เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ตอนที่ 59 สบายดีหรือไม่
อวิ๋นเยี่ยเดินออกมาจากศาลต้าหลี่โดยลำพัง เหล่าจวงยังคงรอท่านโหวของเขาที่หน้าประตูวัง
เขาไม่มีอารมณ์สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้เพราะในสมองเต็มไปด้วยเรื่องราววุ่นวาย กับกลุ่มคนที่มีนิสัยทำอะไรข้ามขั้นตอนแทนที่จะหัดเดินก่อนแต่พวกเขากลับเริ่มวิ่งเลย มิน่าล่ะถึงได้มารวมตัวกันเช่นนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนยังหาเรื่องกันไม่หยุด แต่ตอนนี้เริ่มรวมตัวกันขอตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสามารถของตัวเองจากราชสำนัก
หม่าโจวใช้เหตุผลนี้พูดถึงลูกศิษย์ทั้งหมดในสำนักศึกษา? ค่อยๆ ใช้ประโยชน์จากมิตรภาพทำให้รุ่นพี่และเพื่อนร่วมชั้นของตัวเองเข้าไปติดกับในแผนการที่เขาได้วางไว้
เขาไม่แม้แต่จะเสียใจกับการกระทำของตัวเอง ตอนนี้เกรงว่าจะยังคงดื่มด่ำความสุขในความสำเร็จของตัวเองอยู่เสียด้วยซ้ำ
ทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีที่ผิด ดูเหมือนว่าข้าจะไม่เคยสอนให้เขาทำเช่นนี้ หลี่กังก็คงไม่เคย ยิ่งเป็นอาจารย์คนอื่นๆ ในสำนักศึกษายิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสอนวิธีการเช่นนี้ให้กับเขา
ในความคิดของเขาแล้ว เพื่อประโยชน์ของราษฎรที่ยากจน ใช้อวิ๋นเยี่ยและหลี่กังเป็นสะพานก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ฎีกานโยบายการเก็บภาษีที่ดินจะกลายเป็นมาตรฐาน ไม่ว่าทางราชสำนักจะใช้มันหรือไม่ มันก็จะกลายเป็นมาตรฐานทั่วไป อวิ๋นเยี่ยเชื่อมั่นว่าหลี่ซื่อหมินจะเก็บนโยบายนี้ไว้ เอาไว้เป็นหลักในการคิดปฏิรูปที่ดินในอนาคต
ที่ประตูศาลต้าหลี่มีคนยืนอยู่ สวมชุดสีครามดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ผมดูเงางามดึงดูดสายตาผู้คน บนหัวไม่ได้สวมหมวก มีเพียงปิ่นปักผม เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินออกมา ก็โค้งคำนับให้โดยไม่พูดจาอะไร
“ฝ่าบาทมอบตำแหน่งอะไรแก่เจ้า”
“ข้าได้รับคำสั่งให้เข้าร่วมฝ่ายปกครองส่วนกลาง มีสิทธิ์ออกเสียงไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจ”
“ไม่เลวเลยทีเดียว แบบนี้สิถึงจะสมกับที่เจ้าลำบากมาตั้งนาน วันหลังหากประสบความสำเร็จแล้ว จำไว้ เวลาทำอะไรอย่าใจร้อนและอย่าหลอกใช้คนอื่นโดยที่เขาไม่รู้ตัว เพราะสุดท้ายแล้วมันจะทำให้เจ้าต้องเหลือตัวคนเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ ในชีวิตเจ้าก็จะต้องเผชิญอุปสรรคด้วยตัวคนเดียว อาจารย์ไม่มีอะไรจะให้แก่เจ้า นอกจากอ้อมกอด นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่จะทำให้เจ้าได้เข้าใกล้หัวใจของผู้อื่นมากขึ้น”
อวิ๋นเยี่ยอ้าแขนออก หม่าโจวเข้ามากอดอวิ๋นเยี่ยไว้แน่น เขาร้องไห้อย่างเจ็บปวด
อวิ๋นเยี่ยตบหลังเขาเบาๆ พูดข้างๆ หูเขาว่า “เป็นอาจารย์ก็ต้องเตรียมพร้อมเป็นบันไดให้แก่ทุกคนตลอดเวลา ข้าไม่รังเกียจที่จะเป็นบันได แต่ช่วยบอกข้าก่อนสักคำจะได้หรือไม่”
พูดเสร็จก็ผลักหม่าโจวออกจากอ้อมกอด ยิ้มแล้วโบกมือให้เขา แล้วหันไปยังประตูพระราชวัง
ได้ยินเสียงหม่าโจวตะโกนเรียกว่า “อาจารย์” จากที่ไกลๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว
หม่าโจวฉลาดมากที่เอาวั่งไฉมาด้วย เขารู้ว่าถ้าวั่งไฉได้อยู่กับอวิ๋นเยี่ย จะทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกดีมากขึ้น
เวลาอวิ๋นเยี่ยอารมณ์ไม่ดี วั่งไฉก็มักจะมาหยอกเล่นกับเขาโดยการเอาลิ้นเลียที่ผมของเขาให้ยุ่ง ถ้าเป็นเมื่อก่อน อวิ๋นเยี่ยก็จะเอาคืนวั่งไฉด้วยการทำให้ขนของมันยุ่งบ้างเหมือนกัน
แต่วันนี้อารมณ์ไม่ดี ลูบหน้าของวั่งไฉแล้วพูดเบาๆ ว่า “วันนี้ข้าไม่เล่นกับเจ้า หม่าโจวทำให้ข้าเสียความรู้สึก ข้าไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร วั่งไฉ บางทีข้าก็อยากจะไปที่ไกลๆ กับเจ้าแค่สองคน ทิ้งความกลุ้มใจทั้งหมด ใช้ชีวิตอย่างอิสระ เจ้าคิดว่าดีหรือไม่”
ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะพูดอะไร วั่งไฉก็จะส่งเสียงร้องตอบรับเขาเสมอ ม้าตัวผู้อายุสี่ปี มีขนาดสูงกว่าอวิ๋นเยี่ย แต่มันยังทำเหมือนตอนยังเล็กๆ ชอบเอาหัววางไว้ที่ไหล่ของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยจูงวั่งไฉเดินออกจากเมืองฉางอันตอนที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน
เขาไม่คิดจะขี่หลังวั่งไฉ เพียงแต่เดินทีละก้าวกลับบ้านไปพร้อมๆ กัน ไม่รู้ว่าบริเวณโดยรอบเริ่มมีคนเยอะตั้งแต่เมื่อไหร่ ในช่วงอากาศหนาวๆ เช่นนี้แต่มีท่านชายสวมใส่เสื้อแพรคนหนึ่งโบกพัดในมือเดินมาแล้วหยุดยืนที่ตรงหน้าของอวิ๋นเยี่ย ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับเขา
“สหายอวิ๋น จากกันหนึ่งปี ท่านสบายดีหรือไม่”
เหล่าจวงรออยู่หน้าประตูวังนานแล้ว ไม่เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินออกมาเสียที ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ประตูก็ใกล้จะปิดแล้ว รู้สึกกระวนกระวายใจ ตั้งแต่รัชทายาทแต่งงาน ท่านโหวก็ไม่เคยพักอยู่ในวัง แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้น
หลังจากบรรดาลูกศิษย์ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงที่สวนดอกไม้ได้กินอิ่มแล้วก็เดินออกจากประตูมา เหล่าจวงรีบเข้าไปถามลูกศิษย์ว่า “ท่านโหวของข้าออกมาหรือยัง”
“อาจารย์ถูกฝ่าบาทส่งไปที่ศาลต้าหลี่ เห็นบอกว่าจะให้หารือกับผู้ว่าการศาลต้าหลี่ เขาเดินออกจากฝ่ายปกครองส่วนกลางไป เจ้าลองไปดูที่ศาลต้าหลี่สิ”
เหล่าจวงรีบควบม้าด้วยความเร็วไปที่ศาลต้าหลี่ มีองครักษ์คอยติดตามไปด้วย
เมื่อถึงศาลต้าหลี่จึงลงไปถามคนที่นั่น พบว่าอวิ๋นเยี่ยได้กลับไปตั้งนานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เห็น เขากำลังพูดคุยอยู่กับหม่าโจว
เขาได้เจอเข้ากับหม่าโจวที่กำลังเดินกะโผลกกะเผลกออกมาจากร้านขายยา บนขามีแต่รอยเลือดเต็มไปหมด
“หม่าโจว ท่านโหวของข้าล่ะ”
“หลังจากที่ข้ากับอาจารย์แยกจากกัน เขาก็พาวั่งไฉออกนอกเมืองไปแล้ว อ้อ แล้วก็แผลที่ขา ข้าเป็นคนทำตัวเอง”
เหล่าจวงไม่มีอารมณ์มาสนใจว่าหม่าโจวได้แผลมาจากไหน เขากับองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยรีบไปที่ประตูเมือง ดีที่ประตูเมืองยังไม่ทันได้ปิดสนิท เหล่าจวงโยนถุงเงินให้แก่ทหารที่เฝ้าประตูเมือง แล้วรีบควบม้าออกประตูเมืองไป
ตลอดทางจนถึงบ้านก็ไม่พบเห็นท่านโหว ท่านย่าสั่งให้ทุกคนในบ้านออกไปตามหา ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยคบเพลิงที่ใช้ในการตามหาอวิ๋นเยี่ย
คนหนึ่งพันคนออกตามหาในเส้นทางรัศมีห้าสิบลี้มาสามรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอวิ๋นเยี่ย
เหล่าจวงตะโกนด้วยเสียงแหบแห้งและสั่นเครืออย่างคนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้ว ฆ่าให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าระหว่างทางจะมีสัตว์ดุร้าย
จนถึงเช้าก็ยังไม่พบอวิ๋นเยี่ย เมื่อฮ่องเต้รู้เข้าก็รู้สึกโมโห สั่งปิดล้อมเมือง เมื่อฮองเฮารู้เข้าก็รู้สึกโมโหจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เมื่อรัชทายาทรู้เข้าก็รีบพาองครักษ์หนึ่งร้อยนายออกจากเมืองฉางอันเพื่อตามหาอวิ๋นเยี่ย
เฉิงฉู่มั่ว หนิวเจี้ยนหู่ก็ช่วยกันหาไปทั่วพื้นที่ น่ารื่อมู่ขี่ม้าตัวใหญ่ขึ้นไปบนยอดเขาแล้วร้องเพลงไปด้วย นางหวังว่าสามีนางจะไปแอบนอนหลับอยู่ตามทุ่งหญ้าและเมื่อได้ยินเสียงเพลงของนางเขาก็จะออกมาแกล้งให้นางตกใจ
หม่าโจวคุกเข่าอยู่หน้าจวนตระกูลอวิ๋นอยู่นาน ขอเพียงแค่ตระกูลอวิ๋นตกลง เขาก็จะรีบฆ่าตัวตายทันที เขาคิดว่าการหายตัวไปของอวิ๋นเยี่ยนั้นเกี่ยวข้องกับตัวเอง
ระยะทางห้าสิบลี้แทบจะเต็มไปด้วยผู้คน ที่ออกตามหาอยู่เต็มสองข้างทาง ในที่สุดก็ค้นพบอะไรบางอย่าง
พบเศษผ้าห่างจากเมืองไปราวรัศมีสิบลี้ เหล่าจวงแค่มองก็รู้ว่าเป็นของอวิ๋นเยี่ย เปลือกไม้ของต้นไม้ถูกแกะออกจนเห็นเนื้อไม้สีขาวด้าน มีตัวหนังสือเขียนเป็นแถวลงมา ข้อความว่า ‘ข้ามีญาติผู้ใหญ่มาจากแดนไกลหลายหมื่นลี้ ข้าต้องการจะอยู่ดูแลปรนนิบัติสักช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ต้องตามหาข้า วันที่สิบแปดเดือนหนึ่ง’
เมื่อทุกคนได้อ่านข้อความนี้ก็พากันโล่งอก ทหารสอดแนมจากกองทัพต้องห้าม ใบหน้าถูกทาสีดำเหมือนถ่าน เมื่อเห็นข้อความก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วรีบควบม้าเข้าเมืองฉางอัน
“อวิ๋นเยี่ยทำไมไม่รอบคอบเช่นนี้ มีอาจารย์อาวุโสมาก็ไม่ต้อนรับพาเข้าบ้าน กลับพาไปข้างนอกได้เช่นไร”
ซินเย่วฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านก็รู้ว่าอาจารย์ของอวิ๋นเยี่ยเป็นเหมือนเซียน ไม่มาเจอคนธรรมดาอย่างพวกเรา นี่คือเหตุผลของเรื่องราวที่เกิดขึ้น”
น่ารื่อมู่เบะปากทำท่าไม่พอใจแล้วพูดว่า “แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีทั้งหมด ครั้งที่แล้วที่เมืองถัวก็มีพวกคนที่คิดจะเอากระดูกข้าไปทำจอกสุรา โชคดีที่ท่านพี่ได้ยินเสียงร้องของข้าจึงช่วยข้าไว้ แล้วยังได้ยินว่าเพื่อเป็นการต้อนรับท่านพี่ มีคนต้องตายเพื่อเอากระดูกมาทำจอกสุราหลายร้อยคน พวกคนประหลาดพวกนั้นมาดื่มเหล้ากับท่านพี่ จากนั้นข้ากับท่านพี่ก็นอนหลับไป ได้ยินว่าหลับไปสี่วัน หากไม่ใช่เพราะท่านพี่เฉิงตามหาพวกเราเจอ พวกเราก็คงหลับไปจนตาย”
คำพูดนี้ทำให้ท่านย่าและซินเย่วตกใจจนหน้าซีด ใครจะไปรู้ว่าคนที่อวิ๋นเยี่ยคบค้าสมาคมด้วยเป็นแบบนี้กันหมด เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา อันตรายเกินไปแล้ว ทำไมเรื่องแบบนี้อวิ๋นเยี่ยไม่เคยพูดถึงมาก่อน
ซินเย่วเห็นท่านย่าเป็นกังวลจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ลูกยังไม่ทันได้ครบเดือน แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มี เขาก็ออกไปเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอก ไม่มีความเป็นพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว”
กำลังบ่นอยู่ไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงลูกร้องไห้ขึ้นมา ทำได้แค่หยุดพูดแล้วไปเปิดดูผ้าอ้อม ปรากฏว่าลูกน้อยอึอีกแล้ว คนที่รักความสะอาดอย่างซินเย่วกลับไม่มีท่าทางรังเกียจแม้แต่น้อย ลงมือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกน้อยด้วยตัวเอง แล้วสำรวจดูว่าลูกน้อยผิดปกติอะไรอีกหรือไม่
นางไม่รังเกียจการเปลี่ยนผ้าอ้อม แต่น่ารื่อมู่กลับมีปฏิกิริยาขึ้นมา ทำท่าทางคลื่นไส้ จะอ้วกก็อ้วกไม่ออก
ซินเย่วกำลังจะด่า แต่ท่านย่าห้ามไว้บอกให้คนรับใช้ไปตามหมอมา
ไม่ผิดจากที่ท่านย่าคาดไว้ น่ารื่อมู่ตั้งท้องแล้ว ได้ยินข่าวนี้ ซินเย่วไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตัวเองใช้เวลาตั้งนานกว่าจะตั้งท้อง ทำไมน่ารื่อมู่แต่งมาไม่กี่เดือนก็ท้องแล้ว ซินเย่วคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องนี้
ท่อนไม้ท่อนนั้นที่มีข้อความของอวิ๋นเยี่ยถูกส่งมาที่จวนตระกูลอวิ๋น ท่านย่าและซินเย่วมองดูก็รู้ว่าเป็นลายมือของอวิ๋นเยี่ยแน่นอน จิตใจที่ว้าวุ่นในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลง
หลังจากนั้น ท่อนไม้ก็ได้ถูกส่งไปในวังหลวง หลี่ซื่อหมินไม่ได้ดูตัวอักษร แต่ดูวันที่ที่อยู่ด้านล่าง
ถามอู๋เสอที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยเสียงต่ำว่า “อักษรที่อยู่หน้าที่หนึ่ง แถวที่สิบ ตัวที่แปด คืออักษรอะไร”
“กราบทูลฝ่าบาท ในหนังสืออินฝูจิง อักษรตัวนี้คือคำว่าโต้ว”
หลี่ซื่อหมินสูดหายใจเข้ายาวๆ ใบหน้าดูซีดเซียว ปัดมือบอกให้อู๋เสอออกไปก่อน
จั่งซุนเดินออกมาจากข้างหลังแล้วถามว่า “ท่านพี่ อวิ๋นเยี่ยเขียนไว้ว่าอย่างไร”
“เขาถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวไป” หลี่ซื่อหมินทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ พูดด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “ไอ้เจ้านี่เคยก่อเรื่องกับฉางอัน เคยรอบฆ่าข้าที่อวิ๋นจวง ตอนนี้ยังกล้ากลับมาที่ฉางอัน พวกทหารสอดแนมของกองทัพต้องห้ามทำงานกันอย่างไร ไหนว่ากันว่าโต้วเยี่ยนซานถูกพวกเขาเนรเทศไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียวแล้ว ชาตินี้ไม่มีทางกลับมาได้ไม่ใช่หรือ รายงานความเท็จ ต้องโทษประหาร”
สวรรค์ลงโทษ คนตายนับล้าน เลือดไหลพันลี้ คำพูดนี้ถึงแม้ว่าจะดูเกินความจริงไปหน่อย แต่ว่าบ่ายวันนี้ หัวของผู้นำกองทัพต้องห้ามถูกตัดแขวนประจานไว้หน้าประตูกองทัพต้องห้าม แต่ก่อนเมื่อฮ่องเต้จะประหารนักโทษต้องมีการหารือกันก่อน แต่ครั้งนี้เห็นพ้องต้องกัน ไม่มีใครฟังคำอธิบายของนักโทษ
ในเวลาเดียวกัน ท่านโหรได้มาถึงบ้านตระกูลอวิ๋น ได้ตั้งชื่อลูกชายคนโตของอวิ๋นเยี่ยว่าอวิ๋นโซ่ว หรืออวิ๋นฉีเว่ย ฮ่องเต้เป็นคนตั้งชื่อให้ ให้ชื่อว่าโซ่ว ก็เพราะหวังว่าเด็กน้อยจะอายุยืนนานหนึ่งร้อยปี นี่เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่มาก
หลี่เฉิงเฉียนไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะไปรับใช้ญาติผู้ใหญ่โดยไม่ร่ำลาเขาก่อน เขาไม่เชื่อข้อความบนต้นไม้เลยแม้แต่น้อย ดูจากนิสัยของอวิ๋นเยี่ยแล้ว การไม่พาอาจารย์ของตัวเองไปที่สำนักศึกษานี่สิคือเรื่องแปลก จะมาถูกผู้อาวุโสหลอกชวนออกไปข้างนอกได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เขาคิดถึงสีหน้าของทหารสอดแนมในวันนั้น อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้า เพราะว่ากองทัพต้องห้ามเป็นทหารภายใต้บังคับบัญชาของพ่อตัวเอง นอกจากเสด็จพ่อแล้ว ใครก็ไม่มีอำนาจไปถามเรื่องราวจากพวกเขา แม้แต่รัชทายาทก็ทำไม่ได้
เมื่อเขาได้รู้ว่าบนประตูของกองทัพต้องห้ามมีหัวคนแขวนอยู่ ในใจรู้สึกเจ็บปวดดั่งถูกมีดกรีด อวิ๋นเยี่ยต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ ท่านพ่อรู้ แต่ไม่ยอมบอกคนอื่น แกล้งทำเป็นว่าอวิ๋นเยี่ยได้ติดตามไปกับญาติผู้ใหญ่แล้วจริงๆ
พระจันทร์อยู่กลางท้องฟ้า ถึงแม้จะเป็นข้างแรม แต่หลี่เฉิงเฉียนก็จะขอพรต่อสวรรค์ ขอเพียงแค่อวิ๋นเยี่ยปลอดภัยกลับมา เขาจะยอมกินมังสวิรัติสามปี