจ้าพูดมีเหตุผล คนที่ผ่านความยากลำบากมา ย่อมแข็งแกร่งกว่าคนที่อาศัยความฉลาดเพียงอย่างเดียว แต่หลักการนี้ใช้กับเจ้าไม่ได้ หากความฉลาดเข้มแข็งพอที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ตัวมันเองก็เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ไม่เกี่ยวข้องกับความขยันขันแข็ง มันเป็นปัญหาของพรสวรรค์ อย่างเช่นเจ้า อย่างเช่นชิงเชวี่ย”
อวิ๋นเยี่ยไม่พูดอะไรอีก แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หมอกเย็นล่องลอย มีเกล็ดหิมะตกลงมากระจัดกระจาย อันที่จริงมันเป็นน้ำค้างแข็งไม่ใช่หิมะ ลอดผ่านหมอกบาง พระจันทร์กลายเป็นสีม่วงประหลาด
“เหลืออีกเดือนหนึ่ง ลูกของกระหม่อมก็จะคลอดออกมาสู่โลกใบนี้ ในฐานะพ่อแม่ กระหม่อมจะต้องสร้างพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับเขา เพื่อที่เขาจะได้เติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัย สิ่งที่กระหม่อมให้ความสำคัญมากที่สุดในโลกใบนี้ก็คือชีวิต ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าเด็กอ้วนตัวเล็กๆ ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่”
พูดถึงเรื่องนี้ จั่งซุนก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
“หากข้าจำไม่ผิด เจ้ามีลูกคนหนึ่งที่คลอดออกมาแล้ว เหตุใดเจ้าไม่เอ่ยถึง”
ในมุมมองของท่านย่า การที่อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจลูกของหลี่อันหลาน ทำให้นางรู้สึกเหมือนโดนทำร้าย
“ลูกของหลี่หลงน่าจะต้องโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี รอให้เขาอายุห้าขวบ ข้าจะไปรับเขากลับมาเลี้ยงดูเอง”
นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยคิดไว้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าที่มาของเด็กคนนี้จะบิดเบี้ยวไปบ้าง แต่เขาก็เป็นเป็นเลือดเนื้อของตระกูลอวิ๋น ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทิ้งเขาไป ให้เด็กนามสกุลหลี่ นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดที่อวิ๋นเยี่ยยอม
จั่งซุนกินมันฝรั่งเสร็จ หลี่ไท่ก็ยื่นชาให้นางล้างปาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “หวังว่าเจ้าจะมีสติปัญญาเพียงพอที่จะจัดการกับเรื่องที่จะตามมาในอนาคต ตระกูลอวิ๋นก็ถือว่าเป็นตระกูลที่ใหญ่โต ทะเลาะกันเรื่องลูกหลักลูกรองก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าอาย”
นางกลับเข้าไปในตำหนักอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยถูที่ใบหน้า ตักซุปไก่ออกมาสองถ้วย ยื่นให้ฉินฉยงกับอวี้ฉือ พวกเขารับหน้าที่แล้วก็ไม่มีทางประมาท ถึงแม้ว่าจะไม่มีผีเข้ามา แต่พวกเขาก็จะไม่ยอมขยับออกจากตำแหน่ง
ดื่มซุปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนยกดื่มหมดในครั้งเดียว แถมตอนนั้นก็ยังไม่ยอมละวางดาบออกจากมือ
หลี่เฉิงเฉียนยังคงนั่งอยู่ที่ปลายสุดของทางเดิน วางดาบไว้บนเข่า อวิ๋นเยี่ยยื่นขาไก่ไปให้เขา ให้เขาผ่อนคลายสักหน่อย ใส่ชุดเกราะใช่ว่าจะสบาย
“เมื่อครู่เสด็จแม่ของเจ้ามา ทำไมเจ้าไม่คุยด้วย”
หลี่เฉิงเฉียนที่กำลังแทะขาไก่พูดขึ้นมาว่า “ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะตัวติดกับเสด็จแม่ทำไมทั้งวันทั้งคืน นั้นมันเป็นสิ่งที่ชิงเชวี่ยควรทำ”
เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้อวิ๋นเยี่ยพูดไม่ออก ตัดสินใจที่จะไม่สนใจไอ้งี่เง่านี่ หาที่นอนให้ตัวเอง เป็นเรื่องเดียวที่เขาควรรับผิดชอบ